เพราะถูกเขาจ้องมองด้วยแววตาแบบนั้นโดยไม่พูดอะไร เธอจึงเป็นฝ่ายยิ้มกลบเกลื่อนสถานการณ์
“โยแค่สะดุดล้มน่ะ ข้างในมันค่อนข้างมืด” ถึงจะน่าอาย แต่ก็ดีกว่าพูดว่าล้มเพราะถูกใครก็ไม่รู้ผลักล่ะนะ
“…” ควันหลงยังคงจ้องหน้าเธอ หลุบมองฝ่ามือที่มีรอยถลอกของเธอ ก่อนดึงสายตากลับแล้วหมุนตัวเดินต่อไป ท่าทางเย็นชาของเขาทำเธอผิดหวังนิดหน่อย
อุตส่าห์แอบคิดว่าเขาจะแสดงความเป็นห่วงเธอสักนิด แต่นี่อะไร… หัวใจเขามันถูกแช่ด้วยน้ำแข็งพันปีหรือไงกัน!
วาโยเดินมาล้างมือในห้องน้ำ ซับรอยถลอกด้วยกระดาษทิชชูบาง ๆ ก่อนกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง เหลือบมองโต๊ะข้าง ๆ ก็เห็นว่าควันหลงกำลังนั่งจิบเหล้าคนเดียวเงียบ ๆ ไม่เงยหน้ามองใครเลย
“ทำไมไปนานจัง ฉันเป็นห่วงแทบตาย” พิชาถามด้วยสีหน้ากังวลเมื่อเห็นวาโยกลับมา เธอนั่งลงที่เดิมซ่อนมือข้างที่ถลอกแล้วใช้มืออีกข้างจับแก้วดื่ม “ทำไมจับแก้วข้างนั้น?”
“หะ?” เธอตกใจเงยหน้ามองเพื่อน
“แกถนัดซ้ายนี่ ทำไมจู่ ๆ ใช้มือขวาแทนซะล่ะ”
ไม่คิดว่าพิชาจะช่างสังเกตขนาดนี้… ให้ตายเถอะ
“ไม่มีอะไร ฉันปวดนิ้วซ้ายนิดหน่อย อ๊ะ… ซี๊ด” มือข้างถลอกถูกพิชาดึงไปดู เธอร้องครางเบา ๆ ส่งผลให้พิชาชะงักมือด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมือแกเป็นแผลแบบนี้?”
“ไม่มีอะไร แค่อุบัติเหตุนิดหน่อยน่า” วาโยดึงมือกลับทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ พิชามองสบตากับเจเจ สีหน้าทั้งคู่กังวลไม่ต่างกัน
“อย่าปิดบังพวกเรานะโย แกก็รู้ว่าช่วงนี้แกโดนพวกเกรียนคีย์บอร์ดป่วนตลอด พวกมันอาจเป็นไอ้โรคจิตสักคนที่กำลังตามแกอยู่นะ ถ้าเกิดมันทำร้ายแกขึ้นมาจะทำยังไง”
“นี่เป็นฝีมือมันหรือเปล่า?” เจเจถามหน้าเครียด
วาโยนึกไปถึงมือปริศนาที่เข้ามาผลักเธอจนล้ม หรือว่านั่น…
“โย?”
“หะ… อ้อ ไม่ใช่หรอก พวกแกอย่าเพิ่งคิดมาก ฉันแค่สะดุดประตูด้านหลังล้มเฉย ๆ อย่าให้ฉันต้องพูดเรื่องน่าอายนั่นอีกได้ไหมเนี่ย” เธอโบกมือปฏิเสธแถมยังทำเสียงไม่พอใจใส่ทั้งคู่ เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีทีท่าว่าจะโกหก ทั้งสองจึงวางใจลง
วาโยลอบมองไปทางโต๊ะข้าง ๆ อีกครั้ง คราวนี้เธอบังเอิญสบตากับดวงตาคมกริบที่กำลังมองมา แววตาคู่นั้นดำมืดและดุดันราวกับอสรพิษ แทนที่เธอจะหวาดกลัว ทว่ากลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าหาเขามากกว่าเดิม
.
.
.
หลังขับรถกลับคอนโด วาโยไม่ได้ขึ้นห้องในทันที แต่เธอกำลังรอ…
เวลาผ่านไปเกือบสิบนาที ปรากฏร่างสูงเดินเข้ามาภายในคอนโด เขาเหลือบมองร่างบางที่กำลังยืนกดลิฟต์ ริมฝีปากหนาหยักยิ้มเย็นชา
ยอมรับว่าเธอเริ่มน่าสนใจ…
ทั้งคู่ยืนอยู่ในลิฟต์ท่ามกลางความเงียบ ผนังลิฟต์เป็นผนังสีเงินขุ่นไม่ใช่ผนังกระจกเหมือนลิฟต์ทั่วไปทำให้มองสีหน้าของอีกฝ่ายไม่เห็นหากไม่หันมองตรง ๆ และวาโยกำลังพยายามอย่างมากที่จะไม่หันไปมองเขา
ติ๊ง…
ประตูลิฟต์เปิดออกชั้นเก้า ร่างสูงเป็นฝ่ายเดินล้วงกระเป๋าออกจากลิฟต์ก่อน วาโยรีบวิ่งตามหลังเขา
“เอ่อ คือว่า…” วาโยเรียกรั้งเขาเอาไว้ ควันหลงหยุดฝีเท้าหันกลับมามอง สีหน้าเย็นชาเหมือนเช่นเคย เธอเม้มปากแล้วเชิดหน้าพูดต่อ “พี่รู้ใช่ไหมคะว่าโยไม่ได้สะดุดล้ม?”
“…”
“โยหมายถึง… พี่เห็นคนที่ผลักโยใช่ไหมคะ?”
วาโยไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ มีคนจงใจผลักเธอล้มจริง ๆ แต่คนคนนั้นเป็นใคร เธอไม่ทันเห็น เพราะตอนเงยหน้าขึ้นมองก็ไม่เจอใครแล้ว แต่จากการคิดทบทวนดูแล้ว เธอมั่นใจว่าพี่ควันอาจจะเห็นคนคนนั้น เพราะตอนนั้นเขายืนมองเธออยู่
“ไหนว่าสะดุดล้ม?” น้ำเสียงเย็นเหยียบแฝงแววเย้ยหยันเอ่ยถาม เธอเงยหน้าสบตากับเขาอีกครั้ง แววตาและสีหน้าของเขายังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“ตอนแรกโยไม่มั่นใจ โยรู้สึกว่ามีมือมาผลัก แต่ตอนเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่เห็นใครแล้ว”
“แล้วจะถามไปทำไม”
“ต้องการความแน่ใจไงคะ ถ้ามีคนผลักโยจริง ๆ โยจะได้ระวังตัวเอาไว้” เธอคิดแบบนี้จริง ๆ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ราวกับว่ามีคนกำลังประสงค์ร้ายเธออยู่ และคนคนนั้นตั้งใจจะทำร้ายเธอด้วย
“นั่นเป็นเรื่องที่ควรทำตั้งแต่แรก”
“คะ?” เธอไม่เข้าใจที่พี่ควันพูด เขาต้องการจะพูดอะไรกันแน่?
“สิ่งที่เธอควรทำคือการระมัดระวังตัวเอง ไม่ใช่คอยเดินตามฉันไปทุกที่”
เขารู้… เขารู้ว่าเธอกำลังตามเขาอยู่ แน่ล่ะ พี่ควันไม่ใช่คนโง่ เธอพยายามเข้าหาเข้าชัดเจนขนาดนี้ ถ้าไม่รู้สิแปลก
“โยก็แค่อยากทำความรู้จักกับพี่ โยไม่ได้มีเจตนาร้าย แล้วโยก็คิดจะตามพี่เอง”
“เธอคิดจะตามฉันไปทุกที่?” ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้ามาในตาเธอ มันเต็มไปด้วยการข่มขวัญและข่มขู่ แต่อย่าคิดว่าเธอจะกลัว ในเมื่อเธอตัดสินใจที่จะวิ่งตามเขาแล้ว เธอก็พร้อมจะยอมรับด้านมืดของเขาทั้งหมด ต่อให้เขาเลวร้ายหรือเย็นชามากกว่านี้ยังไงถ้าเธอชอบก็คือชอบอยู่ดี ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้
“ค่ะ”
“แม้แต่นรกก็คิดจะลงไปกับฉัน?”
คำถามเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกตกใจสักนิด กลับยกยิ้มมุมปากตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแทน
“ถ้านรกนั้นมีพี่ควัน โยก็ไม่ติดนะคะ”