Episode 01 เงื่อนไขของไดสึเกะ

3398 Words
ปัง! “กรี๊ดดด” ฉันกรีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นกับตาว่าพี่โยชิดะลั่นไกปืนที่เขายกมันขึ้นจ่อที่ขมับของตัวเอง สองตาเบิกโพลงขึ้นในฉับพลัน หัวใจเต้นถี่ยิบในขณะที่เสียงหอบหายใจถี่ดังก้องไปทั่วทั้งห้อง เม็ดเหงื่อผุดซึมขึ้นมาเต็มใบหน้า สองมือที่ยังคงถูกมัดติดกับเตียงกำหมัดแน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัว ตอนนี้มันชื้นไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งฝ่ามือ นี่ถ้าไม่ติดตรงที่สองมือสองเท้าของฉันยังคงถูกมัดติดกับเตียงเอาไว้ ฉันอาจจะสะดุ้งและดิ้นจนตกเตียงไปแล้วก็ได้ ภาพทั้งหมดที่ฉันเห็นรวมถึงเสียงปืนนัดนั้น มันดังก้องชัดออกมาจากในความฝัน! ใช่ ฉันฝัน ทุกครั้งที่หลับตา ฉันมักจะฝันเห็นเรื่องราวเหล่านั้นซ้ำๆ จนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะอาการตกใจและหวาดผวาแบบนี้เสมอ เป็นแบบนี้นับตั้งแต่วันที่พี่โยชิดะตัดสินใจจะฆ่าตัวตาย...ต่อหน้าฉัน “ฝันร้ายเหรอ” คำถามที่ได้ยินทำให้ฉันสะดุ้งอีกครั้งด้วยความตกใจก่อนจะต้องรีบหันไปมองยังที่มาของเสียง ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้มาก่อนในเมื่อก่อนจะหลับไปมีแค่ฉันอยู่เพียงคนเดียว แต่แล้วเมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นตาของเจ้าของเสียง ฉันก็ถึงกับต้องกัดฟันกรอด “ตกใจกับความฝันหรือตกใจที่เห็นฉันมากกว่ากันล่ะ” “ออกไป” ฉันไล่อย่างไม่คิดจะแยแสใบหน้าคมเข้มของไดสึเกะเลยสักนิด และไม่ได้สนใจด้วยว่าเขาจะยิ่งใหญ่มาจากไหน ไม่อยากรู้ว่าเขามาอยู่ในห้องพักของฉันได้ยังไงหรือจะมาทำไม เพราะสิ่งเดียวที่ฉันรู้และต้องการคือไม่อยากจะเห็นหน้าเขา “เหอะ! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้มาไล่ฉัน นางพญาเหรอ ท่าทางจะไม่ได้ส่องกระจกมาหลายวันสินะ” ไดสึเกะพูดพลางลุกขึ้นยืนแล้วสืบเท้าตรงเข้ามาหาฉันที่เตียง “ฉันบอกให้นาย...อื้อออ” ริมฝีปากของฉันเบี้ยวจนผิดรูปเมื่อไดสึเกะคว้าหมับเข้าที่ข้างแก้มแล้วบีบเอาไว้แน่น รู้สึกปวดจนอยากจะผลักเขาออกไป แต่กลับทำได้แค่ดิ้นไปมาอยู่บนเตียง “คิดว่าฉันอยากจะมาที่นี่มากนักรึยังไง” ไดสึเกะเค้นเสียงถาม ก่อนที่เขาจะสะบัดใบหน้าของฉันออกแรงๆ เหมือนที่ทำเมื่อวาน ใบหน้าด้านซ้ายของฉันหันกลับมากระแทกเข้ากับหมอนหนุนอีกข้าง มันไม่ได้เจ็บที่ใบหน้า แต่กำลังเจ็บที่ใจ เพราะไม่ว่าฉันจะโกรธเกลียดเขาเท่าไหร่ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว “ก็แล้วมาทำไม ไสหัวนายกลับไปซะไดสึเกะ ฉันไม่มีทางแต่งงานกับนาย จำเอาไว้” ฉันพูดพลางหันกลับมาจ้องมองคนข้างเตียงด้วยสองตาที่ไม่คิดจะยอมแพ้ “แล้วคิดเหรอว่าถ้าฉันมีทางเลือกอื่น ฉันจะยอมแต่งงานกับเธอน่ะ” ไดสึเกะย้อนถาม คำถามของเขาทำให้ฉันเผลอกำมือแน่นจนปลายเล็บจิกลงไปบนอุ้งมือ “ไหนๆ เราทั้งคู่ก็มีทางเลือกไม่มากอยู่แล้วนามิ ทางที่ดีฉันว่าเรามาทำข้อตกลงกันก่อนจะดีกว่า เลิกคิดว่าตัวเองเป็นเสือทั้งที่เป็นแค่ลูกแมวสักที” ไดสึเกะยื่นข้อเสนอ และฉันเดาว่านั่นคือสาเหตุที่เขามาที่นี่ในวันนี้ “ฉันไม่มีอะไรจะตกลงกับนายทั้งนั้น” ฉันบอกอย่างมั่นใจ พูดจบก็เห็นได้ชัดว่าสายตาของไดสึเกะวาวโรจน์ขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันมุมปากของเขากลับยกยิ้มเหมือนจะมีอะไรที่ทำให้เขามั่นใจว่าเขากำลังถือไพ่เหนือกว่าฉัน “ถ้างั้นก็แปลว่าเธอจะยอมเป็นเมียฉันจริงๆ งั้นสิ” น้ำเสียงของไดสึเกะติดจะเย้ยหยันฉันอยู่กลายๆ เขาสบตาฉันนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มใช้สายตาคู่นั้นมองต่ำลงไปเรื่อยๆ ก่อนจะมองย้อนกลับขึ้นมาสบตากับฉันอีกครั้งแล้วเดินเข้ามาใกล้ “อย่าเข้ามานะ” “จริงๆ ฉันว่าลีลาเธอก็ไม่เลวหรอกนะ ติดตรงที่...ฉันเบื่อแล้ว” “นายจะเอายังไงก็ว่ามา” จนแล้วจนรอดฉันก็ต้องถามออกไปก่อนที่ไดสึเกะจะทำในสิ่งที่ฉันคิดว่าคนเลวอย่างเขาสามารถทำได้ เพราะต่อให้เขาจะพูดว่าเกลียดฉัน แต่ถ้าการพูดว่ารักฉันมันจะทำให้เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการคนอย่างเขาก็จะทำ ไดสึเกะแค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะผละตัวออกไป รอยยิ้มมุมปากของเขาทำให้ฉันต้องพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจอยู่หลายครั้ง รู้สึกปวดหัวตุบๆ เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างกระดอนอยู่ข้างใน ฉันรู้ว่าเขาเองก็คงไม่ได้อยากแต่งงานกับฉันมากพอๆ กับที่ฉันไม่อยากแต่งงานกับเขานั่นแหละ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่โผล่มายื่นข้อเสนอให้ฉันถึงที่แบบนี้ แต่ที่เขายอมมันก็เพราะคำว่าผลประโยชน์ เพราะหากโอยามะเอาเรื่องเขาขึ้นมา หรือแม้แต่โอซึนซึเกะที่เป็นลุงแท้ๆ ของเขารู้เรื่องที่เขาก่อขึ้นมาแล้วละก็ เขาอาจถูกเขี่ยออกจากแบล็กสกอร์เปี้ยนไปเลยก็ได้ ซึ่งนั่นเท่ากับเขาจะสูญเสียทุกอย่าง ทั้งความยิ่งใหญ่ อำนาจ รวมไปถึงเงินปันผลจำนวนมหาศาล “ยอมแต่งงานกับฉัน...แต่โดยดี” “เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะออกมาด้วยความประหลาดใจ ไม่แน่ใจว่าฉันกำลังหูฝาดไปรึเปล่าด้วยซ้ำ ไหนล่ะข้อเสนอ สิ่งที่เขาพูดมา มันต่างจากที่โอยามะพูดตรงไหนกัน หรือมันจะต่างกันตรงท้ายประโยค เพราะคำว่าแต่โดยดีที่เขาพูดออกมา เหมือนจะรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันคงไม่ยอมง่ายๆ และนั่นอาจทำให้เขาต้องวุ่นวาย “แล้วฉันจะหย่าให้ทีหลัง โดยมีข้อแม้ว่าต้องรอให้เรื่องทุกอย่างซาลงก่อน” ยิ่งได้ฟังสิ่งที่ไดสึเกะพูด ฉันก็ยิ่งต้องบอกตัวเองให้อดทนมากขึ้นทุกทีๆ “ถ้าเธอยอมตกลง มีโอกาสเมื่อไหร่ ฉันจะคืนอิสรภาพให้เธอรวมถึงคนของเธอทันที ซึ่งเธอเองก็รู้อยู่แล้วว่าฉันต้องรีบทำเรื่องนั้นแน่” ไดสึเกะย้ำด้วยสายตาและท่าทางจริงจัง มันบ่งบอกว่าเขาเองก็จะพยายามทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระจากฉัน รวมถึงจากเงื่อนไขของโอยามะโดยเร็วอย่างที่พูด “แต่ถ้าไม่ ก็แปลว่าเธอยินยอมยกอิสรภาพของเธอให้ฉัน...ตลอดชีวิต” สายตาคมปลาบจ้องมองมาที่ฉัน แววตาร้ายกาจอย่างนั้นสะท้อนความคิดชั่วร้ายที่บ่งบอกถึงความเป็นไดสึเกะออกมาได้เป็นอย่างดี เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าฉันจะตกลงหรือไม่ตกลง สิ่งที่เขาจะได้และต้องการมันก็แค่ผลประโยชน์ของตัวเอง! “ตราบใดที่นายยังเป็นแค่ลูกไล่ของโอยามะ ฉันก็ไม่เห็นว่าข้อเสนอของนายมันจะเข้าท่าตรงไหน” ฉันแค่นยิ้ม ทำเอารอยยิ้มร้ายกาจบนใบหน้าของไดสึเกะหายวับในฉับพลัน ดวงตาที่วาวโรจน์อยู่แล้ววาววับขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว “บอกตามตรงนะไดสึเกะ...ฉันไม่เคยเกลียดใครเท่านายเลย แต่รู้อะไรมั้ย” ฉันแสร้งเหยียดยิ้มแล้วมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเตียงตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเหมือนกับที่เขามองฉันเมื่อครู่ ต่างกันตรงที่ฉันแสดงออกชัดเจนผ่านสายตาว่าฉันรังเกียจเขา ฉันเสแสร้งแบบเขาไม่เก่งหรอก และไม่คิดว่าจำเป็นต้องทำด้วย “ถ้าการแต่งงานของเรามันจะทำให้ฉันได้เห็นนายตายทั้งเป็น ฉันว่ามันก็เข้าท่าดี…อื้อออ” ริมฝีปากของฉันบิดเบี้ยวอีกครั้งเมื่อถูกไดสึเกะบีบเข้าเต็มแรง แต่ความคิดที่จะอ้อนวอนขอให้คนสารเลวอย่างเขาเห็นใจ ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของฉันแม้เพียงเสี้ยววินาที “ถ้าเธอเลือกแบบนั้นก็ตามใจ ฉันจะถือว่าฉันให้โอกาสเธอแล้ว และคนอย่างฉันไม่ให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สอง” “โอ๊ย!” “ฉันหวังว่าเธอจะทำหน้าที่เมียให้ดีก็แล้วกันนามิ” “นายอย่าเพ้อเจ้อไปหน่อยเลย และฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยจำใส่หัวของนายเอาไว้เลยนะไดสึเกะว่าฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับนาย!” ฉันประกาศกร้าว เมื่อครู่นี้ฉันแค่พูดออกไปเพราะต้องการจะยั่วโมโหเขาเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็พิสูจน์แล้วว่าตัวเขาเองก็เป็นเดือดเป็นร้อนกับการแต่งงานบ้าบอนี่ไม่ได้น้อยไปกว่าฉัน “งั้นเหรอ ฉันคงต้องพิสูจน์ให้ดูสินะ เธอถึงจะเข้าใจว่าฉันหรือเธอกันแน่ที่กำลังเพ้อเจ้อ” ไดสึเกะพูดพลางกระตุกยิ้มเย้ยหยัน พูดจบเขาก็โน้มใบหน้าลงมาช่วงชิงริมฝีปากของฉันในทันที ริมฝีปากหนาที่ทาบลงมาสนิทบดขยี้ริมฝีปากของฉันจนรู้สึกแสบร้อนไปหมด แต่ยิ่งดิ้นฉันก็ยิ่งเป็นฝ่ายเหนื่อยซะเอง มิหนำซ้ำก็ยิ่งรู้สึกเหมือนใกล้จะขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ ฮึก! เสียงลมหายใจถี่กระชั้นดังจนน่ากลัวเมื่อไดสึเกะละริมฝีปากออก แต่ฉันยังไม่ทันจะได้ตั้งสติ เขาก็บีบแก้มฉันแรงๆ ก่อนจะทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ไดสึเกะตั้งใจจะบีบปากฉันเพื่อให้ฉันเปิดปากรอรับปลายลิ้นของเขาที่ตั้งใจจะแทรกเข้ามา วินาทีที่รู้สึกได้ว่าปลายลิ้นสากของเขากำลังกวาดต้อนอยู่ในโพรงปากของฉันมันทำให้ฉันดิ้นพล่าน หยดน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้และไม่มีความสามารถพอที่จะปาดมันออกได้ด้วยตัวเองตราบใดที่ข้อมือของฉันยังคงถูกพันธนาการเอาไว้ “เหอะ” ไดสึเกะทิ้งลมหายใจหนักๆ ใส่หน้าของฉันเมื่อเขาละริมฝีปากออก หากแต่ยังไม่ยอมผละตัวออกไป สายตาที่จ้องมองฉันมีแต่ประกายความเย้ยหยันดูถูกจนฉันนึกเกลียดตัวเองอยู่ลึกๆ “นี่แค่เริ่มต้นนามิ เธอรู้ดีว่าฉันทำได้มากกว่านี้ และทำแน่!” ไดสึเกะตะคอกเสียงดังเหมือนตั้งใจจะทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ สายตาที่เขามองมาดุดันจนยากจะปฏิเสธว่ามันทำให้ฉันเริ่มรู้สึกกลัวใจเขาขึ้นมาทีละนิดๆ “จำเอาไว้ว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ เธอเป็นคนเลือกเอง” ไดสึเกะทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ เขาพูดพลางยกนิ้วโป้งขึ้นมาเกลี่ยกลีบปากของฉันเบาๆ ซึ่งถึงแม้ว่าฉันจะพยายามหันหน้าหนีเขาเท่าไหร่แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกฝ่ามือหนารั้งใบหน้าของฉันให้หันกลับมาสบตากับเขาได้อยู่ดี อาการแสบร้อนปากทำให้ฉันต้องเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ตลอดเวลาจนมันสั่น อยากจะยกมือขึ้นมาถูแรงๆ ด้วยซ้ำ ติดตรงที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ฟึ่บ! หลังจากที่ไดสึเกะเย้ยหยันฉันจนพอใจ เขาก็เดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา แต่สายตากลับยังจ้องมองฉันราวกับกลัวว่าฉันจะคลาดสายตา ฉันสะบัดหน้าหันหนีสายตาคู่นั้นออกมาอีกทางเพราะไม่ต้องการจะเห็นหน้าเขา แต่โชคร้ายที่ด้านหลังห้องดันเป็นกระจก ดังนั้นต่อให้ไม่ฉันจะเห็นหน้าเขาตรงๆ ก็ต้องเห็นเงาของเขาสะท้อนอยู่บนกระจกบ้านั่นอยู่ดี “นับจากวินาทีนี้ไป ไม่ว่าเธอจะหลับตาหรือว่าลืมตา อย่าคิดว่าจะรอดจากสายตาของฉัน” เขาพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากเงาสะท้อนของฉันเลยแม้แต่เสี้ยววินาที เราทั้งคู่ต่างก็ยังคงจ้องมองกันและกันผ่านเงาสะท้อนของเราอยู่อย่างนั้นสักพักจนกระทั่งฉันพ่ายแพ้ ฟึ่บ! สุดท้ายฉันก็เลยต้องหันหน้ากลับมามองเพดาน ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเพราะไม่ต้องการจะมองเห็นภาพใดๆ อีกต่อไป ความเงียบทำให้ฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองชัดขึ้นทุกขณะ รวมไปถึงรู้สึกได้ว่าหยดน้ำตากำลังไหลออกมาช้าๆ ในหัวใจของฉันมีแต่ภาพของพี่โยชิดะเต็มไปหมด ฉันคิดถึงเขาเหลือเกิน คิดถึงพี่ชายที่คอยปกป้องฉันมาตลอด ซึ่งต่อไปนี้คงไม่มีอีกแล้ว ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้ฉันตกใจหรือแม้แต่สนใจจะลืมตาตื่น จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้เตียง ตามมาด้วยเสียงถาดอาหารที่วางลงบนโต๊ะด้านข้าง อาหารโรงพยาบาลก็มาเวลานี้ทุกวันนั่นแหละ “เอาออกไป” ฉันพูดโดยไม่ลืมตาขึ้นมองหน้าพยาบาลที่ยกถาดอาหารเข้ามาด้วยซ้ำ “แต่คุณนามิไม่ได้ทานอะไรมาสามวันแล้วนะคะ” “ไม่หิว เอาออกไป” “เอาวางไว้ตรงนั้น หมดหน้าที่แล้วก็ออกไปได้” ไดสึเกะพูดแทรกอย่างตั้งใจ ฉันรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำทุกอย่างเพื่อกดดันฉัน หลังจากคำสั่งของไดสึเกะ ฉันก็ได้ยินเสียงพยาบาลคนนั้นเดินออกไปก่อนที่เธอจะปิดประตูห้องลงเบาๆ ...เหมือนทุกวัน... ฉันยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ นี่เข้าวันที่สี่แล้วที่ฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เพราะสองมือและสองเท้าถูกมัดเอาไว้ ทางเลือกของฉันในเวลาที่ฉันหิวคือการให้พยาบาลที่ยกถาดอาหารเข้ามาให้เป็นคนป้อน เพราะโอยามะอนุญาตให้แก้มัดฉันเฉพาะเวลาที่จะไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น และนั่นต้องมีคนของเขาเฝ้าอยู่ในห้องด้วย คิดแล้วก็แอบนึกขำเหมือนกันที่เขากลัวแม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉัน ส่วนฉันก็กลัวอดตายจะแย่ เพราะตั้งแต่วันแรกที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงของโรงพยาบาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ฉันก็ยังไม่เคยร้องขอให้พยาบาลหน้าไหนมาป้อนอาหารสักคำ บ้าฉิบ! “ฉันรู้ว่าเธอชอบอวดเก่ง แต่มันผิดเวลาไปหน่อย ลืมตาแล้วหันมานามิ” ไดสึเกะลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาข้างเตียงอีกครั้ง เสียงฝีเท้าของเขาทำให้ฉันลืมตาขึ้นแล้วรีบหันไปมอง ถึงได้เห็นว่าเขาเพิ่งจะเปิดฝาถ้วยซุปนั่นออก และกำลังใช้ช้อนเขี่ยมันวนไปวนมาในถ้วย “มีสองทางเลือก จะให้พยาบาลเข้ามาป้อน หรือให้ฉันกรอกปาก” ไดสึเกะถามพลางเคาะช้อนลงที่ขอบถ้วยซุปเบาๆ “ไม่กิน” “ไม่มีในตัวเลือก” “ฉันบอกว่าไม่...อื้อ แค่กๆๆๆ” ฉันถึงกับสำลัก เมื่อไดสึเกะพยายามจะกรอกซุปสาหร่ายผ่านช้อนใส่ปากฉัน เขาบีบปากฉันเอาไว้ก่อนจะจ่อซุปร้อนๆ ที่เขาไม่แม้แต่จะเป่ามันก่อนที่จะกรอกใส่ปากฉันด้วยซ้ำ “ถ้าจะให้กรอกปาก ก็อ้าปากดีๆ แต่ถ้าเรื่องมากฉันจะเอาช้อนงัด” “พยาบาล” ฉันบอกสั้นๆ เมื่อไดสึเกะตักซุปใส่ช้อนขึ้นมาขู่อีกรอบ กับการกระทำที่เขากำลังทำ ฉันว่าคำว่าเลวมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ “เหอะ!” ไดสึเกะแค่นหัวเราะในลำคอก่อนที่เขาจะวางช้อนกลับลงในถ้วยซุปตามเดิมแล้วเอื้อมมือไปกดอินเตอร์คอมที่หัวเตียงเพื่อเรียกพยาบาล “คนไข้ห้อง 1212 หิวจะตายแล้ว” คำก็ตาย สองคำก็ตาย ถ้าฉันตายไปสักคนเขาคงมีความสุขมากสินะ ถ้าอย่างนั้นทำไมวันนั้นเขาไม่ฆ่าฉันล่ะ เดาว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาคงทำ และฉันเองก็คิดว่าฉันก็คงไม่อยากอยู่จนถึงวันนี้เหมือนกัน ก๊อกๆๆ แล้วพยาบาลก็เคาะประตูห้องก่อนจะเปิดเข้ามา ใบหน้าที่แต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอางเจื่อนลงนิดหน่อยเมื่อถูกคนข้างเตียงถอนหายใจใส่ “จะเข้าห้องน้ำค่ะ ไม่ได้หิว” “เอ่อ...” “กินให้หมดแล้วค่อยไป” “ค่ะๆ” “ปวดฉี่ หรือจะให้ฉันฉี่บนเตียงเลย” “คือว่า...” “ให้ฉี่บนเตียงไปนั่นแหละ ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น” “แต่ว่า...” พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างเตียงมองหน้าฉันกับไดสึเกะสลับกันไปมาเมื่อฉันกับเขายังคงต่างคนต่างพูดโดยไม่สนใจฟังคำพูดของอีกฝ่าย และเมื่อมันมีปัญหามากนัก ฉันจะฉี่บนเตียงจริงๆ คอยดู! “บนเตียงก็บนเตียง” “อย่าค่ะๆ เดี๋ยวดิฉันพาไปเข้าห้องน้ำนะคะ” พยาบาลรีบร้องบอกเมื่อฉันยืนยันว่าจะฉี่บนเตียงจริงๆ นั่นทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจแรง “คิดว่ายัยนั่นจะกล้าฉี่บนเตียงจริงๆ รึไง” “จะลองดูก็ได้” ฉันหันไปพูดกับพยาบาล ซึ่งเธอคงไม่กล้าปล่อยให้ฉันทำแบบนั้นจริงๆ หรอก ไม่อย่างนั้นคนเดือดร้อนคงไม่ได้มีแค่ฉัน “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวดิฉันพาไปได้ค่ะ คุณโอยามะอนุญาตให้คุณนามิเข้าห้องน้ำได้นะคะ” พยาบาลรีบบอก ซึ่งถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะสั่นเพราะเกรงไดสึเกะอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าตีความหมายจากคำพูดที่เธอเพิ่งจะพูดออกมา คนที่เธอกลัวและเชื่อฟังที่สุดดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่ยืนหน้าตึงอยู่ตอนนี้ เหอะ! บ้าชะมัด ข้อมือฉันแดงไปหมดเลย ฉันช้อนตามองไดสึเกะนิดหน่อยก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงหลังจากที่พยาบาลแก้มัดให้ ยกข้อมือทั้งสองข้างขึ้นมาหมุนไปมาเพื่อคลายอาการปวด รอยแดงๆ ตรงข้อมือที่เกิดจากการเสียดสีกับสายรัดทำให้ฉันรู้สึกแสบไปหมด หลายวันมาแล้วที่แม้แต่การเข้าห้องน้ำฉันก็ต้องขออนุญาตคนอื่น ซึ่งโดยปกติถ้าไม่มีไดสึเกะอยู่ในห้อง ก็จะต้องมีคนของโอยามะคอยเฝ้าฉันอยู่อีกหนึ่งคนน่ะ แต่นี่ดูเหมือนคนอื่นคงจะถูกไดสึเกะไล่ออกไปกันหมด ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าเวลาที่ถูกคนของโอยามะจับตามองเวลาเดินไปเข้าห้องน้ำมันน่าอึดอัดแล้ว แต่พอเปลี่ยนมาเป็นไดสึเกะ ฉันกลับรู้สึกว่าอยากให้เป็นคนของโอยามะสักสี่ห้าคนหรืออยู่กันเต็มห้อง ฉันก็น่าจะหายใจคล่องมากกว่าเห็นหน้าเขา “ฉันเดินเองได้” ฉันบอกเบาๆ เมื่อพยาบาลทำท่าเหมือนจะเข้ามาช่วยประคอง ซึ่งหลังจากที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น ฉันก็เห็นว่าเธอหันไปมองหน้าไดสึเกะนิดหน่อยเหมือนจะขออนุญาต รอจนเห็นว่าเขาพยักหน้าเบาๆ เหมือนจะอนุญาตนั่นแหละ เธอถึงได้ยอมหลีกทางให้ฉันเดินไปเข้าห้องน้ำ บ้าเอ๊ย! ทำไมทุกอย่างถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ แล้วนี่ฉันจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ยังไง ถึงปากจะบอกว่าจะทำให้ไดสึเกะทรมานตายด้วยการยอมแต่งงานด้วย แต่ฉันไม่ได้อยากจะทำจริงๆ สักหน่อย เพราะนั่นก็เท่ากับฉันเองก็คงทรมานเหมือนกัน คนอย่างฉันไม่มีทางยกอิสรภาพของตัวเองให้คนอย่างไดสึเกะเด็ดขาด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD