ถนนใหญ่ใจกลางเมืองที่มีรถวิ่งเร็วราวกับแข่งกัน ประหนึ่งใครชนะจะได้น้ำมันฟรี รวมถึงการซ่อมห้องเครื่องหลังใช้งานอย่างหนักเพื่อพ่นควันดำสาเหตุหลักของการเกิดมลพิษ ถึงต้องมีสะพานลอย และทางม้าลายเอื้อความสะดวกให้กับคนเดินเท้า ซึ่งหากว่าถ้าจำเป็นก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง เพราะแม้จะเดินข้ามทางม้าลายแล้ว ยังการันตีไม่ได้ว่านั่นจะปลอดภัย
เจ้าของร่างบางในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาว กางเกงขายาวทรงกระบอกสีกากี กับผ้าใบสีขาวอีกคู่หนึ่ง ถึงได้เลือกข้ามสะพานลอยมากกว่าการข้ามทางม้าลายขาวดำนั้น และนั่นเป็นสาเหตุหลักทำให้คนในรถหงุดหงิด เพราะความล่าช้าในการเดินทาง
“นาน นานมาก”
บ่นอุบหลังเธอมาถึง และเปิดประตูรถขึ้นมา
“แล้วไง? ความปลอดภัยต้องมาก่อน”
หล่อนยักไหล่ สีหน้ากวนประสาทแสดงออกถึงความไม่ทุกข์ร้อนไม่ต่างกัน
“ครับ เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ”
นักรบพยักหน้ายกนิ้วหัวแม่มือชมเชยให้ เก็บเบรกมือเพื่อเตรียมตัวออก ทว่าจังหวะหันกลับไป คนข้างๆทำให้อ้าปากเหวอซะก่อน พลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อะไรครับเนี่ย”
“อะไร? ก็แต่งตัวปกติไง ยังไม่ชินอีกเหรอ”
“เปล่า..” เขาส่ายศีรษะ แพ่งเล็งไปยังจุดเดียว จิ้มแรงๆจงใจทำให้เจ็บ “หมายถึงไอ้นี่”
“โอ้ย!”
เจ้าของแขนเรียวพันด้วยผ้าก็อตร้องเสียงหลง มองค้อนร่างสูงมุ่ยหน้า เธอไม่ตอบในทันที แต่รอให้คนขับถามซ้ำเป็นรอบที่สองขณะเคลื่อนรถ
“ไปโดนอะไรมา”
ด้วยน้ำเสียงเบาหวิวจริงจัง ต่างจากท่าทางทะเล้นก่อนหน้านี้
“น้ำร้อน”
“เมื่อไหร่”
“เมื่อวาน”
เงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะ..
“สมน้ำหน้า ซุ่มซ่าม”
“ไอ้บ้า”
“ฮ่าๆๆๆ”
“เดี๊ยะ!”
นักรบเป็นคนชอบเก็บซ่อนความรู้สึก เขาจริงใจกับอะไรให้เห็นได้ไม่นานจะต้องกลับมาทะเล้นเหมือนเดิมอีก จึงไม่แปลกที่อินถาไม่ค่อยเคารพ ทั้งที่อายุของคนทั้งคู่ห่างกันตั้งห้าปี แน่นอนเธอคือรุ่นน้องของเขา ซึ่งบุคลิกขี้เล่น ทำเป็นเล่นไปซะหมด มีผลเสียบางอย่างที่เขาไม่รู้ตัว นั่นคือการถูกมองข้ามความรู้สึก ที่มักจะถูกเปิดเผยผ่านม่านตายามลอบมองในขณะริมฝีปากขยับคำว่าไม่เป็นไร สะสมความโชคร้ายจนเธอมองไม่เห็น และเขาก็ได้แค่แอบทำเช่นนั้นอยู่เสมอ แม้จะรู้ตัวจากสัญชาตญาณแห่งความรู้สึก
“โดนเมื่อวาน แต่เพิ่งมาเจ็บเอาเมื่อเช้านี้ เลยต้องไปหาหมอ”
อินถาพึมพำ
“แล้วทำไมไม่แจ้งพี่ติ๋วล่ะ จะได้ไม่ต้องถ่อสังขารมา”
“ก็ไม่ได้พิการ” อินถาหันขวับ บอกยานคาง พลางเบือนหน้าออกไปนอกกระจก “อีกอย่าง ไม่อยากใช้เป็นข้ออ้างด้วย รำคาญ!”
“โอเคครับ ผมจะขับแบบเงียบๆ”
“ไม่ใช่แก! หมายถึงพี่ติ๋ว!”
“อ้าวเหรอ~ ตกใจหมด งั้นก็โล่งอกไป”
และทำหน้าเหนื่อยหน่ายถอนหายใจแรงภายหลัง
บรรยากาศโดยรอบในสถานที่จัดงาน หลังลงจากรถแล้วเดินต่อราวสิบเมตร อินถามาพร้อมกับคิ้วที่ขมวด ต่างจากอีกคนที่ไม่ได้แสดงอารมณ์สักเท่าไหร่ แถมยังถัดไปทางตื่นเต้นกับความตระการตาที่มีซะมากกว่า
“ถามจริงนี่คือร้านอาหารใช่ไหม?”
จู่ๆเสียงของคนข้างๆทำลายสมาธิ เปลี่ยนจากความรื่นเริงมาเป็นงุนงงแทน
“ร้านอาหาร? คือ..”
“ฉันถามแกนะ ว่านี่เหรอร้านอาหาร สถานที่จัดงานวันเกิดหัวหน้าอะ ทำไมคนเยอะจัง สงสัยตั้งแต่ที่จอดรถแล้ว”
แล้วส่ายหัวขึงตาแก้มสั่น ก้มลงไปตอบคำถามนั้นด้วยหน้าที่เหวอ
“ผับ”
พยายามกลั้นขำเมื่อเห็นใบหน้าที่เหวอยิ่งกว่า
“ฮะ?”
“บอกแล้วให้เข้าพวก เป็นแกะดำซะจนรู้สึกอายเลยเนี่ย แล้วดูแต่งตัวเข้า ไหนจะแขนแกอีก ที่นี่ผับมีระดับนะโว้ย สภาพ~”
“ปากดี.."สาวเจ้ามองค้อน "แล้วไง! ใครแคร์ ชิ..”
ประชดเขาด้วยการเปลี่ยนจากเดินขนาบข้างเป็นเดินนำไป ลักษณะท่าทางโมโหที่มีมากกว่าอับอาย ทำให้นักรบที่มองตามอยู่ แววตาเปลี่ยนไปทันที
ความมืด เสียงเพลง แสงไฟจงใจสร้างบรรยากาศให้รู้สึกลึกลับ ยิ่งทำให้อินถาไม่เป็นตัวของตัวเอง ความประหม่าถูกเติมเชื้อที่มีอยู่น้อยนิดให้เข้มข้นหลายเท่า พร้อมจะซ้ำเติมกันทันทีหากเธอนั้นขาดสติ อาทิเช่นเดินสะดุดขาตัวเองล้มลงไปนอนแอ้งแม้งสร้างภาพขายหน้า...ถ้าพลาด
“คนโคตรเยอะเลย”
อีกนัยของความรู้สึกก็คือ ที่นี่ราวกับเป็นสถานที่นัดหมายผู้คนแปลกหน้าแต่งตัวดูดีให้มาเจอกันมากกว่าการพบปะสังสรรค์แบบปกติ ซึ่งมันไม่เหมาะกับเธอเลยจริงๆเมื่อเทียบกับใครหลายคน ที่ยืนอยู่ตรงนี้
“ของเราห้องVIP น่าจะด้านโน้นมั้ง รีบเดินเถอะ ตรงนี้ให้เด็กๆเขาเต้นกัน”
ไม่บอกเปล่า นักรบถือวิสาสะจับมือเธอด้วย ก่อนลาก..ย้ำว่าลาก! แทนการจูงเดิน
“โอ้ย นี่! เดี๋ยว..”
“เร็ว”
สำหรับเธอพนักงานออฟฟิศที่ชื่อตำแหน่งอยู่แค่บนป้ายห้อยคอ แต่ฉายาอินถาว่างไหมของคนทั้งแผนก การสัมผัสสิ่งแวดล้อมเบื้องหน้าและรอบตัวคือสิ่งที่แปลกใหม่ เรื่องเรียนรู้ที่ถัดไปทางขี้สงสัยจริงอยู่ว่ามันทำงานตลอดเวลา ถึงขนาดที่ว่าต้องได้คำตอบทุกครั้งในหัวข้อที่อยากจะรู้ ทว่าครั้งนี้เหมือนจะต้องยอมแพ้ เมื่อแวดวงที่กำลังคลุกคลีเป็นสังคมที่เธอตามไม่ทัน มันดูดี และห่างไกลกับการเป็นตัวตนมากเกินไป เสมือนคนระดับ และเธอคือระดับที่ต่ำสุด
ทำไมงานวันเกิดวันนี้ถึงไม่ถูกจัดในคาเฟ่นะ!
แม่จะพาชนแก้วกาแฟ เปิดเพลงเพื่อชีวิต!
“รบช้าๆหน่อย”
“อะไรนะ”
“เดี๋ยวสะดุดล้ม ช้าๆ”
“ช้าหน่อย? โอโห ไม่ได้แล้วแหละ ป่านนี้เจ้ติ๋วรอกินหัวพวกเราแล้ว”
“กลัวอะไรนักหนา นี่มันนอกเวลางานนะ”
“ไม่ได้กลัว แต่อาย!”
นักรบหันกลับมาพูดเน้นคำ สีหน้าจริงจัง
“เออมันก็จริง แต่โหยแก.. ก็เขาอยู่ใกล้สุดนี่นา ก็ต้องมาเร็วกว่าปะวะ เรารถติดมาถึงตอนนี้ได้ก็บุญแล้ว อีกอย่างรู้แหละ ที่เลือกร้านนี้กันเพราะสะดวกพวกเขาน่ะ ใช่มะ”
“ใช่ครับ เพราะงั้น..เร็ว”
นักรบพยักหน้า อินถาทำหน้ามุ่ย ภาพนี้ใครมองมาจึงไม่เหมือนผู้หญิงถูกดูแลด้วยผู้ชายที่ดูดีระดับเดือนคณะสักเท่าไหร่ แต่เหมือนถูกกระชากไปตบหลังร้านซะมากกว่า
เอาจริงมองอีกมุมเธอไม่ใช่คนสำคัญนัก เพราะถ้าไม่ได้มากับนักรบ และเป็นคนหนึ่งที่มาช้า พวกเขาก็ถือว่ามาครบไม่นึกว่าขาดอยู่ดี ป่านนี้คงเริ่มเฉลิมฉลองไม่คิดจะรอเธอ
ส่วนจุดเด่น มองข้ามไปได้เลย เพราะไม่มีสายตาคู่ไหนสนใจเธออยู่แล้ว ส่วนมากกับคนแปลกหน้าที่ได้สบตากันขณะเดินผ่านแล้วหันมามอง นั่นเพราะพวกเขาสะดุดตาคนที่มากับเธอมากกว่า
และในขณะคนทั้งคู่กำลังเดินเร็ว ข้อมือเล็กถูกอุ้งมือหนาใหญ่กุม พร้อมปากขยับเถียงกันไปมาประโยคสุดท้ายพูดยังไม่ทันขาดคำ
“จะรีบไปไหนเนี่ย เดี๋ยวชนคนอื่นเขา โอะ..”
ปึก!
เธอก็ชนเข้ากับคนอื่นอย่างที่เธอว่าจริงๆ
“ขอโทษค่ะ”
และด้วยความแรงประหนึ่งชนเสา จึงทำให้ต้องลูบหน้าผากป้อยๆ ก่อนเบิกตาโพลงภายหลังก็ตอนเงยหน้าขึ้น เพื่อมองคู่กรณี
O.O
แน่นอน..ความตกใจของเธอไม่ใช่เพราะเห็นใบหน้าอันหล่อเหลานั่น แต่เพราะเขาคือ...คนคนนั้น