อย่างน้อยสวรรค์ก็เข้าข้างล่ะวะ~
หญิงสาวเดินตามหนุ่มมากอายุไปด้วยอาการตื่นเต้น เธอเชื่อว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เข้าตาคุณหญิงแน่นอน อันดับแรกคือความสวยเฉี่ยวของเธอแหงๆ
เมื่อเดินมาถึงรถสีดำคันหรูก็มีคนเปิดประตูรถให้ณาลัลน์ เธอชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะยอมเข้าไปในที่สุด
“สวัสดีจ้ะ”
คำทักทายแรกทำให้เด็กสาวคลายกังวลแล้วคลี่ยิ้มบางๆ จากที่ตอนแรกเธอมีแอบคิดว่าตัวเองอาจจะโดนหลอกมาลักพาตัวก็ได้
“สวัสดีค่ะ”
“ชื่ออะไรเหรอเราน่ะ”
“ชื่อจริงณาลัลน์ ชื่อเล่นลัลน์ค่ะ”
“ชื่อเพราะดีนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เข้าเรื่องเลยดีกว่า ฉันมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเธอน่ะ ในความรู้สึกลึกๆ คือมันบ่งบอกว่าเธอนี่แหละ”
“ดิฉันเหรอคะ ไม่ทราบว่า?” ณาลัลน์งุนงง เธอไม่รู้ว่าคุณหญิงพูดถึงอะไร
“ใช่ มองดูแล้วเธอเป็นคนที่กล้าหาญนะ แถมยังมีความเด็ดเดี่ยว แต่ในทีก็ยังมีความอ่อนหวานอ่อนโยนแฝงอยู่ด้วย” คุณหญิงพูดไปก็ยิ้มไป ในที่สุดฟ้าก็ส่งผู้หญิงที่ท่านตามหามาเสิร์ฟถึงมือ เพราะท่านเห็นแววมาแต่ไกลว่าณาลัลน์นี่แหละที่จะทำให้อินทัชเป็นคนที่ดีขึ้นได้ ไม่รู้ว่าจะมากหรือน้อย แต่หลานชายนิสัยเสียของท่านจะต้องมีนิสัยที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
“บางทีแล้วดิฉันอาจจะไม่ได้…”
“สนใจจะมาทำงานเป็นเลขาไหม?” คุณหญิงไม่รอให้คนเด็กกว่าพูดจบ ท่านชิงถามก่อนแล้วรอฟังคำตอบ
“เลขาเหรอคะ?” อันที่จริงตำแหน่งที่เธอคาดหวังนั้นมันไม่ใช่เลขาแต่เป็นพวกพนักงานตามแผนกทั่วไปมากกว่า “คือดิฉันคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ค่ะ เนื่องจากมีเหตุจำเป็นสองสามอย่าง”
“ฉันไม่ติดอะไร เอาเป็นว่าถ้าเธอตกลงจะรับตำแหน่งนี้ ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้เป็นสองเท่า”
“สะ สองเท่าเหรอคะ!” ณาลัลน์ถึงกับตาเบิกกว้างแล้วอ้าปากค้าง เรื่องเงินเรื่องทองมันเรื่องใหญ่มากสำหรับเธอ เพราะการดำรงชีวิตล้วนแล้วต้องใช้เงินทั้งนั้น “ขอเสียมารยาทถามเลยนะคะว่าจำนวนเงินนั้นมันเท่าไหร่?”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะให้เธอห้าหมื่นบาทต่อเดือนในระหว่างที่ทำหน้าที่เลขา ส่วนพิเศษต่างๆ จะเพิ่มให้ตามความเห็นควรของฉัน แต่มีข้อแม้…”
“ข้อแม้เหรอคะ?”
“เธอต้องอดทน อดทน และอดทน แล้วก็ทำยังไงก็ได้ให้หลานชายของฉันเป็นคนที่ดีขึ้น”
“…” ณาลัลน์นิ่งเงียบ หลานชายที่คุณหญิงท่านเอ่ยถึงนั้นคือใคร? แล้วทำไมเธอต้องอดทนกับทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นด้วยล่ะ นี่เธอมาหางานทำนะไม่ได้มารับขัดเกลานิสัยคน
“หกหมื่น ฉันให้เธอหกหมื่นต่อเดือนเลย” ท่านเสนอขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป “พร้อมสิทธิไม่จำกัด จะลาป่วยลาอะไรก็ได้เมื่อเธอต้องการ”
“ตกลงค่ะ” รีบตกลงให้ไว นี่มันหาที่ไหนไม่ได้แล้ว
วันต่อมา ณ บริษัทไอแอนด์ที
สาวสวยเดินเข้าบริษัทด้วยอาการเกร็งเล็กน้อยเพราะมาทำงานที่นี่เป็นวันแรกและด้วยการแต่งตัวที่ดูแปลกใหม่ เสื้อสีฉูดฉาดและกระโปรงตัวล่างสั้นรัดรูปจนเห็นทรวดทรงองค์เอว ไหนจะหน้าตาที่สวยสะพรั่งเพราะแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางมีราคา ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นของสมนาคุณที่คุณหญิงอัญชันจัดแจงมามอบให้
“สวัสดีครับคุณณาลัลน์” ชายหนุ่มที่แต่งตัวดูดีเดินเข้ามาทักทาย “สวยจังเลยนะครับเนี่ย ดูดีกว่าเลขาคนก่อนๆ ไปอีก”
“…” ณาลัลน์ยืนนิ่งแล้วกะพริบตาปริบๆ เธอไม่รู้จักเขา แต่ทำไมเขาถึงรู้จักเธอ
“ผมชื่อณัชนะครับ เป็นคนที่ท่านประธานใหญ่ส่งมาให้ช่วยดูแลคุณชั่วคราวน่ะครับ”
“อ๋อ สวัสดีค่ะคุณณัช”
“เตรียมตัวมาพร้อมแล้วใช่ไหมครับเนี่ย”
“นิดหน่อยค่ะ วันแรกอาจจะยังไม่พร้อมร้อยเปอร์เซ็นน่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถอะครับ เลยเวลาเข้างานมาสิบนาทีแล้ว หูอาจจะชาจนใช้งานไม่ได้ชั่วขณะเลยก็ว่าได้นะครับ”
“ทำไมเหรอคะ?”
“แสดงว่ายังไม่รู้สรรพคุณของท่านประธานอินทัชสินะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เรารีบขึ้นไปกันก่อนเถอะครับ”
“ค่ะๆ”
และทั้งสองคนก็พากันเดินตรงไปที่ลิฟต์เพื่อที่จะขึ้นไปที่ชั้นสิบเก้าซึ่งเป็นที่ที่ท่านประธานทำงาน ในระหว่างทางณัชก็เล่าถึงนิสัยอันน่าสะพรึงกลัวของอินทัชให้ณาลัลน์ฟังไปด้วย
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“ครับ และเลขาคนเก่าก็พึ่งจะลาออกไปเมื่อวานหมาดๆ วันนี้ก็มีคุณณาลัลน์มาแทนที่เนี่ยแหละครับ”
“โฮ…” ณาลัลน์รู้สึกใจแป่วเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าคนที่จะต้องมาร่วมทำงานด้วยมีนิสัยป่าเถื่อนแบบนี้ เพราะที่คุณหญิงอัญชันเล่ามันดูไม่ได้ขนาดนี้นี่นา
ห้องทำงานท่านประธาน
“สิบห้านาที”
“คะ?”
“คะบ้าบออะไร เธอมาเข้างานสายสิบนาที นี่ขนาดมาทำงานวันแรกนะ ห่วยแตก ไร้ความรับผิดชอบ!” อินทัชมองหน้าเลขาสาวคนใหม่อย่างไม่ลดละ สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความดุดันและแข็งกร้าว
ณาลัลน์พลันนึกในใจและเชื่อแล้วว่าณัชไม่ได้โกหก ก้าวขาเข้ามาในห้องทำงานไม่ถึงสองวิเธอก็โดนท่านประธานด่าฉ่ำๆ หนึ่งกรุบ
“ปากอมอะไร? ไม่มีเหตุผลจะบอกเหรอยัยไร้ความรับผิดชอบ!”
