Episode 04 คนที่ไว้ใจ

3515 Words
ตุ้บ! สองเท้าของฉันอ่อนแรงลงเมื่อพาตัวเองเดินมาถึงจุดหมายปลายทาง ฉันทิ้งตัวเองนั่งลงกับพื้น สองตามองออกไปยังบ้านหลังหนึ่งที่ตอนนี้ด้านในมืดสนิทเพราะไม่มีคนอยู่ แต่ด้านนอกกลับมีคนของแบล็กสกอร์เปี้ยนตรึงกำลังอยู่อย่างแน่นหนา ฉันนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ในหัวใจมีแต่ภาพของพี่โยชิดะและรอยยิ้มของเขา มันทำให้ยากต่อการจะกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องรีบยกหลังมือขึ้นมาปาดมันออก เพราะรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมาพี่โยชิดะไม่ชอบเห็นฉันร้องไห้ เขาพูดเสมอว่าเสือไม่ร้องไห้ง่ายๆ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าช่วงหลังมานี้ฉันทำผิดกับเขามากเหลือเกิน นานหลายนาทีที่ฉันนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของใครสักคนเดินเข้ามาทางด้านหลัง “คุณนามิครับ” เสียงที่ได้ยินทำให้ฉันต้องกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำตาออกไป รีบสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับไปมองหน้าผู้ชายคนนั้นให้ชัดๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ฉันจะไม่มั่นใจว่าจะได้เจอเขาอีกรึเปล่า แต่ตลอดทางที่เดินออกมาจากโรงพยาบาล เขาคือความหวังเดียวที่ฉันมี ตุ้บ! เสียงหัวเข่าของ ‘ชินจิ’ กระทบกับพื้นเมื่อเขาคุกเข่าลงตรงหน้าฉัน เขาเป็นคนสนิทของพี่โยชิดะ เป็นคนที่พี่โยชิดะไว้ใจที่สุดรวมถึงฉันเองก็ไว้ใจเขาที่สุดเหมือนกัน นั่นทำให้ฉันรู้ว่าเขาเองก็คงเสียใจต่อการจากไปของพี่โยชิดะไม่น้อยไปกว่าฉัน และนับจากวันนี้ไป เขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ไว้ใจได้ “ผมขอโทษครับคุณนามิ” “ไม่ใช่ความผิดของนายหรอกชินจิ” ฉันรีบบอก ฉันรู้ว่าเขาพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ทั้งหมดมันเป็นการตัดสินใจของพี่โยชิดะ และถ้าเรื่องนี้จะมีใครสักคนที่ผิด ก็คงตอบได้ไม่ยากว่าใคร! “รีบไปขึ้นรถก่อนเถอะครับ เรามีเวลาไม่มาก” ชินจิพูดพลางก้มหัวให้ฉัน ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนแล้วเปิดทางให้ฉันเดินนำออกไป เขาผายมือไปทางด้านหลังซึ่งเมื่อฉันมองออกไปก็เห็นว่ารถของเขาจอดเลยออกไปไม่ไกลนัก อย่างน้อยคำอธิษฐานของฉันที่ขอให้ได้เจอเขาที่นี่ก็เป็นจริง ฉันรู้ว่าชินจิจงรักภักดีกับพี่โยชิดะมาตลอด เขาจะไม่มีทางทรยศ และคนอย่างเขาไม่มีทางทิ้งเสือขาวแม้ในวันที่ยากลำบาก ฉันรีบเดินนำชินจิมาที่รถ ซึ่งเขาก็รีบเดินตามมาพร้อมกับทำหน้าที่เปิดประตูรถให้ฉันเหมือนทุกครั้งเวลาที่เขามีหน้าที่พาฉันไปส่งที่ไหนสักที่ “พักผ่อนเถอะครับคุณนามิ ถึงแล้วผมจะปลุก” ชินจิบอกก่อนจะปิดประตูรถลงหลังจากที่ฉันเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็เดินอ้อมตัวรถกลับเข้ามานั่งประจำที่คนขับ ก่อนจะออกรถทันที แต่ในวินาทีนี้ ต่อให้ฉันจะไว้ใจชินจิมากแค่ไหน หรือเหนื่อยล้าจนอยากจะหลับตาพักยังไง ฉันก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้หรอก ยิ่งได้กลับมาเห็นภาพของเซฟเฮ้าส์ที่ฉันเคยวิ่งเล่นกับพี่โยชิดะมาก่อน ภาพของพี่โยชิดะและเสียงปืนนัดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ไม่มีเลยสักคืนที่ฉันจะไม่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงปืนนัดนั้น! สายตาของฉันมองออกไปด้านนอกตลอดระยะเวลาที่ชินจิขับรถไปเรื่อยๆ ในสมองกำลังคิดและคาดเดาถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เพราะมันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ ฉันมั่นใจว่าโอยามะและไดสึเกะต้องสั่งให้คนตามล่าฉันแน่นอน การพลิกมารุเพื่อตามหาฉันไม่ใช่อะไรที่ยากเกินกว่าที่สองคนนั้นจะทำ เพราะถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาต้องการจากเสือขาวแล้วมันคุ้มต่อการลงทุน อย่างที่บอกว่าโอยามะต้องการกิจการของเสือขาว ในขณะที่ไดสึเกะเองก็ต้องการผลประโยชน์จากกิจการนั้นเมื่อมันถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแบล็กสกอร์เปี้ยน รวมถึงต้องการปกปิดเรื่องก่อนหน้านี้ที่ตัวเองก่อเอาไว้ไม่ให้รู้ไปถึงหูของโอซึนซึเกะ ดังนั้นการตามล่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันที่เป็นคนกุมทุกสิ่งที่พวกเขากำลังต้องการเอาไว้มันจึงเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องพร้อมใจกันทำแน่ ครืดดด~ เสียงยางรถยนต์บดเบียดไปกับพื้นถนนที่เป็นเม็ดหินดังเข้ามาภายในตัวรถ ก่อนที่ตัวรถจะจอดสนิทอยู่กับที่ที่หน้าบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งที่ฉันเองก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่คิดว่ามันน่าจะปลอดภัยที่สุดในเวลานี้ ชินจิเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปเปิดประตูรั้วบ้านหลังนั้น ก่อนจะเดินกลับมาขับรถเข้าไปจอดในตัวบ้าน สภาพบ้านหลังนี้ดูเก่า แต่ไม่ถึงกับทรุดโทรม ทั้งด้านในตัวบ้านและด้านนอกมืดสนิทเพราะชินจิคงตั้งใจจะไม่เปิดไฟทิ้งเอาไว้ “เชิญครับคุณนามิ” ประตูรถถูกเปิดออกอีกครั้งโดยชินจิที่ยังคงทำหน้าที่คนขับรถได้เป็นอย่างดี ฉันก้าวเท้าลงมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ทุกก้าวที่เดิน ทุกวินาทีที่กำลังผ่านไปช้าๆ มันหมายถึงวินาทีของชีวิตที่ฉันจะพลาดไม่ได้ “ที่นี่เป็นบ้านของญาติผมเองครับ ไว้ใจได้” “ขอบใจ” ฉันบอกเบาๆ ก่อนจะเดินนำชินจิเข้ามาในบ้านเงียบๆ ในเวลาที่ทุกความเคลื่อนไหวต้องเงียบเชียบแต่รวดเร็วแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างเต้นอยู่ในหัวอยู่ตลอดเวลา ปวดหัวจนรู้สึกเหมือนมันหนักอึ้งเกินกว่าจะแบกมันเอาไว้บนบ่า ฟุ่บ! “คุณนามิ!” ชินจิร้องเสียงดังพร้อมกับก้าวเข้ามารับฉันเอาไว้ได้ทันก่อนที่ฉันจะล้มลงไป “ฉันแค่เวียนหัวน่ะ ไม่เป็นไร” ฉันพยายามบอกก่อนจะผละตัวออกมาจากชินจิ ยิ้มให้เขานิดหน่อยแล้วพยายามเดินเข้ามาในบ้านแบบที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกอีกครั้ง แม้จะรู้สึกเหมือนพื้นบ้านเอียงไปบ้าง แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ฉันจะมัวมาอ่อนแอไม่ได้ หลังจากที่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในบ้าน ฉันก็พาตัวเองมานั่งที่โซฟาที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง ได้ยินเสียงชินจิกำลังปิดประตูรั้ว จากนั้นเขาก็เดินตามฉันเข้ามา นี่ใกล้จะเช้าแล้ว แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ถึงแม้จะถูกปิดเอาไว้ รวมถึงมีผ้าม่านสีอ่อนกั้นเอาไว้อีกชั้นก็ทำให้ฉันมองเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของเขาได้รางๆ “นายเองก็คงไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันแล้วสินะ” ฉันถามเสียงสั่น แม้จะรู้ดีว่าพี่โยชิดะไม่ชอบให้ร้องไห้ แต่คิดถึงเขาขึ้นมาทีไร ฉันก็อดจะร้องไห้ไม่ได้ทุกที ยิ่งได้เห็นแววตาของชินจิที่คงกำลังคิดถึงเขาไม่ต่างจากฉัน มันก็ยิ่งยากที่จะหลอกตัวเองว่าฉันเข้มแข็งทั้งที่ข้างในอ่อนแอไม่มีชิ้นดี “ผมจะปกป้องคุณนามิด้วยชีวิตของผมครับ” ชินจิรับปาก และฉันเชื่อว่าเขาจะทำได้อย่างที่พูดแน่นอน ฉันเดาว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็คงไปรอรับฉันอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ทุกวัน และฉันคิดไม่ผิดที่เลือกจะเสี่ยงกลับไปที่นั่น “อย่าให้นายต้องเป็นอะไรไปเพราะฉันอีกคนเลยชินจิ” “ไม่ใช่ความผิดของคุณนามิหรอกครับ” ชินจิรีบบอก ซึ่งถึงแม้ว่าฉันจะพยายามบอกตัวเองเท่าไหร่ว่าสาเหตุมันมาจากไดสึเกะ แต่ลึกๆ แล้วฉันก็ไม่เคยหลอกตัวเองได้เลยว่าฉันเองก็มีส่วนที่ทำให้พี่โยชิดะต้องตาย ถ้าฉันพยายามห้ามเขา เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นแบบนี้ ถ้าฉันไม่มัวแต่โกรธหรือคิดแต่จะแก้แค้นไดสึเกะ พี่โยชิดะก็คงไม่ตาย “มีอะไรกินบ้างมั้ย” ฉันแสร้งถาม ทั้งฉันและชินจิรู้ดีว่าในเวลาแบบนี้มันไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพรั่งพรูความรู้สึกใส่กัน อีกไม่นานทุกตารางนิ้วของมารุจะต้องเต็มไปด้วยคนของแบล็กสกอร์เปี้ยนที่ออกตามล่าตัวฉันแน่ๆ “สักครู่ครับ ผมจะไปเตรียมมาให้” “ขอบใจ” ฉันบอกยิ้มๆ ชินจิยิ้มตอบก่อนที่เขาจะเดินแยกออกไป ฉันไม่รู้หรอกว่าในเวลาแบบนี้ฉันสามารถเลือกกินอะไรได้บ้าง และถึงแม้จะไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่ยังไงซะกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง แต่ทั้งที่รู้ ฉันกลับไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วนอกจากน้ำเปล่าจนทำให้รู้สึกเวียนหัวง่ายๆ ซึ่งถ้าปล่อยเอาไว้มันอาจเป็นอุปสรรคต่อการหนี หลังจากที่ชินจิเดินแยกออกไป ฉันก็เอนหลังลงพิงกับพนักพิงของโซฟาที่ถึงแม้ว่ามันจะเก่าและแคบ แถมยังไม่นุ่ม แต่ในเวลาแบบนี้ฉันกลับรู้สึกว่ามันทำให้ฉันสบายใจมากกว่าการที่ได้นอนอยู่ในห้องแอร์ของโรงพยาบาลอย่างเมื่อหลายวันก่อนซะอีก ความเงียบภายในตัวบ้านทำให้ฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองดังชัดเจน มันดังสลับกับเสียงที่ดังมาจากในครัวเป็นระยะๆ สักพักฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของชินจิที่เดินเข้ามาใกล้ ทำให้ฉันต้องยกเปลือกตาขึ้นมามองเขาอีกครั้ง “ขอโทษที่ผมทำได้ดีที่สุดเท่านี้ครับ” ชินจิบอกอย่างนั้นหลังจากที่เขาวางถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงบนโต๊ะตัวเล็กๆ ตรงหน้าฉัน “มันดีกว่าอาหารโรงพยาบาลเป็นไหนๆ” ฉันบอกยิ้มๆ อีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยบะหมี่นั่นขึ้นมา ส่วนชินจิก็ส่งยิ้มกลับมาก่อนที่เขาจะถอยห่างจากฉันนิดหน่อยอย่างตั้งใจจะเว้นระยะเอาไว้ เขายังคงยืนอยู่ในระยะที่มองเห็นและฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่ไปไหน เพราะจะต้องคอยดูแลและปกป้องฉันแบบที่เขารับปาก “หลายวันมานี้นายเองได้กินอะไรบ้างรึเปล่าชินจิ” ฉันอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความเป็นห่วง “ถ้าเทียบกับคุณนามิ ผมยังสบายกว่ามากครับ” ชินจิตอบเสียงเรียบ ก่อนที่เราทั้งคู่จะต่างฝ่ายต่างถอนหายใจออกมา “คนของเรายังเหลืออยู่บ้างรึเปล่า หรือว่าติดต่อใครไม่ได้เลย” “ไม่ได้เลยครับ” คำตอบนั้นของชินจิทำให้ฉันกลืนบะหมี่ที่เพิ่งจะคีบใส่ปากได้อย่างยากลำบาก “นายไปพักผ่อนเถอะ ฉันคิดว่าเราคงต้องเดินทางกันตอนกลางคืน” ฉันบอกออกไปเบาๆ ก่อนจะยื่นถ้วยบะหมี่ที่เพิ่งจะกินไปได้ไม่กี่คำกลับลงบนโต๊ะตามเดิมเพราะฝืนกินมันต่อไปไม่ลงจริงๆ ตุ้บ! แต่แล้วอยู่ๆ ชินจิก็คุกเข่าลงกับพื้น นั่นทำให้ฉันต้องช้อนตาขึ้นมองเขานิ่งๆ ร่างสูงนั่งตัวตรงดิก สายตาของชินจิจ้องมองฉันอย่างไม่คิดจะหลบสายตา ซึ่งนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย “ผมขอโทษครับ” หัวใจกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อรู้ดีถึงความหมายของสิ่งที่ชินจิกำลังพยายามสื่อสารออกมา ทั้งทางการกระทำและคำพูด “ฉันจะพูดอีกครั้งว่ามันไม่ใช่ความผิดของนาย” ฉันบอกเบาๆ ทั้งที่เสียงเริ่มสั่น ก่อนจะค่อยๆ ละสายตาออกจากใบหน้าของชินจิแล้วมองไปยังประตูห้องครัวที่ชินจิเพิ่งจะเดินออกมา ร่างกายสั่นระริกเมื่อเห็นว่าในบ้านหลังนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ฉันกับชินจิแบบที่คิดเอาไว้ และเดาว่านอกจากผู้ชายที่ยืนมองฉันด้วยสายตาวาวโรจน์อยู่ที่หน้าห้องครัวแล้ว ที่ด้านนอกก็คงเต็มไปด้วยคนของเขานั่นแหละ “พี่ชายเธอสอนมาดีนี่ ติดตรงที่คงต้องฝึกอีกเยอะสักหน่อย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันฝึกให้เอง” ไดสึเกะเย้ยพลางสืบเท้าตรงมาหาฉัน รวมไปถึงคนของเขาที่เดินตามมาทางด้านหลังอีกสี่ถึงห้าคน ซึ่งสองคนที่เดินถึงตัวชินจิก่อนก็รีบล็อกตัวชินจิเอาไว้ในทันที “อย่าทำอะไรชินจิ” ฉันรีบบอก สองเท้ากำลังจะก้าวเท้าออกไป แต่กลับต้องชะงักเมื่อคนของไดสึเกะยกปืนขึ้นมาจ่อที่หัวของชินจิต่อหน้าต่อตาฉัน “จะทำให้ดูเดี๋ยวนี้เลย” พลั่ก! ไดสึเกะที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ฉันก้าวถอยกลับไปเหวี่ยงกำปั้นลุ่นๆ กระแทกกับใบหน้าของชินจิจนเขาหน้าหัน การกระทำที่ป่าเถื่อนนั่นทำให้ร่างกายของฉันสั่นระริกไปหมด เมื่อครู่เหมือนว่าฉันจะเห็นเลือดที่กระเซ็นออกมาจากปากของชินจิคาตา มันทำให้ฉันนึกอยากจะเข้าไปทำกับเขาแบบเดียวกับที่เขาทำกับชินจินัก ติดตรงที่ต้องยืนนิ่งๆ เพราะรู้ดีว่ายิ่งฉันต่อต้าน คนที่ยิ่งเดือดร้อนจะเป็นชินจิ ถุย! ชินจิถ่มน้ำลายปนเลือดลงกับพื้น สายตาที่เขามองไปที่ไดสึเกะเองไม่ได้ฉายแววว่าจะยอมอ่อนข้อโดยง่าย และฉันเชื่อว่าเขาเองก็ไม่ได้คิดจะยอมแพ้ เพียงแต่เขาจะยอมนิ่งอยู่อย่างตอนนี้ก็เหมือนกันกับเหตุผลที่ฉันยอมนิ่งนั่นแหละ “นายจะเอายังไง” ฉันถามเสียงสั่น มันไม่ได้สั่นเพราะความกลัว แต่มันสั่นเพราะความโกรธและเกลียด ฉันเกลียดผู้ชายสารเลวที่ชื่อไดสึเกะมากเหลือเกิน “ฉันเคยบอกเธอไปแล้วว่าฉันไม่ให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สอง” “ก็แล้วนายจะเอายังไงก็พูดมาสิ แต่อย่าทำร้ายชินจิ เขาไม่เกี่ยว เขาไม่ได้พาฉันหนีออกมาจากโรงพยาบาล ฉันมาของฉันเอง” ฉันพยายามแล้วที่จะรับผิดชอบทั้งหมดด้วยตัวเอง เพราะหากชินจิต้องเป็นอะไรไปเพราะฉันอีกคน ฉันคงละอายแก่ใจเกินกว่าที่จะบอกว่าตัวเองเป็นเสือขาว “งั้นเหรอนามิ” “อย่านะไดสึเกะ” พลั่ก! เสียงกำปั้นของไดสึเกะที่กระแทกเข้ากับใบหน้าของชินจิอีกครั้งทำให้ฉันกัดฟันกรอด ใบหน้าตึงเปรี๊ยะไปหมด “เอาตัวมันไป” “นะ นาย...” “ถ้าเธอพูดอีกคำเดียว ฉันจะเป่าสมองมันต่อหน้าเธอ เอาให้เหมือนกับที่เธอเห็นไอ้โยชิดะมันตายเลยดีมั้ยนามิ” ไดสึเกะกดเสียงพูดจนต่ำ ในมือของเขาถือปืนและกำลังเล็งไปที่ชินจิ ซึ่งถึงแม้สายตาของเขาจะยังจ้องมองฉันอยู่ แต่ฉันรู้ว่าถ้าเขายิง ชินจิต้องไม่รอดแน่ ฉันยืนเงียบและพยายามจะสะกดกลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้อย่างถึงที่สุด นั่นทำให้ไดสึเกะค่อยๆ ลดระดับปืนในมือลงก่อนจะก้าวเข้ามาประชิดตัวฉันทันที ฟึ่บ! ต้นแขนของฉันถูกกระชากโดยไดสึเกะ เขาจับฉันเอาไว้แล้วเดินอ้อมไปล็อกคอฉันจากทางด้านหลัง ซึ่งถึงจะเจ็บแต่ฉันก็ไม่คิดจะร้องขอความเห็นใจ และตอนนี้ก็ไม่อยากจะถามอีกแล้วว่าเขาจะพาฉันไปลงนรกที่ไหน เพราะตราบใดที่ยังเห็นหน้าเขาอยู่นั่นก็แปลว่าทุกที่คือนรก ในที่สุดฉันก็พลาดอีกจนได้ และมันเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ ฉันหลงคิดไปว่าตัวเองสามารถหนีออกมาได้โดยไม่ทำให้คนของแบล็กสกอร์เปี้ยนเฉลียวใจ แต่แท้จริงแล้วฉันต่างหากที่ไม่เฉลียวใจเลยว่าทั้งหมดมันเป็นแค่แผนการของไดสึเกะ เขาหลอกให้ฉันตายใจคิดว่าตัวเองเก่ง แล้วรอเวลาที่จะตลบหลังฉัน มิหนำซ้ำยังเป็นการหลอกใช้ฉัน เขาหลอกให้ฉันพาเขามาหาชินจิ! “คิดว่าสารภาพแล้วฉันจะลดโทษให้กึ่งหนึ่งงั้นเหรอนามิ” ไดสึเกะถามเบาๆ เสียงลมหายใจของเขาดังอยู่ข้างใบหูเมื่อเขาตั้งใจจะโน้มใบหน้าลงมาพูดใกล้ๆ ราวกับกลัวว่าฉันจะไม่ได้ยิน ชินจิยังคงถูกคนของไดสึเกะคุมตัวเอาไว้ ตอนนี้เขานั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ซึ่งถึงเขาอยากจะลุกขึ้นสู้เท่าไหร่ แต่ฉันรู้ว่าเขาจะไม่ทำตราบใดที่ฉันยังติดอยู่ในวงแขนของไดสึเกะ “แย่หน่อยนะที่เวลาฉันโกรธ ฉันมักคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่” “อย่าแตะต้องคุณนามินะไอ้...” อุ้ก! ร่างกายสั่นระริกเมื่อเห็นกับตาว่าคนของไดสึเกะยกเท้าถีบเข้ากลางหลังของชินจิเมื่อเขาพยายามจะต่อต้าน วินาทีที่ได้เห็นว่าร่างของชินจิติดอยู่ใต้เท้าคนของแบล็กสกอร์เปี้ยนมันทำให้ฉันอยากจะหันไปฉีกไดสึเกะออกเป็นชิ้นๆ “เอายังไงดีล่ะนามิ ให้ฉันลงกับเธอ หรือลงกับคนของเธอดี” “อย่ามา...” ฉันจำต้องกลืนทุกคำพูดออกไปเมื่อไดสึเกะยกปืนขึ้นอีกครั้ง และปลายกระบอกปืนในมือเขาก็เล็งไปที่ชินจิที่ยังนอนอยู่ที่พื้นอย่างไม่ต้องสงสัย “ไม่มีโอกาสครั้งที่สอง” “กับฉัน” ฉันรีบพูดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาเมื่อการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีเมื่อครู่ไม่ต่างจากการยอมให้ไดสึเกะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันได้ยินไดสึเกะแค่นหัวเราะในลำคอก่อนที่เขาจะลดระดับมือที่ถือปืนลง ซึ่งวินาทีนี้ไม่ว่าชินจิจะมองฉันด้วยสายตายังไงฉันคงต้องทำเป็นไม่เห็น “ได้ยินที่เจ้านายของแกพูดแล้วใช่มั้ยชินจิ” “คุณนามิครับ” เสียงของชินจิบีบหัวใจของฉันเหลือเกิน “พาตัวมันออกไป เสร็จธุระกับนามิเมื่อไหร่ ฉันจะตามไปคิดบัญชี” ไดสึเกะสั่งคนของเขาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ซึ่งไม่ว่าฉันอยากจะพูดอะไรกับชินจิเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้เลยเมื่อตอนนี้ถูกไดสึเกะปิดปากด้วยฝ่ามือหนาๆ ของเขาที่ทำเอาหายใจจะไม่ออกด้วยซ้ำ หลังจากที่คนของไดสึเกะพาตัวชินจิออกไปแล้ว ทั้งบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งจนฉันได้ยินเสียงลมหายใจของไดสึเกะที่ยังคงดังอยู่ข้างแก้มชัดเจน “คิดว่าฉันรู้ไม่ทันเธอรึยังไงนามิ” “ถ้านายรู้แต่แรก แล้วนายเสียเวลาทำแบบนี้ทำไม” “เหอะ ถามจริงๆ ว่าเธอไม่รู้เหรอว่าฉันต้องการอะไร” ฉันคิดไม่ผิดหรอกว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแผนการของเขาน่ะ เขาต้องการตัวคนของเสือขาวทั้งหมด แล้วฉันก็โง่ที่พาเขามาเจอชินจิ “เธอเดินเก่งนี่ ฉันเห็นเธอเดินมาตั้งไกล แรงดีๆ แบบนี้ฉันชอบ” ไดสึเกะกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่าก่อนจะก้มลงมาจูบที่ใบหูของฉัน ทำเอาฉันขนลุกไปทั้งตัว จากนั้นเขาก็ปล่อยฉันออกจากอ้อมแขน แล้วหันกลับมากระชากข้อมือฉันให้เดินตามเขาออกมาจากบ้านหลังนั้นก่อนจะเหวี่ยงฉันเข้าไปในรถ ปัง! เสียงปิดประตูรถแรงๆ ของไดสึเกะไม่ต่างจากเสียงสัญญาณการปิดประตูหนีของฉันเลยสักนิด ตอนนี้ฉันคงไม่มีโอกาสรอดอีกแล้ว “กลับ!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD