บทนำ
ตึกๆ
ตึกๆ
ตึกๆ
“บ้าเอ๊ย แกจะเต้นให้มันเบาลงหน่อยไม่ได้หรือไง อยากตายมากนักเหรอ”
‘เมษารินทร์’ ก่นด่าหัวใจของตัวเองพลางทุบมือลงหน้าอก เธอแทบจะกลั้นหายใจอยู่แล้วแต่หัวใจกลับไม่มีทีท่าว่าจะเต้นเบาลงเลย
“เจอตัวไหมไอ้เบื๊อก”
เสียงตะคอกโวยวายดังมาจากด้านนอกทำเธอสะดุ้งโหยง
“ไม่เจอเลยลูกพี่”
“หายไปไหนวะ!”
หากไม่เจอกับตัวเธอคงไม่เชื่อว่าจะมีคนกล้าชกชิงวิ่งราวกันตอนกลางวันแสกๆ ทำเธอวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ตอนนี้อยู่ที่ซอยไหน ถนนอะไรก็ไม่รู้ กวาดสายตามองไปรอบตัวเพื่อหาทางหนีต่อไป แต่เธอจะหนีไปไหนได้ในเมื่อเธอไม่รู้จักถนนหนทางแถวนี้เลยสักนิด ไม่คิดว่าการพาตัวเองมาหาพ่อที่ไม่ได้เจอหน้ากันมายี่สิบกว่าปีจะกลายเป็นการพาชีวิตมาทิ้งไว้ข้างถนนไม่ได้ คนอย่างเมษารินทร์จะไม่ยอมตายอย่างหมาข้างถนนเด็ดขาด
“โฮ่ง!”
แค่ปลุกความฮึกเหิมให้ตัวเองในใจ แต่สวรรค์ดันได้ยิน ส่งหมาตัวเป็นๆ มายืนเห่าอยู่ตรงหน้า
เสียงของมันทำเธอตกใจจนผวา เบิกตาโพลง กลัวจนตัวสั่นงันงกแต่พยายามเก็บอาการ ลอบกลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า จ้องตามันเพื่อพยายามสื่อสารว่าเธอมาดีและไม่มีเจตนาจะทำร้ายมันไปพร้อมกับสะกดจิตตัวเองว่าอย่ากลัว มันก็แค่หมาตัวหนึ่ง
“โฮ่ง”
ไอ้หมาบ้านี่มันจ้องจะหาเรื่องเธอชัดๆ สบตากับมันอยู่ตั้งนานมันกลับแสดงตัวเป็นเจ้าถิ่น จะเก็บค่าที่จากเธอท่าเดียว
“ไป ชิ่ว ออกไปนะ ชิ่วๆ”
จากที่รู้สึกสิ้นหวังอยู่แล้ว พอต้องมานั่งคุยกับหมาที่รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีทางเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการแน่ๆ ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้นอีก เมื่อวานเธอยังนั่งกินโอมากาเสะในภัตราคารอยู่เลย ทำไมวันนี้ต้องมานั่งคุยกับหมาจรจัดในตรอกแสนจะเหม็นอับ ได้ยินเสียงหนูวิ่งอยู่ในท่อน้ำทิ้ง
“ยังไม่ไปอีก รีบไปสิ ถ้ารอดไปได้เดี๋ยวฉันซื้อขนมอร่อยๆ มาฝาก”
ต่อรองกับหมาเสียแล้ว แต่พูดดีๆ ก็แล้ว ยิ้มให้ก็แล้ว มันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกไป
ป๊อก!
แล้วจู่ๆ ก็มีบางอย่างร่วงลงมาใส่หัวเธอ โชคดีมีสติอยู่พอประมาณไม่อย่างนั้นเธอคงแหกปากร้องลั่น
“นี่น้องชาย”
“มึงเรียกใครน้อง”
เจ้าของกล่องนมรสกล้วยที่หล่นลงบนหัวเธอเมื่อครู่เอียงคอพูดกับคนด้านนอก เขายืนล้วงกระเป๋าเอาตัวเองบังตรอกแคบๆ นี่ไว้จากสายตาของไอ้พวกที่เดินตามเธอมาตั้งแต่เธอก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่ กระชากกระเป๋าเธอและพยายามจะฉุดกระชากเธอเข้าไปในซอยเปลี่ยวจนเธอตัดใจทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดมาถึงที่นี่
“มึงนั่นแหละ เห็นผู้หญิงสวยๆ ผ่านมาแถวนี้บ้างไหม”
ปกติเวลาถูกชมว่าสวยเธอมักรู้สึกดีใจ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกขยะแขยงจนขนลุก
เมษารินทร์ยกมือขึ้นปิดปาก พยายามจะเงียบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเธอมั่นใจว่าเจ้าของกล่องนมรสกล้วยต้องกำลังช่วยเธอแน่ๆ แอบมองท่าทีกวนๆ ของเขาจากทางด้านหลัง เสื้อยืดสีซีดที่แม้จะดูสะอาดสะอ้านแต่ก็ยังดูออกว่าเก่าและชายเสื้อเริ่มย้วย กางเกงยีนส์เข้ม ระดับความขาดที่เลยเส้นแบ่งคำว่าเซอร์ไปไกลโข รองเท้าผ้าใบสีขมุกขมัว แต่โดยรวมแล้วก็ดูเข้ากันดี ไม่มีตรงไหนที่เธอรู้สึกว่ามันขัดหูขัดตา
“โฮ่ง”
สะดุ้งอีกรอบเมื่อมัวแต่มองผู้ชายจนไม่ทันระวังว่าถูกหมาจ้องอยู่ เสียงเห่าของไอ้หมาเจ้าถิ่นดึงสายตาของผู้ชายที่เธอมองเห็นแต่แผ่นหลังของเขาให้หันกลับมา เขามองหมาก่อนจะมองมาที่เธอเสียอีก
“ผู้หญิงสวยๆ เหรอ” เขาถามไอ้พวกนั้นทั้งที่สายตาจ้องแต่เธอ หัวใจเธอเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำเพราะไม่รู้ว่าตกลงแล้วเขาจะช่วยเธอไหม ทำไมถามพวกมันเหมือนจะบอกที่ซ่อนของเธออย่างนั้น
“ใช่ หน้าตาดี ผิวขาว ผมดำ ยาวถึงเอว แต่งตัวดีๆ หน่อย”
“เดรสสีชมพู?”
ก้มมองชุดที่เธอสวมอยู่แล้วอยากจะร้องไห้
“เออ นั่นแหล่ะๆ มึงเห็นใช่ไหม”
“เห็น”
เธอเบิกตาโพลง ยกมือไหว้เขาเพื่ออ้อนวอนขอความช่วยเหลือ น้ำตาจะไหลเมื่อเธอไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อน
“โฮ่ง”
หรือเธอกำลังจะเอาชีวิตมาทิ้งจริงๆ ตอนนี้ทั้งหมาทั้งคนพร้อมใจกันชี้เป้ามาที่เธอแล้ว
“วิ่งกระหืดกระหอบไปทางท้ายซอยน่ะ”
“ท้ายซอย?”
“เออ พวกมึงเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ช่าง ไปไอ้อับโชค กลับบ้านกัน”
อับโชคคือชื่อของหมาเจ้าถิ่น ที่พอเจ้าของเรียกปุ๊บ มันก็กระดิกหางแล้วเดินตามไปทันที
เขาช่วยเธอแล้วใช่ไหม พวกมันไปแล้วหรือยัง เธอทำอย่างไรดี จะยื่นหน้าออกไปดูก็ไม่กล้า คนที่ยืนเอาตัวบังเธอไว้เมื่อครู่ตอนนี้ก็ไม่อยู่แล้วเพราะพาหมากลับบ้านไปตั้งแต่พูดจบ
เมษารินทร์นั่งนิ่งเพราะยังไม่กล้าขยับ อาศัยความเงียบฟังเสียงรอบๆ ตัวแล้วคาดเดาไปต่างๆ นานา รอจนมั่นใจว่าไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวจึงรวบรวมความกล้าเท่าที่พอมีค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปมอง
ด้านนอกไม่มีใครอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นไอ้พวกที่ตามเธอมา นายนมกล้วย หรือแม้แต่หมาอับโชค ที่ถึงมันจะชื่ออับโชค แต่ก็เหมือนจะยังโชคดีกว่าเธอในตอนนี้เสียอีก
“ยังไม่รีบกลับบ้านอีกไอ้อับโชค ตามมา เร็ว! อยากโดนหมาแถวนี้รุมหรือไง”
สะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงตะคอกดังมาจากด้านหลัง หันไปมองอีกทีเธอถึงรู้ว่าตรอกที่เธอนั่งซุกตัวอยู่มันไม่ใช่ทางตัน แต่มีป้ายอะไรสักอย่างปิดทางออกเอาไว้ ตอนนี้มันถูกลากออกไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มองไปแล้วเห็นว่าสามารถทะลุไปอีกซอยหนึ่งได้
สัญชาติญาณสั่งให้เธอสวมรอยเป็นหมาอับโชคทันที คิดเสียว่าตัวเองเป็นหมาแก้เคล็ดก็แล้วกัน ตั้งสติพร้อมรวบชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินเท้าเปล่าไปตามเสียงที่ได้ยิน เพราะเธอมองไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของหมา
ก่อนหน้านี้เธอจำต้องถอดรองเท้าทิ้งเพราะเธอเดินตกหลุมบน ฟุตบาธ ส้นรองเท้าหักทั้งที่เธอเพิ่งจะใส่มันเป็นครั้งแรก แต่ตอนนั้นไม่มีเวลาแม้แต่จะเสียดายมันด้วยซ้ำ
แป๊ก!
เสียงก้อนหินตกลงพื้นทำเธอสะดุ้งจนชะงักฝีเท้า แต่มองไปรอบตัวแล้วกลับไม่เห็นใคร นายนมกล้วยที่ท่าทางเหมือนอันธพาลเมื่อครู่ก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
“ยังไม่รีบกลับอีก”
เสียงของเขาเหมือนจะดังมาจากข้างหน้า ไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่เท่าไร
“โอ๊ย!”
เพราะรีบจนไม่ทันระวัง ทำให้เธอไม่ทันสังเกตเห็นเศษขวดแก้วแตกที่พื้น เหยียบมันเต็มฝ่าเท้า
“ไอ้เวรนั่นมันต้องหลอกเราแน่ๆ”
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อได้ยินเสียงทุ้มๆ ของอีกฝ่ายดังแว่วมาจากอีกด้านหนึ่ง ความกลัวพลันเอาชนะความเจ็บได้ในเสี้ยววินาที เมษารินทร์กลั้นใจดึงเศษขวดแก้วออกจากฝ่าเท้าแล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปเรื่อยๆ นาทีนี้ต่อให้จะไม่รู้ว่าข้างหน้าคือที่ไหน เธอก็ต้องรีบหนีจากไอ้พวกบ้านั่น
“อยู่นั่นไง”
ถูกพวกมันเห็นเข้าจนได้
“ช่วย...อื้อออ”
สองตาเบิกโพลงเมื่อตั้งใจจะร้องขอความช่วยเหลือแต่ดันถูกฉุดเสียก่อน ริมฝีปากถูกปิดด้วยฝ่ามือหนากดแน่นจนเปล่งเสียงไม่ได้
“ชู่”
แม้จะยังไม่เห็นหน้าแต่เธอคิดว่าน่าจะเป็นเขา นายนมกล้วยเจ้าของหมาอับโชค
“หายไปไหนวะ”
ไม่ทันเหลือบมองคนด้านหลังให้แน่ใจ เสียงสบถจากด้านนอกก็ทำเธอสะดุ้งสุดตัว เผลอยกมือขึ้นจับมือของอีกฝ่ายแน่น
ในขณะที่เธอทั้งตกใจและกำลังกลัวจนตัวสั่น แต่เขากลับยืนนิ่งมาก แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังสม่ำเสมอเป็นปกติเหมือนไม่ได้รู้สึกกลัวหรือตื่นเต้นกับเรื่องอันตรายแบบนี้เลยสักนิด
“หาให้ทั่ว แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว จะหายไปไหนได้วะ”
“หรือว่าถูกไอ้เวรนั่นฉุดไปแล้ว”
“หาตัวไอ้เวรนั่นมาด้วย ถ้ามันกล้าแย่งของกู พวกมึงก็จัดการมันได้เลย”
เมษารินทร์เบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงคำสั่ง เหลียวหลังไปมองเขาเพราะในใจรู้สึกกลัวว่าเขาจะไม่ช่วยเธอต่อเพราะอาจจะกลัวไอ้พวกนั้น
ทว่าสิ่งแรกที่สะดุดสายตาของเธอกลับเป็นสันจมูกโด่งๆ ของเขา เพราะเขายังเอาแต่มองออกไปด้านนอก ระดับความนิ่งของสายตาเขายากต่อการคาดเดาว่ากำลังคิดอะไร จะช่วยเธอต่อทั้งที่ตัวเองกำลังจะเดือดร้อนไหม
ต่างคนต่างเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ รอจนเสียงด้านนอกเงียบสนิทลงแล้วเขาจึงมองกลับมา
“อย่าทิ้งฉัน” เธอเอ่ยปากขอร้องเขาทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ และเขาทำเหมือนจะถอยออกไป “ช่วยฉันด้วยนะ ถ้าฉันรอดไปได้ ฉันสัญญาว่าฉันจะตอบแทนบุญคุณของนายแน่ๆ”
“แล้วถ้าฉันโดนพวกมันฆ่าตายก่อนล่ะ” เขาแย้งเสียงทุ้ม สีหน้าดูไม่ได้ใส่ใจกับความเดือดร้อนของเธอเลยสักนิด
“แต่ยังไงพวกมันก็จำหน้านายได้แล้วนะ”
“เหอะ”
“นะ ไหนๆ นายก็ช่วยฉันมาขนาดนี้แล้ว ช่วยฉันอีกนิดเถอะนะ” เมษารินทร์คว้ามือของเขามาเขย่าไม่หยุด แต่เขากลับสะบัดออกอย่างไม่ไยดี
เมษารินทร์มองฝ่ามือของตัวเองที่ถูกเขาสะบัดทิ้งอย่างไร้ค่าไร้ความหมายแล้วน้ำตาไหล เม้มริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
เธอเห็นม่านตาของเขาขยายกว้างเพราะอาการตกใจ ก่อนจะกระชากเธอเข้าสู่อ้อมแขน พร้อมตะโกนเสียงดัง
“อย่า!”
ปัง!