Episode 02 บาดแผลในใจ

4446 Words
แกร๊ก! ฉันกดล็อกประตูห้องน้ำทันทีที่เข้ามาได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องน้ำมันทำให้ฉันหายใจคล่องกว่าด้านนอก ปิดประตูห้องน้ำได้ฉันก็เดินมาที่ด้านหน้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ยืนจ้องเงาสะท้อนของตัวเองอยู่อย่างนั้นเพราะความจริงก็คือฉันไม่ได้ปวดฉี่เลยสักนิด แต่แค่รู้สึกเบื่อความกดดันและอยากหนีไปให้พ้นจากสายตาของไดสึเกะเท่านั้นเอง ถ้าชีวิตหลังจากนี้ไม่ว่าจะลืมตาหรือว่าหลับตาต้องอยู่ในสายตาของเขาตลอดแบบที่เขาพูด ฉันต้องเป็นบ้าตายแน่ๆ “นามิควรทำยังไงดีคะพี่โยชิดะ” ฉันรำพึงรำพันเบาๆ ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มให้กับคนในกระจก พยายามจะบอกตัวเองให้เข้มแข็งและอดทนแบบที่พี่โยชิดะสอน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความทุกข์ในอกมันจะลดทอนลงไปได้สักที ยิ่งคิดถึงพี่โยชิดะฉันก็ยิ่งทรมาน ยิ่งรู้ว่าตัวเองกำลังกลายเป็นนักโทษของแบล็กสกอร์เปี้ยนที่รอวันถูกคนพวกนั้นตัดสิน ฉันก็ยิ่งอยากจะหยุดหายใจไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด และยิ่งรู้ว่าโทษของฉันคือการต้องแต่งงานกับไดสึเกะ ฉันก็ยิ่งเจ็บปวด ถึงแม้ว่าข้อเสนอของไดสึเกะจะฟังดูเข้าท่า และฉันมั่นใจว่าถ้าฉันยอมตกลง เขาจะต้องยอมหาวิธีที่จะทำให้เราหย่ากันเร็วที่สุดได้แน่นอน แต่มันไม่มีเหตุผลที่ฉันจะยอมรับข้อเสนอบ้าๆ ของเขาเลยสักนิด เพราะนั่นจะต่างอะไรกับการที่ฉันยอมก้มหัวให้เขาล่ะ พี่โยชิดะต้องไม่พอใจแน่ถ้าฉันยอมทิ้งศักดิ์ศรีแบบนั้น ก๊อกๆๆ “หาทางหนีอยู่รึไง” ที่เขามาเฝ้าฉันมันเป็นเพราะคำสั่งของโอยามะรึยังไงกันนะ หรือว่าเขาแค่กำลังมาหาวิธีฆ่าฉันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับฉันอย่างแยบยลอยู่ “นามิ” “คิดถึงฉันมากขนาดไม่เห็นหน้าสักห้านาทีนายจะอยู่ไม่ได้เลยรึยังไงไดสึเกะ” ฉันประชดใส่ก่อนจะยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ยืนสำรวจใบหน้าของตัวเองให้ถี่ถ้วนเพราะไม่อยากให้มีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่ ก่อนจะเปิดน้ำล้างมือเบาๆ ฉันต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้! ฉันย้ำประโยคนั้นซ้ำๆ กับตัวเองพลางสบสายตากับตัวเองอีกคนในกระจกเงา แผลที่ต้นแขนซ้ายแม้จะยังไม่ได้หายดีและยังรู้สึกปวด แต่คิดว่าต่อให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ฉันก็คงไม่ตาย แต่ถ้าขืนยังทนอยู่ที่นี่ รอวันที่จะต้องแต่งงานกับไดสึเกะจริงๆ ฉันต้องตายทั้งเป็นแน่ๆ เพราะฉะนั้นฉันต้องหนีออกไปให้เร็วที่สุด ก๊อกๆๆ ไดสึเกะเคาะประตูเร่ง เสียงเคาะประตูทำให้ฉันสมาธิหลุดไปนิดหน่อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นแจกันที่ตั้งอยู่ที่หน้ากระจก ฉับพลันก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว นั่นทำให้ฉันเอื้อมมือไปคว้าแจกันใบนั้นมาแล้วรีบหยิบดอกไม้ที่ปักอยู่ทิ้งใส่ถังขยะ ก่อนจะเดินลึกเข้าไปด้านในเพื่อหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับเช็ดมือที่ฉันเห็นมันแขวนอยู่ที่ผนังออกมา ก๊อกๆๆ “นามิ” บ้าฉิบ! เขาจะเร่งจนวินาทีสุดท้ายเลยรึยังไง ขอเข้าห้องน้ำแบบมีความสุขสักสิบนาทีก็ไม่ได้ ฉันคิดในใจ แต่มือกำลังสาละวนอยู่กับการห่อแจกันด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กนั่น ห่อเสร็จก็รีบฟาดมันกับผนังห้องน้ำสุดแรงเพราะฉันรู้ดีว่ามีเวลาไม่มาก ฉันต้องทำทุกอย่างด้วยสติ ถ้าขืนรีบร้อนเกินไป ทุกอย่างมันอาจยิ่งแย่ลงกว่าเดิม “ฉันไม่ตลกนะนามิ” ฉันหัวเราะอยู่รึไงล่ะ! “นามิ!” โครม! แล้วประตูห้องน้ำก็ถูกพังเข้ามาตรงกับจังหวะที่ฉันกดชักโครกพอดี “ทำบ้าอะไรของเธอ” “โอ๊ย!” ฉันหลุดปากร้องเมื่อไดสึเกะเดินเข้ามากระชากแขนฉันแรงๆ เพราะแขนที่ว่าดันเป็นแขนข้างซ้ายที่ถูกเขายิง ฉันว่าแผนการของเขาน่าจะเป็นการทำให้ฉันทนพิษบาดแผลจากการถูกยิงไม่ไหวแน่ๆ เขาถึงได้คอยแต่จะซ้ำเติมที่แผลบริเวณนั้นตลอดทุกครั้งเลย “ฉันถามว่าทำอะไร” น้ำเสียงตะคอกทำให้ฉันสะดุ้งนิดหน่อย แต่นี่เขาคิดว่าฉันจะบอกเขาจริงน่ะเหรอว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไร “ฉี่” “อย่ามาโกหก” “งั้นนายคิดว่าฉันทำอะไรฉันก็ทำไอ้นั่นแหละ” “นามิ!” “อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันเพราะฉันไม่ใช่ลูกน้องนาย ปล่อย!” ฉันร้องบอก แต่กลับถูกไดสึเกะลากออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่เขาจะผลักฉันลงกับเตียง แต่มันไม่ได้มีฉากเรตเกิดขึ้นหลังจากนั้นหรอกนะ เพราะทันทีที่ฉันล้มลงบนเตียงผู้ป่วย สิ่งที่ไดสึเกะทำก็คือการจับฉันมัดแขนมัดขาเอาไว้ตามเดิมทันทีต่างหาก งี่เง่า! “อย่าคิดจะทำอะไรที่ทำให้ฉันเดือดร้อน” ไดสึเกะย้ำในขณะที่มือกำลังผูกเชือกมัดข้อเท้าของฉันติดกับเตียงแน่นๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่พยาบาลเป็นคนมัด ฉันรู้สึกว่าความยาวของสายรัดมันจะยาวกว่านี้พอให้ฉันสามารถพลิกตัวได้ด้วยซ้ำ บ้าเอ๊ย เขาเล่นมัดซะแน่นแบบนี้แล้วฉันจะนอนตะแคงได้ยังไง ถึงฉันจะไม่ชอบนอนตะแคงเพราะมันทับแผลแต่อย่างน้อยก็พอจะแก้เมื่อยได้บ้าง “อย่าพยายามเร่งให้ฉันหมดความอดทนกับเธอนามิ” “คิดว่านายหมดความอดทนเป็นคนเดียวรึไงล่ะ โอ๊ย นี่ เบาๆ สิ ฉันเจ็บนะ!” “ถ้ายังไม่เลิกตุกติก เธอจะเจ็บกว่านี้หลายเท่า” ไดสึเกะคาดโทษ ก่อนจะเดินอ้อมมามัดข้อมือฉันอีกข้างด้วยความรวดเร็ว สุดท้ายฉันก็กลับมาเป็นนักโทษที่ถูกมัดแขนมัดขาติดกับเตียงตามเดิมจนได้ ฉันนอนนิ่งไม่ขยับเพราะรู้ดีว่าป่วยการจะต่อรองหรือพูดอะไรออกไป และบอกตามตรงว่าเริ่มชินแล้วกับการต้องถูกมัดอยู่แบบนี้ ดีเหมือนกัน ระหว่างที่ต้องนอนนิ่งๆ ฉันจะได้คิดหาทางออกไปจากไอ้ปัญหาบ้าๆ นี่โดยไม่มีใครสงสัย “อ้าปาก” รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ไดสึเกะยื่นช้อนที่เขาเพิ่งจะตักซุปมาจ่อที่ปากอีกรอบ เดาว่าเขาคงไล่พยาบาลออกไปแล้วเหมือนเคย และคงรู้ด้วยว่าฉันคงไม่ยอมกินง่ายๆ ถึงได้ทำท่าจะเทกรอกปากฉันอยู่แบบนี้ ฟุ่บ! แล้วฉันก็หันหน้าออกมาอีกทางในทันทีโดยไม่คิดจะเสียเวลาพูดหรือเถียงกับเขาให้วุ่นวาย ไม่กินก็คือไม่กินนั่นแหละ แหกปากใส่หูเขา เขาก็ไม่เข้าใจหรอก “นับหนึ่งถึงสาม ถ้าไม่หันกลับมา จากที่จะเทกรอกทีละช้อน ฉันจะกรอกทีเดียวหมดถ้วยเลยจริงๆ” ฉันได้ยินไดสึเกะพูดขู่ แต่คำขู่ของเขาไม่ได้ทำให้ฉันคิดจะสนใจเขาเลยสักนิด เพราะตอนนี้สายตาของฉันกำลังเพ่งมองไปที่ต้นแขนด้านซ้ายของตัวเองที่เหมือนมันจะมีเลือดไหลซึมออกมา แย่แล้วสิ! ต้องเป็นจังหวะที่ฉันถูกเขากระชากในห้องน้ำเมื่อครู่นี้แน่ๆ เพราะตอนนั้นฉันเองก็รู้สึกว่าเจ็บมากและตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่ด้วย แต่ที่กำลังเพ่งมองมันไม่ใช่เพราะอยากให้เขามาสงสารหรือเห็นใจหรอก ฉันกำลังเพ่งมองมันแล้วคิดอยู่ว่าจะทำยังไงไม่ให้เขาเห็นต่างหาก เคร้ง! “บ้าฉิบ!” เสียงช้อนตกกระทบขอบถ้วยดังขึ้นก่อนที่ไดสึเกะจะวางถ้วยซุปกลับลงในถาดแล้วรีบเดินอ้อมมาที่อีกด้านหนึ่งของเตียงทันที เดาว่าเขาคงสังเกตเห็นแล้วว่ามีเลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลของฉัน “อย่ามายุ่ง” ฉันบอกแล้วรีบขยับตัวหนีเมื่อไดสึเกะเอื้อมมือมาถลกแขนเสื้อขึ้น แต่ว่าฉันจะหนีไปไหนได้พ้นในเมื่อร่างกายไม่ได้เป็นอิสระ “อย่ามาอวดดี แล้วก็หยุดดิ้นด้วย” “ก็บอกว่าอย่ามายุ่งไงล่ะ” “ถ้ายังเถียงอีกคำ ฉันจะขึ้นไปคร่อมเธอบนเตียง” ไดสึเกะพูดเสียงเรียบพลางช้อนตามองฉันด้วยสายตาหงุดหงิดรำคาญ ฉันกัดฟันกรอด สองมือกำแน่นอย่างรู้สึกขัดใจแต่ก็ทำได้แค่นอนนิ่งตามที่ไดสึเกะต้องการ เขาจ้องหน้าฉันอยู่สักพักจนมั่นใจว่าฉันยอมสงบลง เขาถึงได้ถอนหายใจใส่ก่อนจะเดินอ้อมกลับมาที่อีกฟากหนึ่งของเตียงเพื่อกดอินเตอร์คอมเรียกพยาบาล “ห้อง 1212 ด่วน” น้ำเสียงกระแทกกระทั้นแบบนั้นบ่งบอกถึงระดับความหงุดหงิดของเขาได้ดี เพียงแต่ฉันไม่แน่ใจว่าเขาหงุดหงิดกับฉัน กับพยาบาล หรือกับทุกอย่างในตอนนี้ที่ฉันเองก็รู้สึกว่ามันขวางหูขวางตาไปหมด ไม่นานพยาบาลก็เดินเข้ามา ไม่สิ ต้องเรียกว่าเกือบจะวิ่งเข้ามาเลยก็คงไม่ผิดนักเพราะคำว่าด่วนที่ไดสึเกะเน้นผ่านอินเตอร์คอมไปเมื่อครู่ “ที่แผลมีเลือดออก” ไดสึเกะยังคงพูดเหมือนไม่เต็มใจ และยังยืนอยู่ไม่ไกลจากเตียงเท่าไหร่นักทั้งที่ฉันคิดว่าเขาน่าจะกลับไปนั่งที่ เกะกะ! “ขอดูแผลหน่อยนะคะคุณนามิ เจ็บมากมั้ยคะ” “ไม่ โอ๊ย!” บ้าจริง! จับแรงขนาดนั้นจากไม่เจ็บก็กลายเป็นเจ็บน่ะสิ “ขอโทษค่ะ แต่ดูเหมือนแผลจะปริ เดี๋ยวดิฉันขอทำความสะอาดก่อนแล้วจะรีบตามคุณหมอมาเช็กให้นะคะว่าต้องเย็บแผลใหม่รึเปล่า” พยาบาลคนนั้นอธิบาย เธอหน้าเสียไปตั้งแต่ที่ฉันร้องโอ๊ยเมื่อครู่แล้ว “ไม่ต้อง แค่ทำความสะอาดก็พอ” “ฉลาดกว่าหมอทำไมไม่เปิดโรงพยาบาล” ฉันบอกแล้วว่าเขาควรจะกลับไปนั่งที่โซฟา ยุ่งไม่เข้าเรื่อง! “เธอน่ะ ไปตามหมอมา” “ไม่ต้อง” ฉันรีบแย้งเมื่อไดสึเกะออกคำสั่งให้พยาบาลที่ยืนอยู่ที่ปลายเตียงเดินออกไปตามหมอ “ไปสิ มองอะไร” “ก็บอกว่าไม่ต้องไง ฉันไม่ได้เป็นอะไร” “ฉันไม่ได้เป็นห่วงเธอ แต่ฉันเป็นห่วงตัวเอง ถ้าเธอเป็นอะไรไป คิดว่าไอ้โอยามะมันจะทำยังไง หรือคิดว่ามันจะเก็บพยาบาลพวกนี้ไว้รึเปล่า บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าทำให้เรื่องมันยุ่งกว่าเดิมน่ะ” ไดสึเกะโวยวายเสียงดัง ทุกคำพูดของเขาทำให้ฉันต้องเงียบลงอย่างจนใจจะโต้แย้ง ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าของพยาบาลคนนั้นรีบวิ่งออกไปตามหมอทันที ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความผิดของฉันหรือไดสึเกะ ซึ่งพอฉันเงียบลง ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายเองจะเงียบลงเหมือนกัน ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากจะได้ยินเสียงของเขานักหรอก แต่ไม่พูดแล้วก็ช่วยไม่ต้องหันมามองด้วยไม่ได้รึไงล่ะ “เดี๋ยวขอล้างแผลก่อนนะคะ” พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างเตียงของฉันตั้งแต่แรกกระซิบบอกเมื่อเธอคงไม่กล้าเสียงดังกว่านี้เพราะไดสึเกะมองตาขวางอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถึงจะไม่เต็มใจ แต่เคยปฏิเสธได้ซะที่ไหนล่ะ สุดท้ายฉันทำได้แค่พยักหน้าตอบกลับไปก่อนจะปิดเปลือกตาลงพร้อมกับกำมือแน่นแล้วบอกตัวเองให้อดทน ฉันเกลียดการทำแผลมาตั้งแต่เด็ก เกลียดหมอ เกลียดโรงพยาบาล เกลียดกลิ่นยาฆ่าเชื้อ เกลียดเข็มฉีดยา เกลียดการกินยา เกลียด... “ถอยไป” ฉันลืมตาขึ้นมองอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเหมือนไดสึเกะเดินเข้ามาใกล้ ซึ่งก็จริง เขาไล่พยาบาลที่ยืนอยู่ด้านขวาของเตียงออกไปแล้วเสนอหน้ามายืนแทนทำไมก็ไม่รู้? หมับ! “นี่” “อย่าเรื่องมาก กลัวก็ยอมรับว่ากลัว แค่ล้างแผล ไม่ตายหรอก” ไดสึเกะดุใส่เมื่อฉันพยายามจะไล่เขาออกไป แต่จะไม่ให้ไล่ได้ยังไงในเมื่อเขาไม่ได้แค่เข้ามายืนใกล้เฉยๆ แต่ยังพยายามจะจับมือฉันอีกด้วย “อย่ามาจับมือฉัน!” “คิดว่าอยากจับนักรึไง แล้วทีหลังหัดตัดเล็บซะบ้าง เวลากำมือแน่นมันจะได้ไม่จิกเนื้อตัวเอง เป็นมาโซคิสม์รึไง” “นี่นาย...” “ล้างเร็วๆ สิ มองอะไรกันอยู่ได้ แอลกอฮอล์น่ะปาดๆ ไปเยอะๆ เผื่อเชื้อโรคมันตายยาก เดี๋ยวเชื้อมันขึ้นสมองก็เดือดร้อนกันหมด” เขาเป็นบ้าอะไรของเขากันนะ! “ปล่อย” ตุ้บ! “ล้างแผลไป เสร็จแล้วบอก ก่อนที่ฉันจะบีบคอยัยนี่ให้โอยามะมันไล่ออกตั้งแต่หมอยันคนกวาดพื้น เร็ว!” ไดสึเกะตะคอกบอกพยาบาลที่กำลังตกใจกับการที่อยู่ๆ เขาก็โน้มตัวเองลงมาจ้องมองใบหน้าของฉันในระยะประชิด มือทั้งสองข้างของเขาจับอยู่ที่มือของฉัน พยายามจะทำให้ฉันกางมือออกเพื่อจะสอดประสานนิ้วมือของเขาลงมา ซึ่งถึงฉันจะพยายามกำมือแน่นยังไงก็สู้แรงเขาไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายเขาก็จับมือฉันเอาไว้แล้วบีบแน่นจนฉันต้องนิ่วหน้า นอกจากนั้นแล้วสายตาที่เขามองมาทั้งที่ใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากฉันแค่ไม่กี่เซนติเมตร ก็พลอยทำให้เรี่ยวแรงในการดิ้นของฉันหายไปหมด จะไล่ก็ไล่ไม่ได้เพราะไม่กล้าเปล่งเสียง แค่หายใจแรงๆ ใส่หน้าเขายังไม่กล้าพอจะทำ “อ่านป้ายตรงทางเข้าไม่ออกเหรอไดสึเกะว่าที่นี่โรงพยาบาล ไม่ใช่โรงแรม” นั่นเสียงโอยามะ! สองตาของฉันเบิกโพลงขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงของคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามา แต่ฉันมองไม่เห็นเขาหรอกนะ เพราะตรงหน้ายังคงมองเห็นแค่ใบหน้าและแววตาดุดันของไดสึเกะเท่านั้น “แกคิดว่าถ้าที่นี่เป็นโรงแรม ยัยนี่จะยังได้ใส่เสื้อผ้าอยู่มั้ยล่ะ” ไอ้พวกบ้าเอ๊ย! “เหอะ แปลว่าปรับความเข้าใจกันได้แล้วสินะ” ได้บ้าได้บออะไรกันล่ะ นี่ฉันจะทำยังไงดี แล้วพยาบาลที่กำลังล้างแผลให้ฉันอยู่ก็เหมือนกัน มือสั่นจนกดแผลฉันระบมไปหมดแล้ว ฉันรู้สึกนะ แต่สาบานว่าไม่กล้าร้องสักแอะเดียว “ยังหรอก ยังไม่ได้มีโอกาสลองนอนปรับความเข้าใจกันสักที และเหมือนจะยากเพราะจำได้ว่าล่าสุดที่จำได้...ห่วย!” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของผู้ชายที่ยังคงสบตาฉันตลอดเวลาที่เขาพ่นคำพวกนั้นออกมาทำให้ฉันรู้สึกเกลียดเขามากขึ้นทุกทีๆ แม้จะคิดว่าฉันรู้จักเขาดีในระดับหนึ่งว่าเขาเป็นคนเลวร้าย แต่ไม่คิดว่ายิ่งรู้จักก็ยิ่งเกลียดมากขึ้น ฉันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของไดสึเกะแล้วพยายามบอกตัวเองให้จำทุกอย่างในวันนี้เอาไว้ให้ดี แม้จะรู้สึกว่าภาพตรงหน้ากำลังพร่าเบลอเพราะม่านน้ำตาที่กำลังค่อยๆ บดบังการมองเห็น แต่กลับไม่มีความคิดที่จะหลบสายตาของเขาเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ทุกอย่างรอบกายเงียบลงเมื่อฉันพยายามจะปิดทุกโหมดการรับรู้ของตัวเองยกเว้นการมองเห็น เพราะต้องการจดจำสายตาคู่นี้ของไดสึเกะเอาไว้ ฉันจะจำให้ขึ้นใจว่าผู้ชายคนนี้มันสารเลวแค่ไหน! พยาบาลที่ยืนอยู่ข้างกายยังคงเร่งมือในการทำความสะอาดแผล ซึ่งแม้ว่าฉันจะเกลียดมันที่สุดและรู้สึกแสบจนเผลอสะดุ้งอยู่บ่อยครั้ง แต่ถ้าเทียบกับความรู้สึกในอกตอนนี้ อาการเจ็บแสบที่แผลกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ฉันต้องผ่านมันไปให้ได้ นอกจากพยาบาลกำลังช่วยกันทำความสะอาดแผลให้ฉันอยู่ในตอนนี้ ด้านหน้าห้องก็มีโอยามะที่ถึงแม้ว่าเขาจะเงียบไปได้สักพักแล้วแต่ฉันเชื่อว่าเขายังไม่ได้เดินออกไป เพราะคงตั้งใจจะมาพูดหรือบอกบางเรื่องกับฉัน และถึงแม้ว่าฉันจะไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น แต่บทสรุปก็เหมือนเดิมนั่นคือฉันไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกอะไรได้ “เสร็จรึยัง” ไดสึเกะถามเสียงเข้มเพื่อเร่งพยาบาลอีกรอบ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ดุฉัน ไม่ได้พูดกับฉัน แต่สายตาที่มองมาก็ยังไม่ละไปจากฉันเลย เหมือนกันกับที่ฉันเองก็ยังไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเขาเช่นกัน ฉันเลือกจะปิดทุกประสาทการรับรู้ยกเว้นการมองหน้าเขา ยอมเงียบเพื่อฟังเสียงหัวใจของตัวเองให้ชัดๆ พยายามบอกตัวเองให้คลายมือทั้งสองข้างออกเพราะไม่ว่าจะเจ็บที่แผลมากแค่ไหน มันก็ไม่เทียบกับความเจ็บที่หัวใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามบอกให้ตัวเองอดทนแค่ไหน สุดท้ายสิ่งที่ห้ามไม่เคยได้เลยสักครั้งก็คือหยดน้ำตา “ใจเสาะฉิบ” เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับรู้อะไร ต่อให้เขาตะคอกใส่หน้าฉันก็ไม่ควรจะรู้สึกอะไรทั้งนั้น และต่อจากนี้ไปฉันจะต้องไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของคนคนนี้อีก เหมือนกันกับเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยมือ ต่อให้อีกฝ่ายจะยังจับมือฉันเอาไว้แน่นแค่ไหน ฉันก็จะไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น! “เสร็จรึยัง!” “เสร็จแล้วค่ะ” พยาบาลสองคนรีบบอกออกมาพร้อมกันก่อนที่ฉันจะได้ยินเสียงพวกเธอเก็บอุปกรณ์ล้างแผลกลับลงบนถาดอะลูมิเนียมแล้วรีบถอยหลังออกไป ซึ่งแม้พวกเธอจะถอยออกไปแล้ว แต่ไดสึเกะกลับยังไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือฉันหรือผละตัวออกไปง่ายๆ “ไหนหมอ ไปตามหมอถึงไหน ไปตามหมอมา!” “ค่ะๆๆ” “แล้วก็ให้คนเอาซุปใหม่มาด้วย ไม่เห็นเหรอว่ามันเย็นชืดหมดแล้วน่ะ!” “ค่ะๆๆ” ฉันไม่รู้หรอกว่าไดสึเกะเป็นบ้าอะไรเขาถึงได้ตะคอกใส่พยาบาลไม่หยุดจนทุกคนกระวีกระวาดเดินออกไปทำตามคำสั่งของเขากันหมด แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังเผลอสะดุ้งบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้คิดจะยอมแพ้ด้วยการหลบสายตาของเขาแต่อย่างใด “มองนี่จะเอาอะไร” “...” “นามิ!” “...” “อย่าทำให้ฉันหมดความอดทน!” ฟึ่บ! ร่างของไดสึเกะถูกกระชากออกไปโดยโอยามะ ก่อนที่พื้นที่ตรงข้างเตียงจะถูกแทนที่ด้วยร่างสูงที่ยืนพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมาราวกับเบื่อหน่าย ส่วนไดสึเกะที่ถูกเหวี่ยงออกไปก็กำลังยืนจ้องหน้าฉันราวกับอยากจะเดินเข้ามาบีบคอฉันใจจะขาด “นามิ” มันก็แค่เปลี่ยนคนเรียกจากไดสึเกะเป็นโอยามะเท่านั้นเอง ฉันละสายตาออกจากใบหน้าของไดสึเกะมาสบตาโอยามะแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป และไม่คิดจะพูดอีกแล้ว ไม่ว่าจะกับเขาหรือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็ตาม “แกไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ดีหรอกโอยามะ งี่เง่าฉิบ!” “ไม่ได้ต่างจากแกสักนิดไดสึเกะ” “ไอ้...” “ฟังที่ฉันจะพูดให้ดี ทั้งแกแล้วก็นามินั่นแหละ” โอยามะบอกด้วยน้ำเสียงและท่าทีเบื่อหน่าย แต่กลับทำให้ไดสึเกะยอมเงียบลงไปในที่สุด หากแต่สายตาก็ยังไม่วายจะเหลือบมองมาที่ฉันเหมือนจะโทษฉันอีกเหมือนเคย เขามันไม่เคยโทษตัวเองหรอก! “วันพรุ่งนี้หมอจะอนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาล” ฉันควรดีใจสินะ “ไดสึเกะจะพาเธอย้ายเข้าไปอยู่ที่แบล็กซิโน” “แกว่าไงนะ” ไดสึเกะถึงกับร้องถาม “หลังจากนี้จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน แกจะต้องดูแลนามิ และหลังจากการแต่งงาน ฉันจะพิจารณาอีกที” คำตัดสินของโอยามะทำให้ก้อนเนื้อในอกของฉันเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าฉันจะพยายามบอกให้มันสงบลงเท่าไหร่มันก็ไม่เชื่อฟังฉันเลย ยิ่งเห็นว่าโอยามะกำลังมองมา มันก็ยิ่งประท้วงด้วยการเต้นถี่ขึ้นจนน่ากลัวว่าอีกไม่นานมันจะกระดอนออกมาจากอก “ระหว่างที่เธออยู่ที่นั่น ไดสึเกะจะทำหน้าที่ดูแลเธอ...เป็นอย่างดี” “เหอะ!” นั่นไม่ใช่เสียงของฉันหรอก แต่เป็นเสียงของคนที่กำลังทำหน้าอยากตายอย่างไดสึเกะต่างหาก “มีปัญหาอะไรงั้นเหรอไดสึเกะ” พูดกับฉันจบโอยามะก็หันไปย้อนถามไดสึเกะ ซึ่งถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ยินไดสึเกะพูดว่าเขามีปัญหาอะไร แต่ฉันรู้ดีว่าจริงๆ แล้วมี และก็เป็นปัญหาใหญ่มากซะด้วย เมื่อไดสึเกะไม่ได้พูดหรือคัดค้านอะไร โอยามะก็ทิ้งลมหายใจออกมาหนักๆ อีกรอบก่อนจะเดินกลับออกไปเงียบๆ โดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา ฉันคิดไม่ผิดหรอกว่าเขามาเพื่อบอกบางอย่างกับฉัน ซึ่งถึงฉันจะรับรู้หรือไม่ ก็ถือว่าเขาได้พูดแล้วมันก็เท่านั้นเอง เมื่อโอยามะไปแล้ว ไดสึเกะก็จ้องฉันด้วยสายตาคมปลาบเหมือนเคย ซึ่งฉันก็ได้แต่เงียบแล้วนอนนิ่งๆ เตรียมจะปิดเปลือกตาลงเพื่อปิดโหมดการมองเห็นของตัวเองเป็นอย่างสุดท้าย แต่ยังไม่ทันจะได้ปิดเปลือกตาลง ฉันก็ได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับการมาของหมอ และพยาบาลที่ต่างก็หน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน หนึ่งในพยาบาลที่เดินตามหลังหมอเข้ามาเป็นคนถือถ้วยซุปมาเปลี่ยนให้ฉันใหม่ มือของเธอสั่นมากขนาดที่ฉันได้ยินเสียงถ้วยซุปกับถาดดังกระทบกันอยู่ตลอดเวลา “ไหนเสื้อ นี่ต้องให้ฉันสั่งทุกเรื่องเลยรึไง ไม่เห็นเหรอว่าตัวที่ใส่อยู่มันเปื้อน” “ไม่ต้อง” ฉันรีบบอกเมื่อได้ยินไดสึเกะโวยวายพยาบาลเรื่องเสื้อของฉัน ซึ่งแขนเสื้อมันเปื้อนเลือดอยู่จริงๆ “ไปเอามา” “บอกว่าไม่ต้องไง นายอย่าทำเหมือนกำลังเป็นห่วงฉันหน่อยเลยไดสึเกะ” ฉันแกล้งว่า “เหอะ! ฉันแสดงเก่งงั้นสิ” แสดงเหรอ คงอย่างนั้นมั้ง เพราะก่อนหน้านี้ครั้งหนึ่งฉันเองก็เคยเชื่อสนิทใจเลยว่าเขาเคยเป็นห่วงฉันจริงๆ แต่วันนี้รู้แล้วว่ามันแค่ละคร “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องยุ่งกับฉันอีก ถ้าจะให้ดีก็ไสหัวไปซะ หรือไม่ถ้ามันกลับไปไม่ได้จริงๆ เพราะเงื่อนไขเรื่องผลประโยชน์ระหว่างนายกับโอยามะ ก็ช่วยนั่งเงียบๆ ไม่ได้ยินที่โอยามะสั่งเหรอว่านายมีหน้าที่ต้องดูแลฉัน เพราะฉะนั้นถ้าฉันเหลืออดจนทำอะไรที่นายคิดไม่ถึงขึ้นมา จะมาโทษว่าฉันทำให้นายเดือดร้อนทีหลังไม่ได้” ฉันบอกออกไปเสียงเรียบ ซึ่งถึงไดสึเกะจะไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะยอมฉันสักเท่าไหร่ แต่เขาไม่กล้าพอจะเอาผลประโยชน์ของเขามาเสี่ยงกับผู้หญิงอย่างฉันหรอก “ทะ ทานซุปหน่อยนะคะคุณนามิ” “ไม่หิว แผลก็ไม่ต้องเย็บใหม่ ออกไปให้หมด” หลังจากไดสึเกะเงียบลง ฉันก็หันไปสั่งด้วยเสียงหงุดหงิด ทั้งกับพยาบาลที่พยายามจะคะยั้นคะยอให้ฉันกินซุป รวมถึงคนอื่นๆ ที่ยืนกระอักกระอ่วนใจกันอยู่ กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่ไดสึเกะอีกครั้งเพื่อรอฟังว่าเขาจะพูดหรือทักท้วงอะไรออกมาอีกรึเปล่า ซึ่งเมื่อเขาไม่ได้โต้แย้งอะไรออกมานั่นก็แปลว่าการเอาผลประโยชน์ของเขามาเป็นตัวประกันเป็นความคิดที่ดี และฉันอาจจะใช้มันต่อรองกับเขาได้อีกสักครั้งหรือสองครั้ง แต่จะใช้ทุกครั้งไม่ได้เพราะเขามันเจ้าเล่ห์ “ออกไป” ฉันย้ำอีกครั้งช้าๆ ชัดๆ หากแต่ทุกคนก็ยังเอาแต่จ้องมองไปที่ไดสึเกะเหมือนจะรอฟังคำยืนยันจากปากของเขา รอจนเมื่อเขาพยักหน้าเพียงเบาๆ ทุกคนก็รีบกรูกันออกไปจนหมด เมื่อทุกคนออกไปแล้ว ทั้งห้องก็เหลือแค่ฉันกับไดสึเกะ ซึ่งถึงแม้ฉันจะรู้ว่าเขากำลังมองมา แต่ฉันไม่อยากมองเขาอีกแล้ว จำขึ้นใจแล้ว และเจ็บมามากพอแล้ว “ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ เธอจะรู้ว่าเธอคิดผิดที่ปฏิเสธข้อเสนอฉัน” ฉันได้ยินทุกคำที่ไดสึเกะกระซิบบอกแต่ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมอง ไม่ได้คิดจะหันไปสนใจหรือโต้เถียงอะไรเขาอีกแล้วเพราะฉันเหนื่อย หัวใจที่เต้นตึกๆ ด้วยความโกรธอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ สงบลง ฉันพยายามท่องอยู่ในใจตลอดเวลาว่าคนอย่างฉันยอมตายดีกว่ายอมแต่งงานกับเขา ไม่ว่าทางเลือกหลังแต่งงานมันจะเป็นยังไงก็ตาม อย่าฝันว่าจะมีวันนั้น อย่าคิดว่าคนอย่างฉันจะยอมให้เขาสั่งให้ฉันทำอะไรก็ได้ และอย่าคิดไปเองว่าการแต่งงานมันจะเกิดขึ้นจริง เพราะถ้าเขากำลังคิดแบบนั้น ฉันก็บอกได้คำเดียวว่าเขา...คิดผิด!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD