ติ๊ด!
ติ๊ด!!
ติ๊ด!!!
เสียงอะไรสักอย่างดังขึ้นมารบกวนจนฉันไม่สามารถข่มตาหลับต่อได้ทั้งที่อยากจะนอนหลับต่ออีกสักพัก มันดังต่อเนื่องกันไม่หยุดจนฉันนึกอยากจะเอื้อมมือออกไปคลำหาที่มาของเสียงแล้วปามันทิ้งไปไกลๆ แต่กลับขยับตัวเองไม่ได้เลย ร่างกายเหมือนถูกกดทับด้วยอะไรหนักๆ จนเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก และที่สำคัญคือฉันไม่สามารถจะผลักมันออกไปได้
ปัง!
แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างดังแทรกขึ้นมา เสียงนั่นคล้ายกับเสียงปืนที่ทำให้ทุกอย่างสว่างจ้าขึ้นมาฉับพลัน
ฉันสะดุ้งและลืมตาตื่นเพราะความตกใจ หากแต่แสงสว่างจ้าจากภายนอกกลับทำให้ฉันต้องหยีตาลงโดยอัตโนมัติ ก่อนจะต้องกะพริบตาถี่ๆ อยู่อีกหลายครั้งกว่าจะคุ้นชินกับแสงสว่างสีขาวนั่น
เมื่อการมองเห็นเริ่มกลับมาเป็นปกติ ฉันก็รีบกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อสังเกตหาที่มาของไอ้เสียงประหลาดน่ารำคาญที่ได้ยินอยู่เมื่อครู่ ซึ่งสิ่งที่ฉันได้พบก็คือไอ้เครื่องสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ข้างๆ เตียง บนหน้าจอของไอ้เครื่องเครื่องนั้นมีคลื่นฟันปลาสลับขึ้นลงปรากฏอยู่ตลอดเวลา
กึก!
เสียงข้อมือของฉันกระตุกอย่างแรงเมื่อฉันพยายามจะยกมือไปผลักไอ้เครื่องบ้านั่นออกไป แต่กลับพบว่าข้อมือรวมไปถึงข้อเท้าของฉันทั้งหมดถูกมัดติดกับที่กั้นเตียง แรงกระตุกเมื่อครู่ทำให้ฉันรู้สึกปวดแปลบที่ไหล่ด้านซ้ายจนต้องนอนนิ่วหน้า ก่อนที่ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามาราวกับมันถูกตั้งเวลาเอาไว้ และทั้งหมดนั่นทำให้ฉันพึงระลึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ฉันถูกยิง!
“ฉันคิดว่าเธอจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วซะอีก”
เสียงนั่นมัน...
“โอยามะ”
หัวใจกระตุกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังเดินเข้ามา
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทที่ดูภูมิฐานกำลังเดินตรงเข้ามาหาฉันชื่อโอยามะ เป็นประธานกลุ่มแบล็กสกอร์เปี้ยน กลุ่มมาเฟียที่มีอิทธิพลที่สุดในย่านมารุ ซึ่งนอกจากจะมีโอยามะแล้ว ก็ยังมีคนของเขาอีกสองคนที่เดินตามเขาเข้ามา
โอยามะเป็นมาเฟียหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน ต่างกันก็ตรงที่เขามีทั้งเงิน มีทั้งอำนาจ ในขณะที่ตอนนี้ฉันไม่มีแม้แต่อิสรภาพ เพราะแค่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงตอนนี้ฉันก็ยังทำไม่ได้เลย
“แปลว่าสมองไม่ได้เสื่อม ถ้าอย่างนั้นเธอคงจำได้ว่าเพราะอะไรเธอถึงมาอยู่ที่นี่” น้ำเสียงของโอยามะเยียบเย็นจนฉันรู้สึกขนลุก ทั้งสีหน้าและท่าทางของโอยามะทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบกายที่ไม่น่าไว้วางใจ
คำว่า ‘ที่นี่’ ของเขาทำให้ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งถึงได้รู้ว่าที่นี่ที่เขาหมายถึงคือโรงพยาบาล และตอนนี้ฉันก็นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ในสภาพที่สองมือและสองเท้าถูกมัดติดกับเตียงไม่ต่างจากนักโทษ และถ้าจะพูดกันตามตรง นั่นคือสถานะจริงๆ ของฉันในตอนนี้
ฉันเป็น ‘นักโทษ’ ของแบล็กสกอร์เปี้ยน
“ว่าไง จำได้รึเปล่า”
“ไอ้พวกคนสารเลว” ฉันตะโกนด่าออกไปโดยไม่คิดจะเกรงกลัวคนตรงหน้าเลยสักนิด วินาทีนี้ต่อให้ความตายเป็นทางเลือกเดียวที่ฉันมีฉันก็จะทำ แต่จะไม่มีวันก้มหัวให้พวกมันเด็ดขาด!
“นอกจากสมองจะไม่เสื่อมแล้ว ความจำเธอยังดีมากอีกด้วย เพราะฉะนั้นก็รู้เอาไว้เลยแล้วกันว่า...”
“อื้อออ” ฉันร้องออกไปพร้อมกับพยายามดิ้น เพราะถูกมือของปีศาจที่ชื่อโอยามะซึ่งแข็งแรงราวกับคีมเหล็กบีบเข้าที่ปลายคางจนรู้สึกปวด
“ฉันยังเลวได้มากกว่าที่เธอคิด”
“โอ๊ย!”
เขามันไม่ใช่คน!
“เข้ามาได้”
หลังจากสะบัดใบหน้าของฉันออกจากฝ่ามือ โอยามะก็เหลือบหางตามองไปที่หน้าประตูห้องพักของฉันพร้อมกับสั่งด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ฉันรู้สึกได้ถึงความเฉียบขาด จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงเปิดประตูอีกครั้ง ก่อนที่ใครบางคนจะเดินเข้ามา
การมาของใครคนนั้นทำให้ภาพความทรงจำที่เลวร้ายเริ่มฉายเข้ามาในหัวของฉันอีกครั้ง ทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นทีละฉากทีละตอนเมื่อฉันได้สบตากับเขา และเมื่อภาพทั้งหมดชัดเจน มันก็ทำให้ฉันกำหมัดแน่นแล้วพยายามดิ้นสุดชีวิตเพื่อให้หลุดออกจากพันธนาการ
“ไอ้คนสารเลว! ไอ้คนชั่ว อื้อออ”
เสียงของฉันอื้ออึงก่อนจะเงียบหายไปทันทีที่ถูกคนของโอยามะที่ยืนอยู่ด้านข้างเตียงของฉันตั้งแต่แรกเอื้อมมือมาปิดปากเอาไว้ ซึ่งไม่ว่าฉันจะพยายามดิ้นยังไงก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมือคนพวกนี้ไปได้เลย ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ ฝ่ามือหนาก็ยิ่งกดลงมาแรงมากขึ้นจนฉันหายใจไม่ออก แถมยังรู้สึกแสบที่ข้อมือเพราะแรงเสียดสี จนสุดท้ายฉันก็ต้องยอมนิ่ง หากแต่สายตายังคงจ้องมองไปที่ไดสึเกะด้วยความเคียดแค้นชิงชัง
ผู้ชายที่เพิ่งจะเดินมาปรากฏตัวตรงหน้าฉันชื่อไดสึเกะ หนึ่งในสมาชิกของแบล็กสกอร์เปี้ยน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นถึงหลานชายแท้ๆ ของโอซึนซึเกะ ผู้ก่อตั้งและเป็นประธานของแบล็กสกอร์เปี้ยนรุ่นก่อน หากแต่ไดสึเกะกลับไม่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำและผู้สืบทอดแบล็กสกอร์เปี้ยนในรุ่นต่อมา แต่กลับกลายเป็นโอยามะที่ได้ตำแหน่งนั้นไปครองทั้งที่เป็นแค่เด็กที่โอซึนซึเกะเก็บมาเลี้ยง
“ฉันจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบล็กสกอร์เปี้ยนกับเสือขาว รวมถึง...พี่ชายของเธอ”
กึก!
ทันทีที่ได้ยินคำว่าพี่ชายที่โอยามะพูดออกมา ร่างกายของฉันก็กระตุกเกร็งขึ้นอีกครั้งเพราะความแค้นในใจที่มันอยากจะปะทุออกมา
“ฉันจะเว้นโทษตายให้เธอก็แล้วกัน”
“คิดว่าฉันกลัวตายมากนักรึไง” ฉันถามออกไปอย่างไม่ยี่หระ หากแต่คำถามของฉันกลับทำให้โอยามะแสยะยิ้ม แววตาของเขาแสดงออกถึงความเลือดเย็นสมกับเป็นมาเฟียที่ไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย
“ฉันรู้ว่าเธอไม่กลัว และฉันเองก็ไม่ได้คิดจะปล่อยให้เธอตายไปง่ายๆ หรอกนามิ ความผิดที่เธอกับพี่ชายของเธอทำเอาไว้ ฉันไม่มีทางให้อภัย และจะทำให้เสือขาวต้องชดใช้ให้กับแบล็กสกอร์เปี้ยนอย่างสาสม”
โอยามะยังคงพูดเรื่อยๆ เหมือนเรากำลังพูดคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แต่ทุกคำที่เขาพูดออกมากลับสะกดให้ทุกคนในห้องนิ่งงันราวกับถูกเขาตรึงเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
ฉันนอนนิ่งเพื่อรอให้เขาพูดให้จบ แม้ไม่ได้อยากจะรับฟังแต่ทุกอย่างในตอนนี้ก็บังคับให้ฉันต้องทำอย่างนั้น ทั้งที่ความรู้สึกทุกอย่างกำลังเดือดปุดๆ อยู่ในอก ฟันในปากขบแน่นจนรู้สึกตึงไปทั้งใบหน้า สองมือของฉันที่ถึงแม้ว่ามันจะถูกมัดติดกับเตียงกำแน่นเมื่อทุกรูขุมขนอัดแน่นไปด้วยความแค้น
“และในเมื่อพี่ชายของเธอชิงลงมือฆ่าตัวเองตายไปซะก่อน”
หัวใจเจ็บปวดจนยากจะบรรยายเมื่อได้ยินคำนั้นหลุดออกมาจากปากของโอยามะ ไอ้คนสารเลวที่ทำให้พี่ฉันต้องตาย พวกมันนั่นแหละที่ทำให้พี่โยชิดะต้องตาย!
“เธอก็ต้องรับผิดชอบแทน ในฐานะที่เธอเป็นน้องสาวของมัน และมีตำแหน่งประธานของเสือขาวคนต่อไป” โอยามะยังคงพูดเสียงเรียบต่อไปเรื่อยๆ สายตาที่มองมาดูสงบนิ่งต่างจากฉันที่รู้สึกว่าเบ้าตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวไปหมดและมันคงกำลังสั่นมาก หากแต่ไม่ได้สั่นเพราะความกลัว มันกำลังสั่นเพราะความเกลียดต่างหาก
“เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย...นามิ” โอยามะทิ้งท้ายด้วยคำถามที่ฉันรู้ดีว่าคำตอบคืออะไร
นามิคือชื่อของฉันเอง ฉันเป็นน้องสาวของพี่โยชิดะ ซึ่งถึงแม้เราจะคนละแม่ แต่เราก็รักกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ หลังจากที่แม่ของฉันเสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็ก พี่โยชิดะก็ดูแลฉันมาตลอด เขาคือทุกอย่างในชีวิตของฉัน และก็เพราะพวกมันทำให้ฉันต้องสูญเสียเขาไป
ฟุ่บ!
หลังจากที่โอยามะทิ้งคำถามมาที่ฉัน เขาก็มองไปที่คนของเขาพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ เพียงครั้งเดียว คนของเขาที่ปิดปากฉันเอาไว้แน่นมาตลอดก็ปล่อยมือออก ทำให้ริมฝีปากของฉันได้รับอิสระอีกครั้ง ทำราวกับว่าเขาอนุญาตให้ฉันพูดเพื่อตอบคำถามของเขา เพียงแต่ว่าฉันไม่มีคำตอบอะไรจะให้ทั้งนั้น
“ถ้าไม่ตอบ ฉันจะถือว่าเธอได้ยินและเข้าใจ รวมถึงยินดีที่จะรับผิดชอบกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
“จะเอายังไงก็ว่ามา” ฉันถามกลับไปเสียงแข็ง ก่อนจะละสายตาออกจากใบหน้าของโอยามะมองไปที่ไดสึเกะ ที่ตั้งแต่เขาเดินเข้ามา ฉันยังไม่ได้ยินเขาพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
“ฉันจะให้เธอแต่งงานกับไดสึเกะ!”
จากที่กำลังจ้องมองไดสึเกะ ฉันก็ต้องหันกลับไปมองโอยามะอีกครั้งในทันทีเมื่อคิดว่าน่าจะได้ยินอะไรผิดไป
“นายว่าไงนะโอยามะ”
ฉันเองก็กำลังจะถามแบบนั้นเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ไดสึเกะชิงถามออกมาซะก่อน
“ฉันจะให้นายแต่งงานกับนามิ”
“แกอย่ามาเพ้อเจ้อ”
ไดสึเกะพูดแทนฉันได้ทุกคำจริงๆ นี่มันเรื่องเพ้อเจ้อ!
“หรือไม่ แกก็ต้องเป็นคนไปรายงานเรื่องทั้งหมดกับคุณโอซึนซึเกะด้วยตัวเอง และถ้าแกเลือกข้อนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือน” โอยามะพูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความหมายของสิ่งที่เขาพูดมันออกมาเลยสักนิด ต่างจากไดสึเกะที่ถึงกับกัดฟันกรอด ใบหน้าของเขาตึงเปรี๊ยะแต่กลับไม่พยายามที่จะปฏิเสธอีกเลย ทั้งที่ฉันดูออกว่าเขากำลังรู้สึกยังไง เพราะมันคงไม่ต่างจากที่ฉันกำลังรู้สึก
เขาเกลียดฉันมากพอๆ กับที่ฉันเกลียดเขานั่นแหละ!
“ฆ่าฉันเถอะโอยามะ” ฉันตัดสินใจแล้วพูดออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าให้ฉันเลือกระหว่างการต้องแต่งงานกับผู้ชายอย่างไดสึเกะกับความตาย ฉันเลือกอย่างหลังโดยไม่มีเงื่อนไข
“อย่าเรียกร้องอะไรในสิ่งที่ฉันไม่มีให้”
“นายจะบ้าไปแล้วรึไงโอยามะ คนอย่างฉันยอมตายดีกว่าแต่งงานกับไอ้สารเลวนั่น”
“แต่ถ้าฉันไม่อนุญาต ก็แปลว่าเธอตายไม่ได้!”
“ไอ้...อื้อออ”
น้ำเสียงของโอยามะยังคงเยียบเย็นเหมือนเดิม ต่างจากเสียงของฉันที่กลืนหายไปกลับเข้าไปในลำคอเพราะถูกฝ่ามือหนาของคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงของฉันตลอดเวลาปิดเอาไว้ตามเดิม และในขณะที่ฉันกำลังดิ้นพล่าน ฉันก็เห็นว่าไดสึเกะกลับยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะพยายามพูดอะไรสักคำ
“ตกลงแกจะเอายังไงไดสึเกะ”
เมื่อฉันหมดสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ โอยามะก็หันไปเอาคำตอบจากไดสึเกะอีกครั้ง หากแต่สายตาเย็นชาคู่นั้นของไดสึเกะกลับจ้องมองมาที่ฉันที่ตอนนี้ต่อให้ฉันจะอยากตะโกนปฏิเสธออกไปมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้เลย
ฉันรู้ว่าไดสึเกะเองก็ไม่ได้อยากจะแต่งงานกับฉัน แต่ในขณะเดียวกันฉันก็รู้เขาไม่มีทางจะปฏิเสธออกมาแน่ๆ
คนอย่างไดสึเกะไม่มีทางยอมให้เรื่องความเลวของตัวเองรู้ไปถึงหูของโอซึนซึเกะหรอก เพราะนั่นอาจหมายถึงอนาคตของเขาที่จะมืดดับลงอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งถ้าโอยามะพูดเหมือนสิ่งนั้นเป็นทางเลือกที่ดูก็รู้ว่าไดสึเกะคงไม่อยากเลือก ก็ยิ่งไม่ต้องบอกว่าผลลัพธ์ของมันจะน่ากลัวกว่าการยอมทำตามที่โอยามะพูดมากแค่ไหน
ทำไมฉันจะดูไม่ออกว่านี่มันเกมของโอยามะ!
“แกนี่มัน...”
“ตกลงแกจะเอายังไง...ได-สึ-เกะ”
“แล้วฉันมีทางเลือกอื่นรึไง”
“ไม่!!!!” ฉันสะบัดหน้าตัวเองจนหลุดออกจากฝ่ามือหนาเพื่อเปล่งเสียงออกไป ตอนนี้ต่อให้ฉันจะรู้สึกเจ็บหรือปวดที่แผลมากแค่ไหนฉันก็ต้องต่อต้าน ไม่อย่างนั้นมันจะต่างอะไรกับการถูกโอยามะผลักให้ตกลงไปในนรกทั้งที่ยังหายใจ
“ก็นับว่ายังฉลาด”
หากแต่สุดท้ายเสียงของฉันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เมื่อมุมปากของโอยามะยกยิ้มเป็นสัญญาณที่บอกว่าคำตอบของไดสึเกะทำให้เขาได้ข้อสรุปแล้ว
“เตรียมตัวให้พร้อมล่ะนามิ แบล็กสกอร์เปี้ยนกับเสือขาว...จะรวมกันเป็นหนึ่ง”
“อื้อออ อ่อยอั๊น!”
“ปล่อยได้ ที่เหลือให้ไดสึเกะจัดการเอาเอง และถ้าหลังจากนี้มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น คงไม่ต้องถามว่าใครจะต้องรับผิดชอบ” โอยามะย้ำเสียงเข้ม พูดจบเขาก็เดินกลับออกไปโดยไม่สนใจสิ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ด้านหลังอีกเลย
คนของโอยามะรีบตามเจ้านายออกไปติดๆ เสียงประตูห้องปิดลงดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ในหัวของฉันซ้ำๆ ราวกับว่าฉันเริ่มจะประสาทหลอน ตอนนี้ในห้องพักเหลือเพียงฉันที่ยังนอนบอกให้ตัวเองตั้งสติ กับไดสึเกะที่ยังคงยืนจ้องหน้าฉันราวกับว่ากำลังจะโยนความผิดของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาที่ฉันคนเดียว
“อย่าให้ฉันต้องวุ่นวายมากไปกว่านี้นามิ”
“อย่าฝันว่าฉันจะยอมแต่งงานกับคนอย่างนาย...อื้อออ” ไดสึเกะก้าวเข้ามาชิดด้านข้างเตียงก่อนจะยื่นมือมาบีบปลายคางของฉันเอาไว้แน่น สายตาที่เรามองกันมันคือการเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
“แล้วคิดว่าฉันดีใจรึไงที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงอย่างเธอ” ไดสึเกะกระซิบบอกก่อนจะสะบัดใบหน้าของฉันออกจากมือแรงๆ จนฉันได้ยินเสียงฟันในปากกระทบกันดังกึก
“ให้แต่งงานกับนาย ฉันยอมตายซะดีกว่า”
“ก็แล้วตายได้มั้ยล่ะ หรือเธอไม่ได้ยินที่ไอ้โอยามะมันพูดว่ามันไม่อนุญาตให้เธอตาย” ไดสึเกะย้ำด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตากลับไม่ได้สงบนิ่งเลยสักนิด
“แล้วคิดว่าฉันจะขี้ขลาดเหมือนนายรึไงไดสึเกะ เพราะแบบนี้ไงนายถึงได้แพ้โอยามะ โอ๊ย!” ฉันโพล่งออกไปเสียงดังด้วยความเดือด ก่อนจะต้องหลุดปากร้องพร้อมกับนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดเมื่อไดสึเกะกดไหล่ทั้งสองข้างของฉันตรึงเอาไว้กับเตียง มือขวาของเขาจับที่ต้นแขนของฉันแล้วบีบเอาไว้แน่นเมื่อเขารู้ดีว่ามันเป็นบริเวณที่ฉันถูกยิง
“เดี๋ยวเธอก็รู้ว่าใครกันแน่ที่จะแพ้”
หยดน้ำตาร่วงเผาะลงมาเมื่อมันเกินจะสะกดกลั้น อาการปวดที่แผลเริ่มค่อยๆ เบาลงเมื่อไดสึเกะค่อยๆ คลายมือออก แต่กลับยังไม่ยอมถอยออกไปง่ายๆ
“เสียใจด้วยนะที่เธอกำลังจะได้แต่งงานกับผู้ชายที่ทำให้พี่ชายผู้แสนจะขี้ขลาดของเธอต้องฆ่าตัวตาย และยังเป็นคนยิงเธอเองกับมือ”
“ออกไป๊!”