บทที่ 3 แค้นไม่ไหว

4570 Words
บรื้นนน….~ เสียงรถคันสุดท้ายที่จอดอยู่หน้าบ้านหลังข้างๆ ขับออกไป เฟรนด์ลุกจากโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าออกไปที่หน้าบ้านเพื่อที่จะยืนยันกับตัวเองได้ว่าเหล่าช่างก่อสร้างและไอ้ขี้เก๊กกวนประสาทได้แยกย้ายออกจากพื้นที่กันไปทั้งหมดแล้ว เยี่ยม! เฟรนด์นึกขึ้นมาในใจเมื่อเห็นว่าประตูบ้านข้างๆ ถูกปิดเรียบร้อยดีแล้ว ตั้งแต่วันที่ทำความตกลงกันเรื่องเวลาในการทำงานของแต่ละฝ่าย ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือกลายเป็นหลังมือซะงั้น เพราะจัสท์ก็ทำงานตามตารางเวลาของตัวเองในช่วงเช้า ส่วนเฟรนด์ก็ย้ายการถ่ายคลิปมาเป็นช่วงกลางคืนแทน ก็เลยทำให้ทั้งคู่ไม่มีปัญหาเรื่องรบกวนกันสักเท่าไหร่ ผ่านมา 4 วันแล้วก็ยังดูปกติมาโดยตลอด... ท้องฟ้ามืดสนิทมีเพียงแสงไฟฟ้าที่ส่องสว่าง เสียงจักจั่นดังระงมลั่นไปทั่วบริเวณนั้น ถึงแม้ว่าเฟรนด์จะต้องใช้สมาธิในการถ่ายคลิปวาดรูปแต่เขากลับรู้สึกว่าเสียงจากธรรมชาติเหล่านี้ยังดีกว่าเสียงก่อสร้างที่รบกวนประสาทเขาในตอนกลางวัน เขานั่งวาดรูปไปเรื่อยๆ ตามเดิมแบบที่เขาถ่ายคลิปลงช่องในทุกๆ ครั้ง แม้จะเป็นเวลากลางดึกขนาดนี้แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดแปลกไปจากเมื่อก่อนสักเท่าไหร่ หนำซ้ำยังรู้สึกดีมากกว่าเก่าอีกด้วย เพราะทำให้ได้บรรยากาศใหม่ๆ และเสียงประกอบใหม่ๆ จากธรรมชาติที่แตกต่างจากบรรยากาศช่วงกลางวัน ก็น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่คนดูอาจจะชอบ คนตัวเล็กวาดรูปไปเรื่อยโดยไม่ได้สนใจเรื่องเวลาเลยแม้แต่น้อย อาจเพราะมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ลงมือทำอยู่ตรงหน้าก็เลยไม่หลุดวอกแวกสักนิด เฟรนด์วางดินสอลงกับโต๊ะตัวเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ภาพวิวในจินตนาการของเขาถูกร่างด้วยดินสอไม้ลงบนกระดาษจนเสร็จ ลายเส้นละเอียดยิบชนิดที่ใครมาเห็นก็อาจจะอุทานออกมาได้ว่าคนวาดตาแตกไปแล้วหรือยัง เขาเงยหน้ามองนาฬิกาดิจิตอลที่วางไว้ไม่ไกล ตัวเลขบนนั้นแสดงให้เห็นชัดจนเขาอดที่จะตกใจไม่ได้ “โห! จะเที่ยงคืนแล้วเหรอ” เขาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเล็กน้อย ก็ดันนั่งแบบยาวนานไปหน่อยก็เลยเกิดอาการเหน็บชาขึ้นมา เมื่อความยาวขาและตัวยืดขึ้นจนสุดแล้วคนตัวเล็กก็ยืดเหยียดแขนยาวออกไปแล้วบิดขี้เกียจทางซ้ายทีทางขวาทีเพื่อไล่ความเมื่อยจากการวาดรูปเมื่อครู่ให้ออกไป “ปวดหลังชะมัด” เขาเอามือเอื้อมไปทุบแผ่นหลังบริเวณใกล้ๆ เอวและสะโพก เพราะมือเอื้อมไปได้ถึงแค่ตรงนั้น เขาเดินลงมาจากชั้นบนเพราะรู้สึกถึงเสียงเรียกหาอะไรบางอย่างในกระเพาะของตัว มันกำลังทำงานและส่งสัญญาณมาให้เจ้าของมันหาอะไรกินเข้าไปบ้างได้แล้ว หลังจากที่นั่งนิ่งๆ ทำงานอยู่นานหลายชั่วโมง โครกกก... เสียงท้องร้องดังลั่นท่ามกลางความเงียบในขณะที่เฟรนด์เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าตู้เย็นในห้องครัว มือเรียวคว้าหมับเข้าที่ประตูตู้เย็นก่อนจะออกแรงเปิดออกมา เขาก้มลงมองหาว่าพอจะมีอะไรกินได้บ้างในเวลานี้ที่จะไม่หนักท้องจนเกินไป “กินไรดีวะ” สายตาสอดส่ายทั่วทั้งตู้ที่อัดแน่นไปด้วยของกิน ไม่ว่าจะเป็นสลัดผักกล่องใหญ่ที่ซื้อมาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดูน่าจะเหมาะสมที่สุดในตอนนี้ แต่ข้างๆ ก็มีแตงโมกับชมพู่วางอยู่ซึ่งก็ดูน่ากินกว่าเป็นไหนๆ “เห้อ..” เฟรนด์ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะยื่นมือไปคว้าเอากล่องผลไม้ออกมา แต่ยังไม่ทันที่จะได้เคลื่อนกล่องผลไม้ผ่านพ้นออกจากบริเวณตู้ สายตาเจ้ากรรมก็ดันทรยศความตั้งใจที่จะกินมื้อดึกแต่เพียงน้อยไปเสียดื้อๆ เพราะมันเผลอเหลือบไปเห็นเค้กก้อนหนึ่งที่แฟนคลับได้ซื้อไว้ให้เมื่อวานซืน แล้วเพิ่งจะได้กินเข้าไปเพียงคำเดียว “หรือจะกินเค้กดีวะ” สิ้นเสียงพึมพำของเฟรนด์ มือบางก็เปลี่ยนวิถีจากกล่องผลไม้มาเป็นกล่องเค้กด้านล่างแทน เฟรนด์หยิบมันออกมาวางที่โต๊ะก่อนจะเปิดกล่องเค้กออก ปรากฎให้เห็นเค้กวานิลลาก้อนโตที่ประดับหน้าเค้กด้วยตุ๊กตาน้ำตาลปั้นเป็นรูปของเขากับสัญลักษณ์ของยูทูปที่วางอยู่ข้างๆ กัน ช้อนแสตนเลสถูกมือบางค่อยๆ ตักลงไปบนเนื้อเค้ก แล้วบรรจงเลื่อนมาเข้าปากของเขา “อื้มมม” รอยยิ้มเผยอออกมาเด่นชัดทันทีที่ลิ้มของเขาได้สัมผัสเนื้อนุ่มของเค้กและรสชาติละมุนปาก “อร่อยจังวะ” เฟรนด์ชื่นชมกับเค้กที่ตัวเองกินไปพลางหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนดูฟีดในไอจีไปด้วย พอเลื่อนดูรูปบนฟีดจนเบื่อก็เลยย้ายไปดูช่อง notifications ว่ามีใครแท็กอะไรในสตอรี่มาบ้าง เขากดเลื่อนดูไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นสตอรี่ที่แฟนคลับแท็กมา บ้างเป็นส่วนหนึ่งของคลิปในช่องที่ถูกแคปมา บ้างก็เป็นรูปในไอจีที่เขาเคยโพสท์เอาไว้ แต่มีอยู่สตอรี่หนึ่งที่สะดุดตาเขาเป็นพิเศษ.. เพราะเป็นสตอรี่ที่แอบถ่ายเขาขณะที่กำลังอัดคลิปทำ Vlog อยู่ที่บริเวณหลังบ้าน ซึ่งทันทีที่เขาเห็นก็เดาได้ไม่ยากว่าเป็นฝีมือของไอ้จัสท์แน่นอน “เหี้ยไรเนี่ย!” เฟรนด์รู้สึกโมโหขึ้นมาหน่อยๆ เพราะจัสท์ทั้งแอบถ่ายและแอบเอาไปโพสท์โดยที่เขาไม่ได้อนุญาตด้วยซ้ำ “นี่มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลกันชัดๆ” เฟรนด์กดอิโมจิรูปโกรธส่งกลับไปในสตอรี่ไอจีของจัสท์ ครืด~ เสียงมือถือสั่นแจ้งเตือนดังขึ้นแทบจะทันที หลังจากที่คนตัวเล็กส่งอิโมจิไปแล้ววางมือถือลง @J_ustme : ทำไมครับ 5555 @J_ustme : ไม่ชอบเหรอครับ ข้อความในไดเร็กไอจีโชว์ขึ้นหลังจากที่เฟรนด์กดเข้ามาดู “ไอ้ควาย” เสียงใสอุทานออกมาด้วยความหงุดหงิด @Withyourfriend : ครับ @Withyourfriend : คุณยังไม่ได้ขออนุญาตผมเลยนะครับ @J_ustme : หื้ม? @J_ustme : แต่ผมก็บอกคุณไปแล้วนะครับว่าจะแท็กสตอรี่ไป @J_ustme : คุณก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะห้ามนี่นา @J_ustme : แต่ถ้าไม่พอใจเดี๋ยวผมลบก็ได้ครับ @Withyourfriend : นี่คุณ! @J_ustme : เพิ่งรู้นะครับว่าเน็ตไอดอลชื่อดังแบบคุณเรื่องมากขนาดนี้ “น่ารำคาญจังวะ” เฟรนด์อ่านจบก็ไม่ได้ตอบอีกฝ่ายกลับไปอีก เพราะไม่อยากจะสนทนาด้วย เขาวางโทรศัพท์มือถือดังปังบนโต๊ะก่อนจะตักจ้วงเอาเค้กเข้าปากอีกสองสามคำแล้วยกไปเก็บเข้าตู้เย็นเหมือนเดิม เขายกขวดน้ำในตู้เย็นขึ้นดื่มเพื่อล้างปากล้างคอแล้วหันไปคว้ามือถือเดินกลับขึ้นไปบนห้องที่นั่งวาดรูปเมื่อครู่ จากนั้นก็หยิบกล้องตัวที่เพิ่งถ่ายคลิปเสร็จมาถอดเอาเมมโมรีการ์ดออกแล้วเปลี่ยนอันใหม่ที่มีพื้นที่ว่างอยู่เข้าไปแทน ก่อนจะเอาเมมโมรีการ์ดอันที่ดึงออกมาจากกล้องเสียบเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อย้ายข้อมูลที่ถ่ายตอนวาดรูปลงไป ระหว่างรอข้อมูลดาวน์โหลดลงคอม เขาก็เชื่อมต่อบลูทูธเข้ากับลำโพงตัวโปรด แล้วเปิดเพลงเพื่อฟังผ่อนคลายหลังจากนั่งวาดรูปมาหลายชั่วโมง “งีบแป๊บหนึ่งละกัน เดี๋ยวค่อยตื่นมาถ่ายตอนลงสีต่อ” เฟรนด์กดหรี่ไฟจากแอพลิเคชั่นในมือถือที่ได้เชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องนี้ไว้ให้แสงสว่างน้อยลง ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวประจำที่เขามักใช้นั่งพักเวลาเสร็จงาน เสียงเพลงที่ดังคลออยู่เบาๆ ช่วยขับกล่อมให้เขาหลุดเข้าไปสู่ห้วงแห่งการหลับไหลได้อย่างง่ายดาย “....” “....” “....” โครมมม!!!! เสียงโครมครามดังแหวกความเงียบขึ้นมาจนสนั่นลั่นไปทั่วพื้นที่ เฟรนด์ที่กำลังงีบหลับอย่างสบายใจก็มีอันจะต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ “เชี่ยยย!!” คนตัวเล็กร้องลั่นลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะหันมองไปรอบๆ ด้วยตาหยีๆ เพราะแสงสว่างลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง จากนั้นเขาจึงรีบหันขวับไปมองดูที่นาฬิกาทันที 7:00 น. “ชิบหายแล้ววววว!!! กูว่าจะงีบแค่แป๊บเดียว ไหงหลับยาวยันเช้าเลยวะเนี่ย!!” เฟรนด์ขยี้หัวด้วยเพราะหงุดหงิดตัวเองที่ดันเผลอทำผิดแผน จากที่คิดจะพักสายตาแค่ชั่วครู่กลับกลายเป็นนอนยาวจนถึงรุ่งเช้า เขารีบลุกขึ้นไปแปรงฟันล้างหน้าก่อนจะลงไปเปิดประตูบ้านด้วยชุดนอนลายสก๊อตสีกรมท่ากับรองเท้าใส่ในบ้านสีครีมคู่ประจำ เขาเลื่อนประตูให้เปิดออกแล้วชะโงกหน้าไปดูก็เห็นบ้านหลังข้างๆ มีรถของช่างก่อสร้างจอดอยู่ด้านหน้า ทันทีที่เขาเห็นก็เป็นอันได้คำตอบว่าเสียงที่ดังหนวกหูจนเขาตกใจตื่นนั้นมีต้นตอมาจากไหน ลมหายใจถูกถอนยาวออกมาก่อนที่คนตัวเล็กจะหันมองไปตามเส้นถนนแทน “ไม่ทันใส่บาตรอีกแล้วแน่เลย” เฟรนด์บ่นพึมพำ เพราะปกติเขาจะต้องบาตรทุกเช้าเป็นประจำแทบไม่เคยขาด แต่พอไอ้บ้านข้างๆ เริ่มเข้ามาสร้างความวุ่นวายจนทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนเวลาชีวิตใหม่ ก็เลยทำให้ช่วงสามสี่วันมานี้เขาแทบจะไม่ได้ใส่บาตรเลยแม้แต่วันเดียว “แล้ววันนี้วันพระ เห้อ..” เขาถอนหายใจเมื่อหันไปเห็นปฏิทินที่แขวนแปะอยู่ตรงบริเวณข้างฝาบ้าน “ตื่นเช้าจังคุณ หรือยังไม่ได้นอน” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยทัก “ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงโครมครามบ้านคุณนั่นแหละ!” น้ำเสียงของคนตัวเล็กเปลี่ยนเป็นเสียงแข็งทันทีเมื่อหันมาเห็นจัสท์ยืนยิ้มกวนอยู่บ้านข้างๆ “แต่นี่มันก็เป็นเวลาทำงานของผมแล้วนะครับ” จัสท์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ตามที่เราคุยกันไว้ไง” “ก็ไม่ได้ว่าอะไรหนิ” เฟรนด์ตอบก่อนจะเบ้ปากแล้วหมุนตัวหันหลังจะเข้าบ้าน “เดี๋ยวคุณ” คนตัวสูงเอ่ยเสียงรั้งคนตัวเล็กไว้ “อะไร” เฟรนด์สะบัดหน้าหันมามองด้วยสายตาเหวี่ยง ไม่สบอารมณ์ “คุณจะใส่บาตรเหรอครับ” จัสท์เอ่ยถามคนตัวเล็ก “รู้ได้ไง!” “แหม่.. ก็พูดดังซะขนาดนั้น ไม่ได้ยินเลยมั้ง” “นี่คุณ!!” “ใจเย็นๆ คุณ วันพระอารมณ์เสียแต่เช้าไม่ดีน้า...” “ชิ!” เฟรนด์ส่งเสียงไม่สบอารมณ์ ขาเรียวก้าวเข้าประตูบ้านเพราะเบื่อที่จะฟังอีกฝ่ายพูด แต่คนขายาวก็เร่งฝีเท้าเดินมาที่หน้าบ้านของเขาเสียก่อน “เดี๋ยวสิคุณ ทำไมชอบหนีจังห้ะ!” จัสท์ก้าวเท้าเดินตามมาหยุดที่หน้าบ้านของเฟรนด์ “แล้วทำไมคุณถึงชอบวอแวจังห้ะ!” คนตัวเล็กกว่าขึ้นเสียงใส่ “ใจเย็นก่อนน.. ฟังผมก่อน” “อะไร!” “พอดีผมว่าจะไปวัด คุณอยากไปด้วยกันมั้ย” จัสท์ถามโพล่งออกไป “ไปเองได้ครับ” เฟรนด์บอกปัด “โถ่คุณ ปฏิเสธคนชวนทำบุญนี่มันจะบาปเอาน้า..” คนตัวสูงพูดต่อพลางเล่นหูเล่นตาด้วยความทะเล้น “รำคาญ!!!” เฟรนด์ตะคอกใส่อีกฝ่ายกลับไปด้วยเสียงแข็งดังลั่นแล้วทำทีจะเดินหนีขึ้นชั้นสองไป แต่เสียงของคนตัวสูงก็ดังขึ้นรั้งไว้อีกครั้ง “สรุปคือไม่ไปใช่มั้ยครับ” “...” “ไม่ตอบซะด้วย..” จัสท์พูดในขณะที่สายตายังจ้องแผ่นหลังเล็กของเฟรนด์ที่กำลังเดินหันหลังให้ตัวเอง “โอเคคุณ ไม่ไปก็ไม่ไป ผมไม่กวนละงั้น” คนตัวสูงพูดจบก็กำลังจะถอยออกจากบ้านไป แต่ก็ไม่วายที่จะแกล้งส่งเสียงบ่นลอยๆ ออกมาเสียดังลั่น “เห้อ... คนเราน้า อุตส่าห์ชวนทำบูญแท้ๆ แต่ต้องมาโดนเหวี่ยงโดนใส่อารมณ์แต่เช้าเลยเนี่ย เห้ออออ...” “เดี๋ยว” เสียงของคนตัวเล็กดังขึ้น “ครับ?” จัสท์หันกลับมามอง พยายามบังคับใบหน้าของตัวเองไม่ให้หลุดยิ้มออกมา “จะไปกี่โมง..” เฟรนด์ถามต่อด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “ห้ะ” “ถามว่าจะไปกี่โมง” “ก็เนี่ย ไปได้เลยตอนนี้” คนตัวสูงยกแขนผายมือไปทางหน้าบ้านที่มีรถยนต์ของเขาจอดรออยู่แล้ว เฟรนด์มองหน้าจัสท์นิ่ง สายตาล่อกแล่กไปมาเหมือนมีอะไรอยากจะพูดแต่ก็ยังไม่กล้าพูดออกมา “...” คนตัวสูงมองจ้องกลับไปด้วยความงุนงง “อะไรครับ?” “รอแป๊บ ขออาบน้ำก่อน” เฟรนด์พูดจบก็รีบก้าวเท้าเดินขึ้นชั้นบนไปทันที ที่เขาเลือกตอบตกลงจะไปวัดกับจัสท์ก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลอะไรมากไปกว่าเขาจะได้ไม่ต้องขับรถเอง แล้วอีกอย่างจะได้หาคนช่วยยกของด้วย เพราะวันนี้เป็นวันพระใหญ่เขาเลยตั้งใจว่าจะแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อไปทำสังฆทานสักหน่อย ถ้าไปคนเดียวเขาคงต้องยกเองจนเหงื่อตกหอบแฮ่กแน่ๆ ไม่ถึงสิบห้านาทีเฟรนด์ก็เดินลงมาด้วยหน้าผมสุดเป๊ะ เสื้อผ้าจัดเต็มตามสไตล์เน็ตไอดอลที่มาในลุคชุดขาวทั้งตัวที่เดินไปไหนทุกคนก็ต้องรู้แน่นอนว่าเขาพร้อมไปทำบุญ นอกจากนั้นในมือยังถือกล้องเจ้าประจำที่ใช้ถ่าย vlog ลงมาด้วย ส่วนอีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่ก็คว้ากระเป๋าสะพายใบจิ๋วขึ้นมาสะพายไหล่แล้วเดินตรงไปที่หน้าบ้านทันที จัสท์ที่ยืนสั่งงานช่างก่อสร้างอยู่หันมาเห็นเมื่อคนตัวเล็กวิ่งออกมาจากบ้านก็แอบตะลึงไปนิดหนึ่งกับความจัดเต็มของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปสั่งงานกับช่างต่ออีกนิดหน่อยแล้วเดินมาหาเฟรนด์ที่ยืนมองอยู่ “โหคุณ ไปทำบุญต้องเต็มขนาดนี้เลยหรอครับ” “ก็ผมเป็นยูทูปเบอร์นี่ครับ ทุกอย่างคือคอนเทนต์” เฟรนด์พูดพลางชูกล้องที่ถือติดมือลงมาด้วย คนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ได้แต่อมยิ้มมุมปากแล้วยักไหล่เชิงตามใจ “ถ้าพร้อมก็ไปกันเถอะครับ ผมต้องกลับมาดูหน้างานอีก” จัสท์พูดจบก็เดินนำไปขึ้นรถของตัวเองทันที เฟรนด์กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังคนตัวสูงมาขึ้นรถฝั่งด้านข้างคนขับแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่ง พอรถสตาร์ทและออกตัวไปได้ไม่เท่าไหร่ คนตัวเล็กก็รีบคว้าเอากล้องที่พกมาด้วยขึ้นถ่ายคลิปทันที เขาเช็คหน้าผมของตัวเองอีกครั้งผ่านทางหน้าจอของกล้องที่สะท้อนภาพที่ถูกถ่ายผ่านเลนส์ออกมา ก่อนจะเริ่มกดปุ่มเพื่อบันทึกวิดีโอ “สวัสดีคร้าบบบ กลับมาเจอกันอีกแล้วนะครับกับช่อง With your Friend~!!!! เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันพระ เฟรนด์ก็เลยจะพาทุกคนไปทำบุญกันนะครับที่วัดใกล้ๆ บ้านเฟรนด์นี่แหละ แล้วก็วันนี้โชคดีมากๆ เลยครับ เพราะว่าได้สารถีขับรถพาไปด้วยแหละ แท้แด่มมม~!!!” คนตัวเล็กหมุนกล้องเพื่อไปรับหน้าคนตัวสูงที่กำลังตั้งอกตั้งใจกับการขับรถ ส่วนตัวเองก็โบกไม้โบกมือทักทายอีกฝ่ายผ่านกล้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยมีสายตาของคนขับรถแอบเหล่มองมาด้วยความไม่เข้าใจ “ถ่ายผมทำไมครับเนี่ย” จัสท์เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แหม่ ก็คุณอุตส่าห์ขับรถพาผมไปวัดเลยนะ ก็ต้องให้เครดิตหน่อยป้ะ” เฟรนด์พูดไปพลางนิ้วก็กดปุ่มหยุดอัดที่กล้องไปพลาง “งี้คุณต้องจ่ายเงินให้ผมด้วยนะ” คนตัวสูงพูดพลางอมยิ้มเจ้าเล่ห์ “ค่าอะไร” เสียงใสของคนตัวเล็กเอ่ยถามขึ้นมาแทบจะทันที “ก็ค่าตัวผมไง ก็คุณเอาผมออกรายการคุณในยูทูปเนี่ย” “เวอร์ นิดๆ หน่อยๆ เอง” เฟรนด์เอ่ยพลางเบะปากหมั่นไส้ใส่คนข้างๆ “เวอร์ตรงไหน ก็คุณเอาคลิปไปลง มันก็สร้างรายได้ให้กับคุณ แล้วผมได้อะไรอ่ะ?” จัสท์ยังคงถามต่อด้วยน้ำเสียงกวน “ก็มีคนรู้จักเพิ่มขึ้นไม่ดีหรือไง” “แค่นั้นอ่ะหรอ?” “แล้วคุณจะเอาอะไรอีก” เฟรนด์เริ่มหงุดหงิด หันหน้าไปถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่คิ้วสองข้างแทบจะขมวดผูกกันเป็นปม “ไหนจะค่าน้ำมันรถผมที่ขับไปวัดอีกอ่ะ” จัสท์เหล่มองแวบหนึ่งด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันกลับไปมองถนนต่อ “เอ้า! แต่คุณจะมาวัดอยู่แล้วนี่ แล้วก็ยังอาสาพาผมมาเองนะ ช่วยไม่ได้” คนตัวเล็กยักไหล่ไม่สนใจ เออว่ะ ลืมเลย... เป็นคนเอ่ยปากชวนเขาแท้ๆ จัสท์คิดก่อนจะอมยิ้มบางๆ พลางมือหนาก็ค่อยๆ เลื่อนไปเปิดเพลงเพื่อขับกล่อมให้บรรยากาศภายในรถไม่ให้รู้สึกเงียบเหงาจนเกินไป ไม่งั้นคงต้องนั่งอึดอัดกันไปตลอดทางจนถึกว่าจะถึงวัดนั่นแหละ “เออคุณ” เสียงเล็กของเฟรนด์ดังแทรกขึ้นมา “ครับ?” “เดี๋ยวจอดร้านสะดวกซื้อแป๊บ ผมจะซื้อของไปถวายสังฆทานหน่อย” “โอเคครับ” จัสท์รับคำแล้วมองหาป้ายร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ๆ “แล้วก็ปิดเพลงด้วยครับ” คนตัวเล็กเอ่ย “ห้ะ? ปิดทำไมอ่ะครับ” จัสท์อุทานออกมาด้วยความไม่เข้าใจ “ก็ผมจะถ่ายงานต่อไง เปิดเพลงเดี๋ยวมันโดนลิขสิทธิ์ขึ้นมาก็ซวยดิ” “อ๋อ” คนตัวสูงพยักหน้ารับ ในขณะเดียวกันเฟรนด์เองก็หยิบกล้องขึ้นมาอีกครั้งแล้วกดปุ่มบันทึกอีกรอบ แล้วก็พูดดำเนินรายการต่อทันทีด้วยความร่าเริง “ตอนนี้ก็กำลังจะหาร้านสะดวกซื้อกันนะครับ เพราะว่าเฟรนด์เนี่ยจะซื้อของไปถวายสังฆทานที่วัดสักหน่อย ยังไงเดี๋ยวตามไปดูกันเลยคร้าบบบ” ติ๊ด! เฟรนด์กดหยุดบันทึกแล้วกลับมานั่งหน้านิ่งเหมือนเดิมทั้งๆ ที่เมื่อกี๊ยังเฮฮาบ้าบออยู่เลย ทำให้คนที่ขับรถอยู่ข้างๆ อย่างจัสท์อดจะหลุดขำออกมาไม่ได้ “ขำอะไรห้ะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหวี่ยง “เปล่าครับ คุณตลกดี ตอนเปิดกล้องถ่ายเป็นอีกคน พอเลิกถ่ายก็กลับมาเป็นอีกคนอ่ะ ฮ่าๆ” “ก็ปกติป้ะ ใครจะร่าเริงได้ตลอดเวลา” “ไม่เหนื่อยหรอครับ” จัสท์ถาม “ก็ไม่นะ ชินละ ก็ทำงานอ่ะ” เฟรนด์ตอบก่อนจะหันไปเห็นป้ายร้านสะดวกซื้อที่โชว์เด่นหราอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 300 เมตร “นั่นไงคุณ! ร้านสะดวกซื้อ เดี๋ยวแวะร้านนั้นเลยๆ” เขาพูดพลางชี้นิ้วบอกอีกฝ่าย รถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดยังที่จอดรถด้านหน้า เสียงเครื่องยนต์ดับลง ประตูรถทางด้านซ้ายเปิดออก ขาเรียวค่อยๆ ก้าวออกมาจากตัวรถ เฟรนด์ยกกล้องขึ้นมาเริ่มถ่ายตัวเองอีกครั้งโดยมีจัสท์เดินตามมาด้านหลัง “ตอนนี้เราก็ถึงร้านสะดวกซื้อแล้วนะครับ ซื้ออะไรบ้างดีน้า...” คนตัวเล็กเดินนำเข้าไปด้านในพร้อมคว้าเอาตะกร้าไปด้วย “มา ผมถือให้” จัสท์เดินมาขนาบด้านข้างแล้วคว้าเอาตะกร้าในมือของเฟรนด์ไปถือไว้เอง “ขอบคุณครับ..” คนตัวเล็กเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความงุนงงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปพูดกับกล้องที่กำลังถ่ายอยู่อีกครั้ง “ปกติแล้วเวลาถวายสังฆทานเนี่ย หลายคนก็ชอบซื้อแบบถังแบบที่ตามร้านเขาจัดไว้สำเร็จแล้วใช่มั้ยครับ แต่ตัวเฟรนด์เองรู้สึกว่าบางทีเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าของข้างในมันคุณภาพดีแค่ไหน จะหมดอายุเมื่อไหร่ ก็เลยคิดว่าถ้าเราได้มาเลือกซื้อของเองแล้วค่อยเอาไปถวายเป็นสังฆทานน่าจะดีกว่า เฟรนด์ก็เลยทำแบบนี้มาตลอดเลยครับ.....” เสียงเจื้อยแจ้วดังอยู่ตลอดตั้งแต่เดินก้าวเข้ามาภายในของร้าน จัสท์เดินเลือกของไปเรื่อยๆ เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะต้องเลือกซื้ออะไรบ้างเวลาถวายสังฆทาน เพราะปกติแล้วเขาก็ชอบซื้อแบบสำเร็จรูปที่ร้านจัดเป็นชุดๆ ไว้อยู่แล้วแบบที่เฟรนด์พูดเมื่อครู่ เพราะมันง่ายแล้วก็สะดวกดี บางทีก็ไปหยอดตู้แล้วใช้สังฆทานเวียนของที่วัดด้วยซ้ำ ไม่เคยหรอกที่จะต้องมาเดินซื้อของแยกชิ้นแบบนี้ เพราะไม่ใช่วิถีของเขาด้วยซ้ำ “ได้อะไรแล้วบ้างครับ” เฟรนด์เดินถือกล้องเข้ามาหาจัสท์ที่กำลังยืนมองสินค้าอยู่บริเวณโซนกระดาษทิชชู่ “ยังไม่ได้อะไรเลยครับ” คนตัวสูงยิ้มให้กล้องพลางยกตะกร้าเปล่าขึ้นมา “งั้นก็เอาอันใหญ่ไปเลยคุณ” เฟรนด์พูดจบก็คว้าเอากระดาษทิชชู่แพคใหญ่สุดมาถือไว้เพราะขนาดมันใหญ่เกินกว่าตะกร้าไปเยอะทีเดียว ทั้งสองคนเดินเลือกหยิบของไปถ่ายไปอยู่อย่างนั้น จากตะกร้าเปล่าจนกระทั่งตอนนี้เต็มไปด้วยสิ่งของที่ต่างฝ่ายต่างช่วยกันหยิบใส่มาจนแทบจะล้น จัสท์กระเตงเอาตะกร้าที่อัดแน่นด้วยของที่จะเอาไปถวายสังฆทานมาวางไว้ที่เคาท์เตอร์ชำระเงิน ก่อนจะเดินกลับไปหาเฟรนด์แล้วหยิบเอาสิ่งของที่เหลือมาวางรวมกันที่เคาท์เตอร์ “คิดเงินเลยครับ” จัสท์เอ่ยบอกกับพนักงานที่ยืนอยู่ตรงนั้น เสียงติ๊ดบาร์โค้ดและตัวเลขบนหน้าจอแสดงผลราคาที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้นไปเรื่อยๆ คนตัวสูงยืนมองอยู่ตรงนั้นก่อนที่เฟรนด์จะเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ “โห เยอะนะเนี่ย” “ก็ใช่สิ คุณเล่นหยิบไม่หยุดเลย” คนตัวสูงเอ่ยแซว “ถุงผ้านี่ไม่พอใส่แน่ๆ” เฟรนด์หยิบถุงผ้าออกมาโชว์แล้วยิ้มขำ “ไม่ถ่ายเหรอคุณ อันนี้น่าจะตลกนะครับ” จัสท์พูดพลางส่งสายตาไปยังกล้องที่อยู่ในมือคนตัวเล็ก “เอ้อ นั่นสิ” เฟรนด์ยกกล้องขึ้นมากดบันทึกแล้วพูดประโยคเดิมอีกครั้ง “ทุกคนนนน ดูของที่ซื้อตอนนี้สิครับ” เขาแพลนกล้องไปที่เคาท์เตอร์คิดเงินที่เต็มไปด้วยของที่เลือกมาก่อนจะแพลนกล้องกลับมาที่ตัวเองพร้อมชูถุงผ้าขึ้นมา “แล้วทุกคนดูถุงที่เฟรนด์เอามาสิครับ ไม่พอแน่เลย แงงงง” ติ๊ด! เฟรนด์กดหยุดถ่ายแล้วลดกล้องลงก่อนจะต้องหันไปมองหน้าจัสท์ที่ยืนกลั้นหัวเราะอยู่ข้างๆ “หัวเราะอะไรครับ” “ก็ขำคุณอ่ะแหละ” “อะไรอีก ก็ถ่ายงานอ่ะ ต้องชินได้แล้วป่ะ ขำอยู่ได้” เฟรนด์เบ้ปากใส่อีกฝ่าย “ก็มันตลก เดี๋ยวร่าเริง เดี๋ยวบึ้งตึง แล้วก็กลับมาเฮฮาอีก” จัสท์พูดไปพลางทำท่าทางเลียนแบบอีกฝ่ายไปด้วย “ผีเข้าผีออกดีครับ” “ไร้สาระ” เฟรนด์ส่ายหัวตอบแล้วหัวไปล้วงเอากระเป๋าเงินออกมาเตรียมที่จะจ่ายเงิน แต่ถูกคนตัวสูงเอ่ยทักเอาไว้ก่อน “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจ่ายเอง ถือซะว่าทำบุญ” “บ้า! ไม่ได้นะคุณ ของทำบุญ หารกันก็ยังดี” เฟรนด์บอกปัดก่อนจะยัดเงินใส่มือจัสท์ คนตัวสูงรับเงินในมืออีกฝ่ายมาแล้วยื่นให้ตามจำนวนที่พนักงานบอก จากนั้นก็พยายามหยิบของที่คิดเงินแล้วใส่ในถุงผ้าที่เฟรนด์ยื่นมาให้จนเต็ม “เดี๋ยวผมเอาไปใส่หลังรถก่อนนะครับ” จัสท์บอกแล้วเดินออกไป ส่วนเฟรนด์ก็ค่อยๆ โกยของที่เหลืออยู่ลงตะกร้าของร้านแล้วหันไปบอกกับพนักงาน “ขอยืมขนของไปใส่รถก่อนนะครับ” ทั้งคู่เดินหอบข้าวของที่ซื้ออยู่หลายรอบจนหมด เฟรนด์ที่ถือตะกร้าเอาของมาใส่รถเป็นรอบสุดท้ายไม่ลืมที่จะเอาตะกร้าเข้าไปคืนด้านในร้าน แต่ขณะที่เขากำลังจะเดินออกมาก็มีเสียงเรียกชื่อของเขาดังขึ้น “พี่เฟรนด์ใช่มั้ยคะ” หญิงสาวตัวเล็กที่เพิ่งเดินสวนกับเขาเมื่อครู่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีดี๊ด๊าเพราะความดีใจ “ครับ” เฟรนด์หันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะเผยรอยยิ้มให้อีกฝ่ายได้เห็น “หนูขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยคะ” “อ้อ ได้ครับ” เฟรนด์ขยับเข้าไปใกล้ผู้หญิงคนนั้นแล้วส่งยิ้มให้กับกล้องมือถือที่อีกฝ่ายถือรอไว้ แชะ! สิ้นเสียงชัตเตอร์หญิงสาวคนนั้นก็กรีดร้องในลำคอแล้วดีดดิ้นอยู่ตรงนั้นด้วยความตื่นเต้น เฟรนด์เห็นเข้าก็อดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้ “หนูดูคลิปพี่ตลอดเลยนะคะ ชอบมากเลยค่ะ” “ขอบคุณนะครับ พี่ขอตัวก่อนนะครับ” เฟรนด์ยิ้มแป้นให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากร้านไป จัสท์ยืนกอดอกพิงรถรออยู่ด้านนอกมองตามเฟรนด์ที่เดินหลีกออกมาจากแฟนคลับด้านใน เขาแอบอมยิ้มตลอดเวลาที่อีกฝ่ายเดินตรงกลับมาที่รถ “เป็นไรคุณ ยิ้มอยู่นั่น” เฟรนด์เอ่ยทัก “ก็คนมันขำอ่ะครับ น่ารักดี” “ประสาท” เฟรนด์ส่ายหัวแล้วเปิดประตูรถก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่ง จัสท์ที่ตามขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับเอ่ยพูดต่อ “โถ่คุณ ผมไม่เคยรู้จักคนที่มีแฟนคลับมาก่อนนี่นา” “เดี๋ยวก็ชินเองแหละ” เฟรนด์ตอบ “กว่าจะถึงวันนั้น คงได้ตีกันตายก่อนมั้งครับ” จัสท์พูดพลางหัวเราะก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับเคลื่อนออกไป โดยมีเฟรนด์หันมามองตาขวาง “คุณนั่นแหละชอบเริ่มก่อน” เฟรนด์เถียง “ห้ะ ผมเหรอ?” จัสท์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ก็ใช่สิ ดูอย่างวันนี้ดิ พูดดีคุณก็พูดได้ แต่ชอบมากวนตีนให้ผมโมโหอยู่เรื่อย” “ก็หน้าคุณเวลาโมโหมันตลกดีนี่ครับ” “นี่คุณ!” เฟรนด์ขึ้นเสียงด้วยความโกรธ “ทำไมครับ จะด่าอะไรผมอีก” คนตัวสูงเอ่ยถามด้วยใบหน้ากวน “เห็นแก่วันพระหรอกนะ จะยอมไม่ด่าวันนึง!” “ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของคนตัวสูงที่หลุดโพล่งออกมานั้นทำเอาคนตัวเล็กแทบจะหมดความอดทนอยู่เหมือนกัน “เดี๋ยวก็ทุบให้หรอก!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD