บทที่ 5 รื้อฟื้นไม่ไหว

2365 Words
“หน้าอกคุณ.. แผลเป็นเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามขึ้น “ไม่ใช่ครับ” เฟรนด์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง “แล้วรอยอะไรเหรอครับ?” “นี่.. จำไม่ได้จริงๆ เหรอ” เฟรนด์ถามอย่างสงสัย จัสท์ได้ยินแบบนั้นก็ลดมือที่กำลังเช็ดหัวอีกฝ่ายลงแล้วจ้องมองด้วยความไม่เข้าใจ “ครับ?” มือบางของเฟรนด์ค่อยๆ ยกขึ้นมาจับที่ปกเสื้อแล้วเคลื่อนออกเพื่อเผยให้เห็นรอยปานแดงที่บริเวณหน้าอกของตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้น “ทีนี้จำได้หรือยัง” “ห้ะ?” จัสท์ยังคงอุทานออกมาด้วยความสงสัย ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “นี่มึงจำกูไม่ได้จริงๆ หรอ” เฟรนด์ถามย้ำแต่ครั้งนี้สรรพนามได้เปลี่ยนไปเสียแล้ว ดวงตาคมของจัสท์เบิกโตขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ด้วยความตกใจ ก่อนจะก้มลงมองที่รอยปานแดงนั้นอีกครั้งแล้วกลับมาจ้องหน้าคนตัวเล็กตรงหน้าด้วยความตะลึง “นี่คุณ.. อะ.. ไอ้เฟรนด์ ห้อง 8 หรอ!” ... ... ... ปีการศึกษา 2552 เด็กหนุ่มผิวคล้ำใส่แว่นหนาเตอะประกอบกับเส้นผมหยักศกชี้ฟูไม่เป็นทรงกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาที่หน้าห้อง 4/8ก ที่มีป้ายไม้สีน้ำตาลเข้มที่ถูกทาเคลือบน้ำมันจนเงาวับ ตัวอักษรสีทองถูกติดเรียงเอาไว้เป็นคำว่า English Gifted Program เขาเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไปด้วยความรู้สึกตัวเล็กลีบเพราะเขาเพิ่งจะย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่นี่ ทำให้อะไรๆ ก็ดูใหม่สำหรับเขาไปทั้งหมด เขาหันซ้ายมองขวาแล้วพบเข้ากับเด็กหนุ่มอีกคนที่ดึงดูดสายตาเขาอย่างน่าประหลาด ร่างบางเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยปากทักจนหนุ่มผิวใสคนนั้นหันหน้ามามอง “นาย” ร่างบางเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ “ครับ?” “ตรงนี้มีคนนั่งมั้ย ขอนั่งด้วยคนดิ” “นั่งเลยๆ” เพื่อนใหม่หน้าหล่อเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอื้อมมือคว้าเก้าอี้แล้วลากออกมาให้คนตัวเล็กนั่ง “ชื่ออะไรหรอ” “จัสท์ แล้วนายอะ ชื่อไร” “เราชื่อเฟรนด์” “เด็กใหม่ใช่ป่ะ” จัสท์ถามต่อ “อื้อ” เฟรนด์พยักหน้ารับ “แล้วย้ายมาจากไหนอะ” “ดำเนินสะดวกอะ แต่ไม่กล้าบอกชื่อโรงเรียนกลัวนายไม่รู้จัก” เฟรนด์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้ง ความมั่นใจที่เคยมีตอนอยู่โรงเรียนเก่ากลับหายไปหมดสิ้น เพราะเขารู้สึกว่ามันเหมือนไม่ใช่ที่ของเขา มันยังไม่ชินสักเท่าไหร่นัก “ที่มีตลาดน้ำอะนะ” “ช่าย” “เชื่อมั้ยตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยไปเที่ยวตลาดน้ำเลย เป็นคนราชบุรีแท้ๆ” จัสท์หัวเราะเบาๆ ขณะพูด “บ้านเราอยู่ใกล้ตลาดน้ำ ไว้พาไปเที่ยว” “เอาดิ” สีหน้าของจัสท์ดูตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยกันต่ออาจารย์คนหนึ่งก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยสีหน้าเข้ม เป็นผู้ชายที่ดูดุดัน นักเรียนที่นั่งกันอยู่ในห้องต่างพากันเงียบเสียงลงหลังจากที่พูดคุยเจื้อยแจ้วกันอย่างออกรส “สวัสดีครับ ครูชื่อเข่งนะครับ เป็นครูที่ปรึกษาประจำห้องนี้ครับ...” หลังจากอาจารย์เข่งแนะนำตัวเองและเริ่มอธิบายถึงสรรพคุณความเก่งกาจและเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของเขาที่สามารถเรียนจบปริญญาเอกจนได้เป็นด๊อกเตอร์ทางด้านมวยไทยคนแรกของโลกให้นักเรียนได้ฟังกันอย่างหนำใจแล้วนั้น เขาก็เริ่มชี้แจงรายละเอียดการให้คะแนนรวมไปถึงการตัดเกรดของแต่ละวิชาให้ได้ฟังว่ามีทั้งแบบอิงเกณฑ์และอิงกลุ่ม นักเรียนที่นั่งฟังต่างพากันหาวหวอดๆ จนน้ำหูน้ำตาแทบจะไหล ก็แหม... ปิดเทอมมาตั้งหลายเดือน พอเปิดเทอมมันก็ต้องมีการปรับจูนเวลากันเสียหน่อย “เดี๋ยวครูจะส่งตารางสอนไปให้นะครับ ให้นักเรียนส่งต่อกันไปให้ครบทุกคนได้เลยนะครับ” กระดาษตารางสอนถูกนักเรียนคนที่นั่งแถวหน้าสุดรับจากมือของอาจารย์เข่งแล้วส่งต่อกันมาเรื่อยๆ จนถึงแถวของเฟรนด์ซึ่งจัสท์เป็นคนยื่นมือไปรับแล้วยื่นให้เฟรนด์ คนตัวเล็กกว่ารีบยื่นมือไปรับตารางสอนทำให้ปลายนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับหลังมือของอีกฝ่าย เสียงไฟฟ้าสถิตดังเปรี๊ยะออกมาจนทั้งคู่สะดุ้งก่อนจะหัวเราะใส่กัน “ไฟช็อตเฉย” เฟรนด์บอกพลางดึงมือกลับมาวางไว้ที่หน้าตักของตัวเอง “ปกติ เราผิวแห้งอะ เลยช็อตบ่อย” จัสท์พูดแล้วล้วงเอาแฮนด์ครีมในกระเป๋าขึ้นมาทาจนทั่วก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสที่แขนของเฟรนด์อีกครั้ง “เห็นมั้ย ไม่ช็อตแล้ว” “อะ..อ่อ.. จริงด้วย” เฟรนด์นิ่งไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยตอบ ใช่.. ไม่ช็อตแล้ว แต่หัวใจของเฟรนด์ดันเต้นแรงไม่หยุดเลย แม้จะไม่มีไฟฟ้าสถิตแล้วก็จริงแต่ความรู้สึกของเฟรนด์กลับยังเหมือนถูกช็อตอยู่ตลอดเวลา สายตาของเขาไม่สามารถละไปจากใบหน้าของจัสท์ได้เลยในเวลานี้ พอได้สติเขาก็คว้าเอาใบตารางสอนมาเก็บใส่ไว้ในแฟ้มของตัวเองก่อนจะเงยหน้ามองหน้าอาจารย์เข่งที่กำลังวาดตารางบางอย่างพร้อมตัวเลขบนกระดาน “ครูเขาทำไรอะ” เฟรนด์ถาม “กำลังจะจับฉลากนั่งโต๊ะอะ” จัสท์หันมาบอก “เดี๋ยวเขาจะให้นักเรียนออกไปจับฉลากใครได้เลขไหนก็ให้นั่งตามเลขบนกระดานอะ” “อ่อ” อาจารย์ยกกระปุกที่ใส่ฉลากตัวเลขขึ้นมาเขย่าแล้วบอกให้นักเรียนแถวหน้าเริ่มลุกไปหยิบทีละคน จนกระทั่งถึงคิวจัสท์กับเฟรนด์ ทั้งสองคนลุกเดินออกไปแล้วล้วงหยิบเอาฉลากขึ้นมาเปิดดูก็พบว่าเลขที่จัสท์กับเฟรนด์ได้นั้นคือโต๊ะที่คู่กัน ทำให้หลังจากนั้นทั้งคู่เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปโดยปริยาย ผ่านไปเพียงสองสัปดาห์จัสท์และเฟรนด์กลายเป็นเพื่อนซี้ที่ตัวติดกันตลอดเวลาไม่ว่าจะในห้องหรือนอกห้อง จนเพื่อนฝูงเก่าๆ ของจัสท์ก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงมาสนิทกับเฟรนด์ได้ๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนช่วงม.ต้นเขาเลือกคบเพื่อนมากชนิดที่ว่ามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาเรียกว่าเพื่อนสนิทจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาเลือกคบเพื่อนที่นิสัยดีๆ หรอกนะ แต่จัสท์มักจะเลือกคบเพื่อนที่หน้าตาดี บ้านมีเงิน หรือมีหน้ามีตาในสังคมซะมากกว่า เพราะฉะนั้นคนที่จะผ่านเกณฑ์แล้วได้มาเป็นเพื่อนสนิทของเขาได้เลยค่อนข้างน้อย คนก็เลยยิ่งสงสัยว่าทำไมเฟรนด์เด็กใหม่ถึงได้มาเดินตามต้อยๆ อยู่กับจัสท์ เพราะดูจะไม่ผ่านเกณฑ์อะไรของจัสท์สักอย่าง “นี่นาย...” เสียงหวานของเด็กสาวที่เดินมาสะกิดเอ่ยทักขณะที่เฟรนด์กำลังนั่งรอรถเพื่อจะกลับบ้าน “ห้ะ? ... เรียกเราเหรอ” “อื้อ นายอะแหละ” “มีไรเหรอ” “ชื่อเฟรนด์ใช่ป้ะ” “เราป๊อปนะ อยู่ห้อง 4/3ข” “อ่อ แล้วมีอะไรกับเราเหรอ” เฟรนด์ถามด้วยสีหน้างงๆ เพราะไม่เคยรู้จักกับป๊อปมาก่อน “คือนาย... เอ่อ...” “...” เฟรนด์นั่งนิ่งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดหวัง “นายสนิทกับจัสท์เหรอ” ป๊อปเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระอึกกระอัก แบบไม่แน่ใจในสิ่งที่ตัวเองจะถามอยู่เหมือนกัน “อื้อ ทำไมเหรอ” “ไปสนิทกันได้ไงอะ” “ก็เรียนห้องเดียวกัน นั่งโต๊ะติดกันอะ” เฟรนด์ตอบกลับด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงมาถามเรื่องนั้นกับเขา เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่คนไม่เคยรู้จักกันจะเข้ามาถามเรื่องว่าเราสนิทกับใครหรือไม่สนิทกับใคร จะอยากรู้ไปทำไม... “อ่อ... อย่าหาว่าเรางั้นงี้เลยนะ จะสนิทกับจัสท์ก็คิดดูดีๆ หน่อยละกัน” ป๊อปเอ่ยพูดด้วยเสียงที่เบาลง “ทำไมเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถามกลับเสียงแข็ง ก็กล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้กับเพื่อนของเขาล่ะ... “ก็ปกติเขาไม่คบเพื่อนแบบ...นายอะ” “เดี๋ยวนะ!” เฟรนด์คิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “แบบเราแล้วมันทำไมเหรอ” “ก็ปกติจัสท์มันเลือกคบแต่เพื่อนที่หน้าตาดี มีฐานะไง แล้วนายอะ มันอยู่นอกเกณฑ์หมดเลยไง ก็เลยสงสัย” ป๊อปพ่นบทเสียยาวเหยียดเมื่อรู้สึกว่าการพูดดีๆ แบบมีมารยาทเริ่มไม่มีผลในบทสนทนานี้ “มันไม่แรงไปหน่อยเหรอ เท่าที่รู้จักจัสท์มา เพื่อนเราก็ไม่น่าใช่คนแบบนั้นนะครับ” “ก็ลองดูๆ ไปก่อนละกัน ไปละ ที่บ้านเรามารับแล้ว” ป๊อปลุกขึ้นเดินไปที่รถเก๋งสีดำที่ขับเข้ามาจอดเทียบฟุตบาท ปล่อยให้เฟรนด์นั่งงงอยู่ตรงนั้นคนเดียว “คนอะไรวะ อยู่ดีๆ ก็เดินมาพูดๆๆๆ แล้วก็ไป ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ” เฟรนด์บ่นก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมานั่งเล่นเกมรอเพราะรถตู้คันที่นั่งประจำยังไม่มาสักที “เฟรนด์!!!” คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก เขาจึงเงยหน้าจากจอมือถือขึ้นมองไปตามเสียงเรียกนั้น สายตาปักหมุดไปยังจัสท์ที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้าป้ายรถเมล์ที่เขานั่งอยู่ “เอ้า ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถาม “เราดิที่ต้องถามนายว่าทำไมยังไม่กลับบ้านอีก บ้านเราอยู่หลังโรงเรียนแค่นี้เอง” “อ่อ... รอรถอยู่อะ” “ให้นั่งรอเป็นเพื่อนเปล่า” จัสท์บอกแล้วก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วเดินตรงเข้ามานั่งลงข้างๆ “จริงๆ กลับเลยก็ได้ อีกแป๊บก็น่าจะมาแล้วแหละ” เฟรนด์มองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วเอ่ยบอกจัสท์ จัสท์ส่ายหัวปฏิเสธแถมยังยืนยันว่าจะนั่งรอรถเป็นเพื่อนเฟรนด์จนกว่ารถตู้สายประจำที่เฟรนด์ต้องนั่งกลับบ้านจะมา ทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่จากจำนวนนักเรียนที่มากมายหลังโรงเรียนเลิกก็กลายเป็นเหลืออยู่บางตา วันนี้รถตู้สายที่เฟรนด์ต้องนั่งดันมาช้ากว่าปกติก็เลยทำให้คนตัวเล็กต้องนั่งรอยู่นาน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิดสักเท่าไหร่เพราะมีจัสท์คอยชวนคุยอยู่ไม่ห่าง “รถมาละ” เฟรนด์ชี้ให้จัสท์ดูเมื่อเห็นรถตู้ที่แปะป้ายชื่อสถานที่ปลายทางที่ตัวเขาเองจะไปขับเข้ามาจอดที่หน้าป้ายรถเมล์ที่เข้านั่งอยู่ “กลับดีๆ นะ” “อื้อ” “ถึงบ้านละโทรมาบอกด้วยนะ” จัสท์เอ่ยบอกพร้อมยิ้มให้ รอยยิ้มนั้นมันทำให้ใจของเฟรนด์เต้นแรงอีกแล้ว... ... ... ... “ตอนนั้นทำไมเราพูดกันเพราะจังวะ” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางหัวเราะเบาๆ ในขณะที่มือก็ยกขึ้นขยี้ผมตัวเองที่จัสท์เพิ่งใช้ผ้าขนหนูเช็ดให้จนหมาด “นั่นดิ เพราะเพิ่งสนิทกันมั้ง” จัสท์บอกแล้วหยิบเสื้อยืดที่มีสำรองไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าหลังรถออกมาให้เฟรนด์เปลี่ยน เพราะไอ้ตัวที่ใส่อยู่เปียกเสียจนไม่อาจใส่ต่อไปได้ “ขอบใจ” เฟรนด์รับเสื้อทีคนตัวสูงยื่นให้มาถือไว้ก่อนจะพูดต่อ “แต่กูว่าเป็นเพราะมึงแอ๊บเป็นคนดีมากกว่า” “ไอ้สัส!” “แหม พอรู้ว่ากูเป็นใครก็หยาบคายเลยนะ” เฟรนด์เอ่ยแซวขณะที่ถอดเสื้อออกแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อตัวใหม่ “ก็มึงด่ากูนี่หว่า” “กูไม่ได้ด่า กูพูดเรื่องจริงเหอะ มึงมันคนเหี้ยไอ้จัสท์” “เกินไปละๆ” “อย่างน้อยก็เหี้ยกับกู” เฟรนด์เอ่ยพูดเสียงอ่อย “ก็มันอารมณ์ชั่ววูบ มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ โพสท์ด่ากูในเฟสบุ๊คเฉย” “แต่มันเกิดจากที่มึงทำเหี้ยใส่กูก่อนไง” เฟรนด์ย้ำด้วยเสียงหนักแน่น “หรือไม่จริง?” “ไม่จริง” จัสท์บอกพลางชูมือขึ้นจับกระโปรงรถเพื่อดึงมันให้ปิดลงมา “ไป กลับได้แล้ว ไปขึ้นรถ” “โถ่ พอเถียงสู้ไม่ได้ก็รีบชิ่งเปลี่ยนเรื่องเลยนะ” เฟรนด์เอ่ยบอกแล้วทำปากมุบมิบบ่นในลำคอก่อนจะเดินไปประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่ง ระหว่างทางที่รถขับไปทั้งจัสท์และเฟรนด์ต่างก็ยังรื้อฟื้นเรื่องราวในวัยเด็กมาเถียงกันไม่หยุดจนลืมไปว่าเพราะไอ้เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นแหละที่ทำให้ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนสนิทที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาต้องพังทลายลงแบบไม่มีชิ้นดี ชนิดที่ว่าต่างฝ่ายต่างเอ่ยปากว่าขออย่าให้ได้กลับมาเจอกันอีก แต่สุดท้ายก็วงโคจรของชีวิตก็วนมาบรรจบกันอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเพราะพรหมลิขิตหรือเวรกรรมกันแน่... “กูถามจริงๆ เลยนะ ถ้าไม่เห็นปานที่หน้าอกกูจะจำได้มั้ย” เฟรนด์ถามขณะที่รถของจัสท์กำลังจอดเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านของจัสท์ “เอาอะไรมาจำได้ มึงดูหน้ามึงตอนนี้กับเมื่อก่อนด้วย อย่างกับคนละคน” “ตอนนี้น่ารักล่ะสิ” เฟรนด์พูดแล้วพยายามทำหน้าแบ๊วใส่จัสท์ “จะอ้วก” จัสท์เอ่ยตอบแล้วเปิดประตูลงจากรถไปก่อนจะเดินเข้าบ้านตัวเองไป เฟรนด์รีบก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับไปยังหน้าบ้านของตัวเองทันที เขายืนลังเลหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่ก่อนจะเดินกลับไปยังด้านหน้าบ้านจัสท์แล้วเอ่ยเรียกเสียงดัง “ไอ้จัสท์!!” “มีไรอีก” คนตัวสูงเดินออกมาพร้อมหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งหน้าปกเป็นชื่อภาษาอังกฤษที่เห็นไม่ชัดสักเท่าไหร่เพราะถูกนิ้วมือของคนถือบังเอาไว้ “อยากไปนั่งจิบชากับกินของว่างสักหน่อยมั้ย ถือซะว่าแทนคำขอบคุณที่อุตส่าห์พาไปวัด แล้วก็... ที่ช่วยเหลือชีวิตกูไว้” “อือ เอาดิ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD