บทที่ 10 จุดเปลี่ยนไม่ไหว

2334 Words
ร้านชายสี่หมี่เกี๊ยวหน้าเซเว่นเจ้าประจำที่เปิดบริการอยู่ทุกวันยังคงมีลูกค้านั่งกินอยู่ประปรายในเวลานี้ ทั้งจัสท์และเฟรนด์พากันเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งที่ยังคงว่างอยู่ อาเจ็กเจ้าของร้านหันมาเห็นก็ตะโกนถามเสียงดัง “อาเฟรนด์กินไรดีวันนี้” “บะหมี่เกี๊ยวน้ำหมูแดงครับเจ็ก” เฟรนด์ตะโกนตอบก่อนจะหันไปถามจัสท์ “ละมึงกินไร” “เอาแบบมึงมาเลยก็ได้” “เจ๊ก เอาเพิ่มเป็นสองเลย พิเศษให้ด้วย” คนตัวเล็กหันไปตะโกนบอกเจ้าของร้าน “จัดไป รออั๊วแป๊บ” เสียงเคาะกระบวยดังโคร้งเคร้งประกอบกับเสียงถ้วยชามดังแว่วมาอยู่เรื่อยๆ ไม่นานกลิ่นหอมก็ลอยโชยมาตามลมเตะจมูกคนทั้งคู่เข้าทำเอาความหิวปะทุรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ชามบะหมี่เกี๊ยวทั้งสองชามถูกลูกสาวอาเ**กนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ปริมาณของทั้งสองชามที่แม้จะสั่งพิเศษแต่ก็ดูจะน้อยไปถนัดตาเมื่อความหิวโหยมันกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง “ลองชิมดู” เฟรนด์บอกก่อนจะจับตะเกียบแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก “ถ้าไม่อร่อยทำไง” “ก็เรื่องของมึงดิ เกี่ยวไรกับกูล่ะ” “กวนตีน” จัสท์หัวเราะน้อยๆ แล้วตักน้ำซุปขึ้นมาชิมแล้วพยักหน้าเบาๆ “อื้อ อร่อยดี” “เห็นมั้ยกูบอกแล้ว” คนตัวเล็กยิ้มบาง ช่วงเวลาของอาหารมื้อดึกเริ่มต้นขึ้น ณ ตอนนั้น ปกติจัสท์ไม่ค่อยได้กินมื้อดึกสักเท่าไหร่ หลังหกโมงก็ไม่ได้กินอะไรแล้วนอกเสียจากผลไม้เล็กๆ น้อยๆ เพราะเขาเป็นคนที่นอนไวมาก ดึกสุดๆ ก็ไม่เกินเที่ยงคืน คืนนี้ก็เลยถือว่าค่อนข้างพิเศษนิดหน่อยที่ได้มานั่งทำอะไรในแบบที่ไม่เคยทำ “เออ กูถามไรหน่อยดิ” จัสท์เอ่ยถามโพล่งขึ้นมา “ถามไรวะ” “มึงมาเป็นยูทูปเบอร์ได้ไงอะ” “มึงอยากรู้จริงอ่อ” “อือ ก็ตอนเรียนมึงดูไม่น่าจะมาทางนี้ได้” “ก็เพราะมึงนั่นแหละ” เฟรนด์เอ่ยตอบเสียงนิ่ง “...” “จำตอนที่เราทะเลาะกันได้มั้ยล่ะ” “ตอนไหนอีกอะ กูกับมึงทะเลาะกันบ่อยจะตายไป” จัสท์ตอบกลับ “หลังจากที่พวกไอ้มิ้นกับไอ้แก้วบอกมึงว่ากูเป็นเกย์แล้วมึงก็ทำตัวห่างออกไปไง” เฟรนด์เสียงแอบสั่นเครือนิดๆ เหตุการณ์ในช่วงนั้นมันยังคงฝังอยู่ในใจของเขาตลอดมา ... ... ... บรรยากาศของเช้าวันนี้ดูอึมครึมและไม่สดใสดังเช่นที่ผ่านมาในทุกๆ วัน เฟรนด์ก้าวขายาวผ่านพ้นประตูโรงเรียนเข้ามาพร้อมความหดหู่ที่ก่อตัวขึ้นมาภายในจิตใจของเขา เพราะหลังจากวันที่ได้ยินเพื่อนในกลุ่มนินทาตัวเองเขาก็รู้สึกว่าทุกคนดูเปลี่ยนไป ไม่แน่ใจว่าเขาคิดไปเองคนเดียวหรือเพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ กันแน่ อย่างเช่นเช้านี้ที่ปกติเขาจะต้องมานั่งรอที่บริเวณม้านั่งริมระเบียงอาคารเรียนชั้นสองกับจัสท์ในทุกๆ วันเพื่อคุยเล่นกันเรื่อยเปื่อยซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเพื่อนในกลุ่มก็จะตามมาสมทบก่อนจะถึงเวลาเข้าแถว แต่วันนี้ไม่เป็นแบบนั้นเพราะเขามานั่งรออยู่ตรงนี้นานมากแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครมาเลยสักคนเดียว จนกระทั่งเสียงเพลงมาร์ชโรงเรียนดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าต้องเดินไปเข้าแถวที่สนามฟุตบอลหน้าเสาธงแล้ว คนตัวเล็กเดินคอตกไปยังแถวของห้องตัวเองก่อนจะพบว่าทุกคนรวมกลุ่มกันอยู่ตรงนั้นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะเงียบลงไปเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาคิดได้ยังไงว่าทุกคนดูผิดปกติกันไปหมด “พวกมึงเป็นไรวะ” เฟรนด์ที่เดินตามหลังจัสท์มาหลังจากเคารพธงชาติกันเสร็จเอ่ยถามขึ้นจนคนทั้งกลุ่มหันมามอง “ห้ะ?” จัสท์อุทานออกมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ก็มึงไม่คุยกับกูอะ” “มึงอะคิดมาก” จัสท์แล้วหันหลังเดินไปพร้อมกับมิ้นและแก้ว “คิดมากก็เหี้ยละ” เฟรนด์สบถด่าออกมากับตัวเอง แล้วเดินตามหลังไป ตลอดเวลาที่เหลือตั้งแต่ตอนนั้นจนจบเทอมทุกคนในห้องก็ดูจะพากันออกห่างจากเฟรนด์กันหมด จนคนตัวเล็กเรียนรู้ที่จะไม่ต้องพึ่งพาใครอีก เขาคิดเพียงแค่เช้ามาเรียนเย็นก็กลับบ้าน ไม่จำเป็นจะต้องมาแบกรับภาระทางจิตใจอะไรอีก จะมีลำบากก็แค่ตอนที่ต้องทำงานกลุ่มซึ่งเขาก็ต้องแบกตัวเองไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่เป็นเด็กหน้าห้องแล้วเขาก็ยังรู้สึกไม่สนิทด้วยเท่าไหร่ แต่จะให้ทำยังไงได้ เพราะมันไม่มีทางออกอื่น... ในตอนนั้นเฟรนด์เองก็รู้สึกแปลกว่าทำไมต้องเป็นเขาที่มาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ เพียงเพราะเขาเป็นเกย์อย่างนั้นเหรอ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นกว่าเดิมว่าแล้วการเป็นเกย์มันผิดอะไรนักหนาถึงจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมไม่ได้ ทำไมต้องทำตัวออกห่าง การเป็นเกย์ของเขามันดูมีพิษภัยขนาดนั้นเลยเหรอ ยิ่งเจอแบบนี้มันยิ่งทำให้เฟรนด์รู้สึกอยากปกปิดตัวตนของเขาตลอดไป... แต่เพราะเหตุการณ์นี้นี่แหละที่ทำให้เขาได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นและเรียนรู้อะไรๆ ที่จะทำให้ตัวเขาได้พัฒนามากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นทั้งในด้านความสามารถและด้านภาพลักษณ์ เฟรนด์ขลุกอยู่กับรายการเรียลลิตี้ในทีวี ดูยูทูปเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง การพัฒนาและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ เขาพยายามศึกษาทุกอย่างตั้งแต่การแต่งตัวจนถึงการทาครีม แม้กระทั่งการหาข้อมูลเพื่อพบแพทย์ด้านเสริมความงามเพราะหวังอยากจะให้ตัวเองได้ดูเปลี่ยนแปลงไปจนเห็นได้ชัด แต่มันไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการให้คนอื่นหันมาสนใจ เขาเพียงแค่อยากจะหาอะไรทำให้ตัวเองมีความสุขความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นและที่สำคัญคืออยากจะลืมเรื่องราวความหนักหน่วงในจิตใจที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ “ไม่ออกไปข้างนอกบ้างเหรอลูก” แม่ของเฟรนด์เอ่ยทักเมื่อเริ่มรู้สึกว่าช่วงหลังไม่ค่อยได้เห็นลูกชายตัวเองออกไปไหนนอกเสียจากจมอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน “ไม่รู้จะไปไหนอะแม่” “ก็ไปหาเพื่อนฝูงบ้างตามประสาวัยรุ่นไงลูก” “ไม่เอาอะ อยู่บ้านดีกว่า” “ทะเลาะกับเพื่อนเหรอ” “ไม่นะแม่ ก็ปกติ” “แต่เมื่อก่อนลูกชอบออกไปกินข้าวข้างนอกกับเพื่อนบ่อยๆ” “ก็ช่วงนี้อากาศมันร้อนอะ แดดแรงออกไปก็กลัวดำ” เฟรนด์เอ่ยบอกก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเมื่อได้ยินเสียงสั่นเตือน หน้าจอแสดงให้เห็นว่ามีเบอร์ของแม่เพื่อนสนิทคนหนึ่งโทรมาหาหลังจากที่ช่วงนี้แทบจะไม่ค่อยได้คุยกับลูกชายของเขาสักเท่าไหร่นัก คุณแม่จัสท์ เฟรนด์กดรับสายด้วยความงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ดีๆ แม่ของจัสท์ถึงโทรหาเขา “ฮัลโหลครับ” (น้องเฟรนด์ใช่มั้ยลูก) “ครับ” (อยู่ไหนกันเหรอลูก) “อะไรนะครับ?” (รถชนที่ไหนเหรอ) “ห้ะ? ยังไงนะครับ” เฟรนด์ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตกเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินคำถามจากอีกฝ่าย (นี่เฟรนด์อยู่ไหนนะลูก อยู่กับจัสท์หรือเปล่า) “เปล่านะครับ ผมอยู่บ้านครับ” (อ้าว ไหนจัสท์บอกอยู่กับเฟรนด์) “ไม่นะครับ ผมไม่รู้เรื่องเลยครับ” (อ้อ จัสท์โทรมาบอกแม่ว่ารถชน แม่โทรหาแล้วไม่รับ เลยลองโทรมาหาเฟรนด์ดู) “ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ครับแม่ ไม่รู้ด้วยว่าจัสท์ออกไปไหน” (โอเค ไม่เป็นไรลูก จัสท์เนี่ยน้า แก้ไม่หายจริงๆ นิสัยขี้โกหกเนี่ย ขอบใจมากนะลูก) “ครับผม” ปลายสายตัดสายไปเฟรนด์ก็เลยกดวางสายแล้ววางมือถือลงกับโต๊ะทำงานก่อนจะหันไปสนใจคลิปสอนแต่งหน้าผู้ชายในยูทูปต่อแต่ไม่ทันจะได้ดูไปสักเท่าไหร่มือถือก็สั่นครืดส่งเสียงดังออกมาอีกครั้ง เขาหันหน้าไปมองที่หน้าจอมือถือก่อนจะเห็นรายชื่อของคนต้นเรื่องโชว์หราอยู่ที่หน้าจอ จัสท์ “ว่า...” (ฮัลโหลมึง อยู่ไหนวะ) ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงกังวล “มีไร” (ถ้าแม่กูโทรหามึงอะ บอกว่ามึงอยู่กับกูนะเว้ย) “ทำไมวะ” (เหอะน่า) “อะไรของมึง ประสาทปะเนี่ย ไม่คุยกับกูมาตั้งนานอยู่ดีๆ ก็โทรมาให้กูช่วยโกหกให้ ถ้าไม่บอกเหตุผลกูก็ไม่ช่วยนะ” (ไรวะ เพื่อนกันช่วยเหลือกันหน่อยไม่ได้รึไง) “...” เฟรนด์เลือกที่จะเงียบไม่โต้ตอบอะไรกลับไป (กูยืมรถที่บ้านมาขับแล้วเสือกชนอะดิ โทรไปบอกให้พ่อโทรหาประกันละ) “แล้วมึงไม่เป็นไรใช่มั้ย” เฟรนด์ตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังพยายามจะเก็บอาการเอาไว้ก่อน (ไม่เป็นไรๆ แค่ไม่อยากให้แม่รู้กลัวโดนด่า) “หึ! ขอร้องกูสิ” คนตัวเล็กลอบยิ้มมุมปากอย่างสะใจเพราะรู้สึกได้ถึงช่วงเวลาเอาคืน (เออๆ กูขอร้องนะ ช่วยกูหน่อย ถ้าแม่กูโทรมาช่วยบอกหน่อยมึงอยู่กับกูนะ) “ไม่ทันแล้วแหละ” (อะ...อะไรนะ) “กูบอกว่าไม่ทันแล้ว แม่มึงเพิ่งโทรมาหากูเมื่อกี๊” (ชิบหายละ จริงป่ะเนี่ย) “เออดิ” (มึงแม่ง โง่จังวะ ทำไมไม่รู้จักโกหกช่วยกูมั่ง กูโดนด่าแน่) “เอ้า! ใครจะไปรู้วะ” (ไอ้สัตว์) ตื๊ดๆๆๆ “เอ้า!!!!!” เฟรนด์ถึงกับอุทานออกมาด้วยความงงเพราะอยู่เฉยๆ ก็โดนด่าแล้วตัดสายหนีไปซะงั้น ทั้งที่ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย เฟรนด์หัวร้อนขึ้นมาทันทีแบบไม่มีอะไรมายับยั้งได้ ใครมันจะไปทนได้อยู่บ้านเฉยๆ กลับโดนโทรมาด่าซะงั้นเพราะดันให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายไม่ได้ ก็คงจะเป็นคราวซวยของมันที่ดันโทรมาบอกช้ากว่าแม่มันเอง... เขารัวนิ้วพิมพ์ด่าเสียยาวเหยียดลงบนเฟสบุ๊คของตัวเองเพราะต้องการระบายความรู้สึกหงุดหงิดดังกล่าวออกไปให้ทุกคนได้รู้ว่าจริงๆ แล้วไอ้คนป๊อปปูล่าอย่างไอ้จัสท์ที่ใครหลายคนชื่นชอบและหมายปองนั้นตัวจริงมันนิสัยเหี้ยมากแค่ไหน เอาแต่ใจยืนหนึ่งและไม่แคร์ความรู้สึกของใครเลยแม้แต่นิด สักแต่ว่าตัวเองจะได้หรือเสียผลประโยชน์อะไรบ้างเท่านั้น... พอจรดนิ้วพิมพ์ด่าจนครบถ้วนคนตัวเล็กก็ไม่ลืมที่จะเปลี่ยนสถานะความเป็นส่วนตัวของโพสท์ให้มีแค่เพียงคนที่เป็นเพื่อนกันเท่านั้นจะมองเห็นก่อนจะกดโพสท์ไปแล้วหันกลับไปสนใจคลิปวิดีโอในยูทูปต่อทันทีแม้จะเสียสมาธิอยู่บ้างแต่ก็พอช่วยให้ผ่อนคลายความรู้สึกให้เบาลงได้บ้าง ... ... ... “คนมาคอมเมนต์ด่ากูยับเลยตอนนั้น” จัสท์พูดไปพลางหัวเราะไปด้วยเมื่อทั้งคู่พูดคุยกันถึงเหตุการณ์ในครั้งอดีตนั้น “ก็สมควรละป่ะ” เฟรนด์ตอบกลับก่อนจะยื่นตะเกียบไปขโมยลูกชิ้นปลาในชามของจัสท์มาเข้าปากของตัวเอง “กวนตีนนะมึงเนี่ย ของตัวเองก็มีไม่กินวะ” จัสท์ส่ายหัวบ่น “ก็เห็นมึงไม่กินอะ” “แล้วสรุปมึงมาเปิดช่องได้ไง กูยังไม่รู้เลยเนี่ย” จัสท์เอ่ยถามย้ำ “ก็กูหาอะไรทำไปเลยเรื่อย แล้วก็เจอว่าตัวเองชอบวาดรูปเลยฝึกวาดมาตลอด” คนตัวเล็กเว้นจังหวะการพูดแล้วคีบเส้นบะหมี่เข้าปากก่อนจะสูดเสียงดัง “...” “วันหนึ่งกูก็ไปเห็นยูทูปคนเกาหลีเข้า เขาทำ Vlog แนวศิลปะนั่งวาดรูปไปเรื่อยๆ แบบไม่พูดอะไรเลยงี้ ก็เลยลองทำดูบ้าง แล้วจู่ๆ มันก็ดังขึ้นมาอะ เลยทำมาเรื่อยๆ รายได้ส่วนใหญ่ก็มาจากการทำช่องยูทูปนี่แหละ” “อ่อ ก็ดีนะ คงเพราะในไทยยังไม่ค่อยมีคนทำช่องแนวนี้เหมือนมึงมั้ง” “ก็คงงั้น” เฟรนด์เอ่ยตอบแล้วมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “แล้วมึงล่ะ คิดไงมาทำโฮสเทลที่นี่” “กูเคยบอกมึงไปแล้วไม่ใช่เหรอ” “เออว่ะ กูลืม” “หลังเรียนจบกูลองทำมาหลายอย่างแล้ว หลายธุรกิจเลย” “เจ๊งหมด?” เฟรนด์เอ่ยแซวพลางหัวเราะเบาๆ “กวนตีน มันก็ไม่ได้เจ๊งแต่กูเบื่ออะ รู้สึกว่ายังไม่ใช่ตัวเอง ก็เลยอยากลองหาอะไรใหม่ๆ ทำดู ทีนี้พ่อแม่กูเขาก็ทำธุรกิจอสังหาฯ ทำหมู่บ้านขายอยู่แล้วก็เลยพอจะมีจะมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจแนวๆ นี้อยู่บ้าง พอมาเจอตึกที่นี่เปิดขายบวกกับบรรยากาศสงบก็เลยถูกใจอะ” “อ่อใช่ นึกออกละเหมือนมึงจะเคยเล่าให้ฟังอยู่ครั้งหนึ่ง” “อือ นั่นแหละ แล้วแถวนี้สถานที่ท่องเที่ยวก็กำลังเริ่มจะเป็นที่รู้จัก ต่างชาติให้ความสนใจกันเยอะด้วย กูเลยคิดว่าน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี” “มองการณ์ไกลดีเหมือนกัน” “จะชมว่าเก่งก็พูดออกมาได้นะ ไม่ต้องเขิน” จัสท์เอ่ยบอกพลางมองเฟรนด์ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ “เขินพ่อง! รีบแดกจะได้กลับบ้านไปนอน กูเริ่มง่วงละ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD