บทที่ 01 ผู้มีพระคุณ [1]

1774 Words
บทที่ 01 ผู้มีพระคุณ [1] “ได้ของครบไหม” “ครบ มึงจะเอา...” ปัง! เสียงปิดประตูดังขึ้นตั้งแต่ที่คู่สนทนาน่าจะยังพูดไม่จบ ‘เมษารินทร์’ ตื่นขึ้นมาสักพักแล้ว เธอรีบดีดตัวเองขึ้นจากฟูกที่นอนเก่าๆ กวาดสายตามองไปรอบห้องที่มีขนาดคับแคบเสียจนรู้สึกอึดอัด เธอนอนอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง ผ้าปูที่นอนสีทึบ ซีดและดูบางจนเห็นเส้นไยของผ้าเพราะคงจะผ่านการซักมานับครั้งไม่ถ้วน เครื่องนอนมีเพียงหมอนหนึ่งใบกับผ้าห่มบางๆ หนึ่งผืน คิดว่าหากในห้องมีเครื่องปรับอากาศ ผ้าห่มผืนนี้คงไม่ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นสักเท่าไร ด้านข้างเตียงมีโต๊ะหนังสือ บนโต๊ะหนังสือมีดอกทานตะวันปลอมหนึ่งดอกปักอยู่ในแจกัน ไม่มีหนังสือหรือสมุดสักเล่ม ถัดไปเป็นตู้เสื้อผ้าไม้เก่าๆ ที่ไม่รู้ว่าตอนกลางคืนจะมีนางไม้หรือสิ่งเร้นลับโผล่มายืนอยู่หน้าตู้ไหม แกร๊ก เสียงลูกบิดประตูทำเธอสะดุ้งโหยง ถอยกรูดไปนั่งชิดหัวเตียง ชันเข่าขึ้นมากอดแน่น สองตาจ้องมองไปยังผู้ชายตัวสูงที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาด้วยท่าทีระมัดระวังเหมือนจะย่องเข้ามาขโมยของ ซึ่งทันทีที่เขาเงยหน้าจากถุง สีขาวในมือขึ้นมาเห็นว่าเธอมองเขาอยู่ ไอ้ท่าทีระมัดระวังตัวเมื่อครูก็พลันเปลี่ยนเป็นเสียงถอนหายใจ แวบแรกที่ได้เห็นใบหน้าของนายนมกล้วยชัดๆ ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยเพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่ไอ้สารเลวพวกนั้นที่กระชากกระเป๋าเธอไป หนำซ้ำยังพยายามจะฉุดเธอด้วย “ตื่นนานแล้วเหรอ” นายนมกล้วยถามเสียงทุ้มพลางเดินไปปิดหน้าต่าง “นายปิดหน้าต่างทำไม” เธอรีบร้อนถามเพราะความกลัว แม้จะดีใจที่เป็นเขาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไว้ใจเขามากมายนัก “จะเลี้ยงยุง?” ตอบคำถามเธอด้วยการย้อนถาม พูดจบก็ดึงหน้าต่างปิดเสียงดังเสียจนเธอนึกกลัวว่ามันจะหลุดติดมือเขาออกมา เพราะมันดูไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไร น่าจะมีไว้แค่กันยุงบินเข้าห้องได้อย่างเดียวนั่นแหละ เมษารินทร์ยังคงนั่งเงียบและคอยสังเกตสีหน้าท่าทางของเขาต่อไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่วางใจ บุคลิกของเขาดูไม่ต่างจากไอ้พวกที่ไล่ตามเธอเลยสักนิด ท่าทางดูเป็นอันธพาล หน้าตาดุ พูดจาไม่น่าฟัง สายตาเจ้าเล่ห์ บากคิ้ว เจาะหู เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูเก่า มอมแมม โดยรวมจึงสรุปเอาไว้ก่อนว่าไม่น่าคบหา ตุ้บ! “ยา” ถุงสีขาวที่เขาถือมาลอยละลิ่วมาร่วงลงข้างตัว ถ้าโยนแรงกว่านี้อีกนิดก็น่าจะโดนหัวเธอแน่ๆ เมษารินทร์มองถุงใบนั้นงงๆ แต่เงยหน้าขึ้นมาอีกที คนโยนมันมาให้ก็ทำท่าเหมือนจะเดินออกจากห้องไปเสียแล้ว “เดี๋ยวสิ” “อะไร” “ฉะ ฉัน...” ท่าทางเหมือนโกรธใครอยู่ตลอดเวลาทำเธอกล้าๆ กลัวๆ ที่จะถาม ทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง “เสื้อผ้าอยู่ในตู้ เก่าแต่สะอาดกว่าชุดแพงๆ ที่เธอใส่อยู่” ก้มมองเดรสคอลเลคชันล่าสุดที่ใช้เวลารอพรีออเดอร์ร่วมสองเดือนกว่าจะได้มันมาแล้วอยากจะร้องไห้ “มีใครอยู่ไหม” แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากชั้นล่าง “มี” เจ้าของบ้านตะโกนกลับลงไป ปัง! แวบเดียวเขาก็ปิดประตูห้องเสียงดังแล้ววิ่งลงไปทันที เธอได้ยินเสียงปึงปังๆ ตามจังหวะฝีเท้าของเขาที่เป็นสาเหตุทำให้ผนังบ้านสั่นสะเทือนจนน่ากลัวว่ามันจะล้มลงมาทับเธอ คล้อยหลังเขาครู่ใหญ่กว่าที่ผนังจะหยุดสั่น เมษารินทร์ถอนหายใจเฮือกเบ้อเริ่มเมื่อผนังไม่ได้ล้มลงมาทับเธอแบบที่กลัว เหลือบมองถุงยาแล้วหยิบมาเปิดดู ด้านในเป็นอุปกรณ์ทำแผลเบื้องต้น น้ำเกลือล้างแผล แอลกอฮอล์กับเบตาดีน ซึ่งเป็นขวดเล็กทั้งหมด เขาเอาอุปกรณ์ทำแผลมาให้เธอทำไมในเมื่อเธอไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน จำได้ว่าก่อนจะหมดสติไป เธอได้ยินเสียงคล้ายปะทัด คาดเดาว่ามันคงจะเป็นเสียงปืน แต่ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาเธอก็รีบสำรวจตัวเองดูจนแน่ใจแล้วว่าเธอไม่ได้บาดเจ็บ เมื่อครู่ตั้งใจจะถามว่าเขาเป็นอะไรไหม แต่เขาก็วิ่งกลับลงไปที่ชั้นล่างเสียก่อน “ซี้ดดด” ตั้งใจจะไปเปิดตู้เสื้อผ้าของเขาเพื่อหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนสักชุด เพราะอย่างไรเสียเจ้าของก็อนุญาตให้ยืมแล้ว หรือหากเขาจะคิดเงิน เดี๋ยวเธอจ่ายคืนให้ก็ได้ “บ้าจริง” ยกเท้าขึ้นมาดูเพราะรู้สึกเจ็บตอนลงน้ำหนักแล้วถึงได้รู้ว่าที่ฝ่าเท้าของเธอมีบาดแผลเต็มไปหมด ภาพจำที่ตัวเองดึงเศษแก้วออกจากเท้าแวบขึ้นมาทันที นั่นน่าจะเป็นที่มาของแผลที่ใหญ่ที่สุดบนฝ่าเท้าของเธอที่เธอเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว ตัดสินใจจะนั่งลงที่พื้น เพราะกลัวว่าเลือดที่แผลจะเปื้อนผ้าปูที่นอนของเขา คว้ากระดาษทิชชูที่หัวเตียงมาซับเบาๆ รอจนอาการดีขึ้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เมื่อครู่นี้ตอนมองสำรวจรอบห้องเธอรู้สึกว่ามันดูคับแคบจนอึดอัด แต่พอต้องเดินกะเผลกๆ แบบนี้เธอกลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกินกว่าจะถึงตู้เสื้อผ้า ปวดฝ่าเท้าจนน้ำตาแทบร่วง เปิดตู้เสื้อผ้าของเขาแล้วกวาดค้นด้วยสายตา เอื้อมคว้าเสื้อยืดสีกรมท่าด้านในออกมาเพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่ตัวเก่งของเขา และเขาคงไม่ค่อยจะได้ใส่มัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ซุกอยู่ด้านในสุด สวมแล้วความยาวเทียบเท่าเสื้อโอเวอร์ไซซ์ พับเก็บเดรสที่ประเมินจากสายตาแล้ว ราคาน่าจะหลายสิบเท่าของเสื้อยืดตัวนี้ วางเก็บไว้ที่ปลายเตียง ตอนนี้สิ่งแรกที่เธอต้องรีบทำคือพยายามติดต่อพ่อของเธอ แต่เธอจะติดต่ออย่างไรในเมื่อเธอไม่มีโทรศัพท์ เพราะมันอยู่ในกระเป๋าใบเล็กที่ถูกไอ้คนพวกนั้นกระชากไป ส่วนกระเป๋าเดินทางของเธอก็หายไปไหนไม่รู้ ลำพังแค่เอาชีวิตตัวเองรอดมาได้ก็บุญแล้ว “มึงจะบ้าเหรอไอ้วอร์ม แค่นี้มึงยังเดือดร้อนไม่พอหรือไง” เสียงเล็กๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่ดังลั่นราวกับคนพูดกำลังโมโห เมษารินทร์ที่ตั้งใจเดินลงมาขอยืมโทรศัพท์ของนายนมกล้วยตกใจจนเกือบก้าวพลาดตกบันได “นั่นสิ มึงไม่กลัวพ่อแม่เขาเอาปืนมายิงกบาลเอาหรือไง เดี๋ยวเขาก็หาว่ามึงลักพาตัวลูกสาวเขามาหรอก” ลูกสาวที่ว่าน่าจะหมายถึงเธอแน่ๆ เมษารินทร์ค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปมองด้วยความอยากรู้ เห็นนายนมกล้วย ที่จริงๆ แล้วน่าจะชื่อวอร์มตามที่ได้ยินเพื่อนของเขาเรียกเมื่อครู่ นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ที่เก้าอี้ไม้ บนโต๊ะตรงหน้ามีรองเท้าหนังอยู่คู่หนึ่ง กวาดสายตามองดูภาพรวมโดยรอบของบ้านหลังนี้ เห็นป้ายร้านซ่อมรองเท้าติดอยู่บนผนังบ่งบอกว่าที่นี่คือร้านซ่อมรองเท้า “ไอ้เหี้ยวอร์ม พวกกูพูดกับมึงอยู่นะ มึงเลิกทำหูทวนลมสักทีเถอะ” “พวกมึงนี่มันน่ารำคาญจริงๆ ไสหัวกลับบ้านพวกมึงไปได้แล้วไป” เพื่อนสองคนของเขาพูดแทบตาย สุดท้ายกลับโดนเขาไล่ส่ง ก่อนที่คนไล่จะก้มหน้าก้มตาหาอุปกรณ์อะไรก็ไม่รู้ในลิ้นชัก มืออีกข้างหยิบรองเท้าขึ้นมาถือรอ “เออ พวกกูด่าขนาดนี้มึงยังมีอารมณ์มานั่งเย็บรองเท้านะไอ้ควาย” “ชีวิตต้องกินต้องใช้” เจ้าของร้านโต้เถียงอย่างใจเย็น เมษารินทร์ยืนแอบฟังอยู่ในครัว ตรงทางเชื่อมระหว่างหน้าบ้านกับหลังบ้าน ที่นี่เป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ส่วนชั้นบนเป็นไม้ สภาพค่อนข้างเก่า บันไดขึ้นชั้นสองอยู่ทางด้านหลังที่เธอเพิ่งจะเดินลงมา “นี่ไอ้วอร์ม” มั่นใจได้แล้วว่าเขาชื่อวอร์ม แม้จะรู้สึกว่ามันตรงกันข้ามกับบุคลิกเย็นชาของเขาแบบสุดโต่งก็เถอะ “ไอ้เหี้ยวอร์มโว้ยย” “เฮ้อ” เพื่อนโมโหจนควันจะออกหู แต่เขากลับถอนหายใจเบาๆ และเพียงแค่เขาเงยหน้าขึ้นจากรองเท้าที่กำลังตั้งอกตั้งใจซ่อมมันมาสักพักใหญ่ คนรอบกายของเขากลับมีท่าทีผวา พากันก้าวถอยหลัง “พวกมึงจะโวยวายกันอีกนานไหม เช่าปากมาพูดเหรอ กลัวไม่คุ้มหรือไง หรือว่าพูดมากแล้วจะรวย?” สายตาเย็นชา ทว่าทำให้คนฟังรับรู้ได้ถึงระดับความกวนตีนโดยที่เครื่องหน้าของเขายังไม่ขยับสักนิด “ถึงกูจะไม่รวย แต่กูไม่เคยหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวโว้ย นี่ไอ้เหี้ยวอร์ม” ปัง! เอาแล้วสิ พวกเขาจะชกกันไหมนะ “พวกกูหวังดีกับมึงนะ จะเตือนอีกครั้งก็แล้วกันว่ามึงต้องรีบๆ ไล่ยัยนั่นไปให้พ้น หรือไม่ก็พาไปส่งสถานีตำรวจซะ ถ้าเกิดยัยนั่นเป็นพวกมิจฉาชีพหรือว่าหนีหนี้หนีคดีอะไรมา มึงจะเดือดร้อน คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ หรือถ้ายัยนั่นกล่าวหาว่ามึงลักพาตัวมาเรียกค่าไถ่จะทำยังไง เดี๋ยวก็ฉิบหายกันหมดหรอก” “นั่นสิ หรือต่อให้เรื่องมันจะไม่เหี้ยขนาดนั้น แต่ถ้ายัยนั่นเป็นอะไรไประหว่างอยู่กับมึง มึงรับผิดชอบไหวเหรอวะ” “กูเห็นด้วย ไอ้อับโชคตายไปตัวหนึ่งแล้วยังไม่พอเหรอ มึงต้องรอให้ไอ้พวกนั้นถือปืนมาบุกบ้านมึงก่อนหรือไง อยากตายตามหมาไปสินะ มึงตายห่าไปแล้วได้อะไร ต่อให้มึงจะเป็นคนดีฉิบหายแค่ไหนแต่สุดท้ายคนจนก็เท่ากับตายฟรีนะมึง” “อับโชคตายแล้วเหรอ?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD