บทที่ 01
ผู้มีพระคุณ [1]
“ได้ของครบไหม”
“ครบ มึงจะเอา...”
ปัง!
เสียงปิดประตูดังขึ้นตั้งแต่ที่คู่สนทนาน่าจะยังพูดไม่จบ
‘เมษารินทร์’ ตื่นขึ้นมาสักพักแล้ว เธอรีบดีดตัวเองขึ้นจากฟูกที่นอนเก่าๆ กวาดสายตามองไปรอบห้องที่มีขนาดคับแคบเสียจนรู้สึกอึดอัด
เธอนอนอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง ผ้าปูที่นอนสีทึบ ซีดและดูบางจนเห็นเส้นไยของผ้าเพราะคงจะผ่านการซักมานับครั้งไม่ถ้วน เครื่องนอนมีเพียงหมอนหนึ่งใบกับผ้าห่มบางๆ หนึ่งผืน คิดว่าหากในห้องมีเครื่องปรับอากาศ ผ้าห่มผืนนี้คงไม่ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นสักเท่าไร
ด้านข้างเตียงมีโต๊ะหนังสือ บนโต๊ะหนังสือมีดอกทานตะวันปลอมหนึ่งดอกปักอยู่ในแจกัน ไม่มีหนังสือหรือสมุดสักเล่ม ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าไม้เก่าๆ ที่ไม่รู้ว่าตอนกลางคืนจะมีนางไม้หรือสิ่งเร้นลับโผล่มายืนอยู่หน้าตู้ไหม
แกร๊ก
เสียงลูกบิดประตูทำเธอสะดุ้งโหยง ถอยกรูดไปนั่งชิดหัวเตียง ชันเข่าขึ้นมากอดแน่น สองตาจ้องมองไปยังผู้ชายตัวสูงที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาด้วยท่าทีระมัดระวังเหมือนจะย่องเข้ามาขโมยของ ซึ่งทันทีที่เขาเงยหน้าจากถุง สีขาวในมือขึ้นมาเห็นว่าเธอมองเขาอยู่ ไอ้ท่าทีระมัดระวังตัวเมื่อครูก็พลันเปลี่ยนเป็นเสียงถอนหายใจ
แวบแรกที่ได้เห็นใบหน้าของนายนมกล้วยชัดๆ ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยเพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่ไอ้สารเลวพวกนั้นที่กระชากกระเป๋าเธอไป หนำซ้ำยังพยายามจะฉุดเธอด้วย
“ตื่นนานแล้วเหรอ” นายนมกล้วยถามเสียงทุ้มพลางเดินไปปิดหน้าต่าง
“นายปิดหน้าต่างทำไม” เธอรีบร้อนถามเพราะความกลัว แม้จะดีใจที่เป็นเขาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไว้ใจเขามากมายนัก
“จะเลี้ยงยุง?”
ตอบคำถามเธอด้วยการย้อนถาม พูดจบก็ดึงหน้าต่างปิดเสียงดังเสียจนเธอนึกกลัวว่ามันจะหลุดติดมือเขาออกมา เพราะมันดูไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไร น่าจะมีไว้แค่กันยุงบินเข้าห้องได้อย่างเดียวนั่นแหละ
เมษารินทร์ยังคงนั่งเงียบและคอยสังเกตสีหน้าท่าทางของเขาต่อไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่วางใจ บุคลิกของเขาดูไม่ต่างจากไอ้พวกที่ไล่ตามเธอเลยสักนิด ท่าทางดูเป็นอันธพาล หน้าตาดุ พูดจาไม่น่าฟัง สายตาเจ้าเล่ห์ บากคิ้ว เจาะหู เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูเก่า มอมแมม โดยรวมจึงสรุปเอาไว้ก่อนว่าไม่น่าคบหา
ตุ้บ!
“ยา”
ถุงสีขาวที่เขาถือมาลอยละลิ่วมาร่วงลงข้างตัว ถ้าโยนแรงกว่านี้อีกนิดก็น่าจะโดนหัวเธอแน่ๆ
เมษารินทร์มองถุงใบนั้นงงๆ แต่เงยหน้าขึ้นมาอีกที คนโยนมันมาให้ก็ทำท่าเหมือนจะเดินออกจากห้องไปเสียแล้ว
“เดี๋ยวสิ”
“อะไร”
“ฉะ ฉัน...”
ท่าทางเหมือนโกรธใครอยู่ตลอดเวลาทำเธอกล้าๆ กลัวๆ ที่จะถาม ทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง
“เสื้อผ้าอยู่ในตู้ เก่าแต่สะอาดกว่าชุดแพงๆ ที่เธอใส่อยู่”
ก้มมองเดรสคอลเลคชันล่าสุดที่ใช้เวลารอพรีออเดอร์ร่วมสองเดือนกว่าจะได้มันมาแล้วอยากจะร้องไห้
“มีใครอยู่ไหม”
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากชั้นล่าง
“มี”
เจ้าของบ้านตะโกนกลับลงไป
ปัง!
แวบเดียวเขาก็ปิดประตูห้องเสียงดังแล้ววิ่งลงไปทันที เธอได้ยินเสียงปึงปังๆ ตามจังหวะฝีเท้าของเขาที่เป็นสาเหตุทำให้ผนังบ้านสั่นสะเทือนจนน่ากลัวว่ามันจะล้มลงมาทับเธอ
คล้อยหลังเขาครู่ใหญ่กว่าที่ผนังจะหยุดสั่น เมษารินทร์ถอนหายใจเฮือกเบ้อเริ่มเมื่อผนังไม่ได้ล้มลงมาทับเธอแบบที่กลัว เหลือบมองถุงยาแล้วหยิบมาเปิดดู ด้านในเป็นอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้น น้ำเกลือล้างแผล แอลกอฮอล์กับเบตาดีน ซึ่งเป็นขวดเล็กทั้งหมด
เขาเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้เธอทำไมในเมื่อเธอไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน จำได้ว่าก่อนจะหมดสติไป เธอได้ยินเสียงคล้ายปะทัด คาดเดาว่ามันคงจะเป็นเสียงปืน แต่ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเธอก็รีบสำรวจตัวเองดูจนแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บ เมื่อครู่ตั้งใจจะถามว่าเขาเป็นอะไรไหม แต่เขาก็วิ่งกลับลงไปที่ชั้นล่างเสียก่อน
“ซี้ดดด”
ตั้งใจจะไปเปิดตู้เสื้อผ้าของเขาเพื่อหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนสักชุด เพราะอย่างไรเสียเจ้าของก็อนุญาตให้ยืมแล้ว หรือหากเขาจะคิดเงิน เดี๋ยวเธอจ่ายคืนให้ก็ได้
“บ้าจริง”
ยกเท้าขึ้นมาดูเพราะรู้สึกเจ็บตอนลงน้ำหนักแล้วถึงได้รู้ว่าที่ฝ่าเท้าของเธอมีบาดแผลเต็มไปหมด ภาพจำที่ตัวเองดึงเศษแก้วออกจากเท้าแวบขึ้นมาทันที นั่นน่าจะเป็นที่มาของแผลที่ใหญ่ที่สุดบนฝ่าเท้าของเธอที่เธอเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว
ตัดสินใจจะนั่งลงที่พื้น เพราะกลัวว่าเลือดที่แผลจะเปื้อนผ้าปูที่นอนของเขา คว้ากระดาษทิชชูที่หัวเตียงมาซับเบาๆ รอจนอาการดีขึ้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
เมื่อครู่นี้ตอนมองสำรวจรอบห้องเธอรู้สึกว่ามันดูคับแคบจนอึดอัด แต่พอต้องเดินกะเผลกๆ แบบนี้เธอกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกินกว่าจะถึงตู้เสื้อผ้า ปวดฝ่าเท้าจนน้ำตาแทบร่วง
เปิดตู้เสื้อผ้าของเขาแล้วกวาดค้นด้วยสายตา เอื้อมคว้าเสื้อยืดสีกรมท่าด้านในออกมาเพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่ตัวเก่งของเขา และเขาคงไม่ค่อยจะได้ใส่มัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ซุกอยู่ด้านในสุด สวมแล้วความยาวเทียบเท่าเสื้อโอเวอร์ไซซ์ พับเก็บเดรสที่ประเมินจากสายตาแล้ว ราคาน่าจะหลายสิบเท่าของเสื้อยืดตัวนี้ วางเก็บไว้ที่ปลายเตียง
ตอนนี้สิ่งแรกที่เธอต้องรีบทำคือพยายามติดต่อพ่อของเธอ แต่เธอจะติดต่ออย่างไรในเมื่อเธอไม่มีโทรศัพท์ เพราะมันอยู่ในกระเป๋าใบเล็กที่ถูกไอ้คนพวกนั้นกระชากไป ส่วนกระเป๋าเดินทางของเธอก็หายไปไหนไม่รู้ ลำพังแค่เอาชีวิตตัวเองรอดมาได้ก็บุญแล้ว
“มึงจะบ้าเหรอไอ้วอร์ม แค่นี้มึงยังเดือดร้อนไม่พอหรือไง”
เสียงเล็กๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่ดังลั่นราวกับคนพูดกำลังโมโห เมษารินทร์ที่ตั้งใจเดินลงมาขอยืมโทรศัพท์ของนายนมกล้วยตกใจจนเกือบก้าวพลาดตกบันได
“นั่นสิ มึงไม่กลัวพ่อแม่เขาเอาปืนมายิงกบาลเอาหรือไง เดี๋ยวเขาก็หาว่ามึงลักพาตัวลูกสาวเขามาหรอก”
ลูกสาวที่ว่าน่าจะหมายถึงเธอแน่ๆ
เมษารินทร์ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปมองด้วยความอยากรู้ เห็นนายนมกล้วย ที่จริงๆ แล้วน่าจะชื่อวอร์มตามที่ได้ยินเพื่อนของเขาเรียกเมื่อครู่ นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่เก้าอี้ไม้ บนโต๊ะตรงหน้ามีรองเท้าหนังอยู่คู่หนึ่ง กวาดสายตามองดูภาพรวมโดยรอบของบ้านหลังนี้ เห็นป้ายร้านซ่อมรองเท้าติดอยู่บนผนังบ่งบอกว่าที่นี่คือร้านซ่อมรองเท้า
“ไอ้เหี้ยวอร์ม พวกกูพูดกับมึงอยู่นะ มึงเลิกทำหูทวนลมสักทีเถอะ”
“พวกมึงนี่มันน่ารำคาญจริงๆ ไสหัวกลับบ้านพวกมึงไปได้แล้วไป”
เพื่อนสองคนของเขาพูดแทบตาย สุดท้ายกลับโดนเขาไล่ส่ง ก่อนที่คนไล่จะก้มหน้าก้มตาหาอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ในลิ้นชัก มืออีกข้างหยิบรองเท้าขึ้นมาถือรอ
“เออ พวกกูด่าขนาดนี้มึงยังมีอารมณ์มานั่งเย็บรองเท้านะไอ้ควาย”
“ชีวิตต้องกินต้องใช้” เจ้าของร้านโต้เถียงอย่างใจเย็น
เมษารินทร์ยืนแอบฟังอยู่ในครัว ตรงทางเชื่อมระหว่างหน้าบ้านกับหลังบ้าน ที่นี่เป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ส่วนชั้นบนเป็นไม้ สภาพค่อนข้างเก่า บันไดขึ้นชั้นสองอยู่ทางด้านหลังที่เธอเพิ่งจะเดินลงมา
“นี่ไอ้วอร์ม”
มั่นใจได้แล้วว่าเขาชื่อวอร์ม แม้จะรู้สึกว่ามันตรงกันข้ามกับบุคลิกเย็นชาของเขาแบบสุดโต่งก็เถอะ
“ไอ้เหี้ยวอร์มโว้ยย”
“เฮ้อ”
เพื่อนโมโหจนควันจะออกหู แต่เขากลับถอนหายใจเบาๆ และเพียงแค่เขาเงยหน้าขึ้นจากรองเท้าที่กำลังตั้งอกตั้งใจซ่อมมันมาสักพักใหญ่ คนรอบกายของเขากลับมีท่าทีผวา พากันก้าวถอยหลัง
“พวกมึงจะโวยวายกันอีกนานไหม เช่าปากมาพูดเหรอ กลัวไม่คุ้มหรือไง หรือว่าพูดมากแล้วจะรวย?”
สายตาเย็นชา ทว่าทำให้คนฟังรับรู้ได้ถึงระดับความกวนตีนโดยที่เครื่องหน้าของเขายังไม่ขยับสักนิด
“ถึงกูจะไม่รวย แต่กูไม่เคยหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวโว้ย นี่ไอ้เหี้ยวอร์ม”
ปัง!
เอาแล้วสิ พวกเขาจะชกกันไหมนะ
“พวกกูหวังดีกับมึงนะ จะเตือนอีกครั้งก็แล้วกันว่ามึงต้องรีบๆ ไล่ยัยนั่นไปให้พ้น หรือไม่ก็พาไปส่งสถานีตำรวจซะ ถ้าเกิดยัยนั่นเป็นพวกมิจฉาชีพหรือว่าหนีหนี้หนีคดีอะไรมา มึงจะเดือดร้อน คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ หรือถ้ายัยนั่นกล่าวหาว่ามึงลักพาตัวมาเรียกค่าไถ่จะทำยังไง เดี๋ยวก็ฉิบหายกันหมดหรอก”
“นั่นสิ หรือต่อให้เรื่องมันจะไม่เหี้ยขนาดนั้น แต่ถ้ายัยนั่นเป็นอะไรไประหว่างอยู่กับมึง มึงรับผิดชอบไหวเหรอวะ”
“กูเห็นด้วย ไอ้อับโชคตายไปตัวหนึ่งแล้วยังไม่พอเหรอ มึงต้องรอให้ไอ้พวกนั้นถือปืนมาบุกบ้านมึงก่อนหรือไง อยากตายตามหมาไปสินะ มึงตายห่าไปแล้วได้อะไร ต่อให้มึงจะเป็นคนดีฉิบหายแค่ไหนแต่สุดท้ายคนจนก็เท่ากับตายฟรีนะมึง”
“อับโชคตายแล้วเหรอ?”