“คือดิฉันชื่อณาลัลน์ค่ะ แล้วที่มาสายก็ได้ระบุในใบสมัครงานไปแล้ว และได้แจ้งกับท่านประธานใหญ่ไปแล้วน่ะค่ะ”
“ตอนนี้ใครเป็นเจ้านายเธอ”
“…”
“ฉันถามว่าตอนนี้ใครเป็นเจ้านายของเธอ!”
“ท่านประธานอินทัชค่ะ”
“ก็ไม่ได้โง่หนิ แต่ทำไมถึงไม่แจ้งฉันล่ะ”
คำพูดคำจาแรงมาก!
ณาลัลน์พยายามข่มใจและควบคุมตัวเอง ท่องยุบหนอพองหนอในใจก่อนจะปั้นยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ต่อไปนี้ดิฉันจะแจ้งท่านฯโดยตรงค่ะ”
“ไม่ได้อยากรู้!”
“…”
เอ้า อะไรของเขากันนะ?
“รู้แค่ว่าหลังจากนี้เธอห้ามมาสายอีก ไม่ละเว้นทุกกรณี ไม่มีข้อกังขาใดๆ ไม่ว่าเธอจะตกลงกับท่านประธานใหญ่ไว้ว่ายังไง สุดท้ายคนที่เธอต้องฟังและทำตามคือฉันคนเดียว และอย่าอ้าปากเถียง อย่าทำตัวเข้าใจยาก อย่าโง่ด้วย” ทิ้งท้ายคำพูดเสร็จก็โยนกองเอกสารใส่คนตัวเล็กอย่างจัง
“โอะ!” เธอร้องเสียงหลงแล้วรู้สึกเจ็บที่ช่วงแขน
“ไสหัวออกไปทำงาน”
“…” ณาลัลน์ยืนจ้องหน้าอินทัชด้วยความโมโห
“จ้องหน้าทำไม อยากจะตกงานตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำรึไงยัยไร้สมอง” คำพูดแต่ละคำที่ออกมาจากปากอินทัชนั้นมันช่างดูไม่น่าฟังเสียเลย แต่เขาก็ไม่เคยแคร์ใครหน้าไหนอยู่แล้วนอกจากผู้เป็นย่า
“ท่านฯทำแบบนี้มันดูไม่ค่อยน่ารักเลยนะคะ”
“ไม่ได้ให้ใครมารัก อย่าสะเออะน่า”
“คำพูดคำจาก็เน่าสุดๆ เลย”
“นี่!”
“ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงไม่มีใครอยากอยู่ด้วยน่ะ” พูดไปก็นั่งย่อตัวแล้วเก็บแฟ้มเอกสารขึ้นมาโอบอุ้มไว้ในอ้อมอกเนื่องจากมันมีเยอะ
“ยัยโง่! เธอไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันนะ” อินทัชเดือดดาล ยังไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้ามาต่อว่าและย้อนเถียงเขาแบบนี้
“แล้วท่านฯมีสิทธิ์มาว่าคนอื่นรึไง ทุกคนเขาก็มีหัวใจนะ และมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ดังนั้นจะมาด่าว่าตามอำเภอใจไม่ได้” ตกงานไม่กลัวแล้วตอนนี้ ไม่มีใครที่ด่าณาลัลน์และจะไม่โดนเธอด่าสวนกลับ “ท่านฯก็โง่”
“นี่!” อินทัชโกรธจนมือไม้สั่นก่อนจะเดินปรี่เข้าไปหาณาลัลน์ “กล้ามากนะ”
“ขอตัวนะคะ” เธอรู้สึกว่าจะต้องโดนสังหารแน่ๆ เลยหาทางเลี่ยงดีกว่า
“เดี๋ยวสิ” รั้งแขนไว้พลางหยิบแก้วน้ำเปล่าที่วางอยู่ใกล้ๆ มาเทราดใส่ศีรษะของหญิงสาวจนมันเปียกชุ่ม “เอาน้ำล้างสมองกลวงๆ โง่ๆ ให้แล้ว หวังว่าเธอคงจะฉลาดขึ้นนะ และอย่ามาต่อว่าฉันอีก!” เอ่ยจบเขาก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งก่อนจะวางแก้วน้ำกระแทกลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด
เธอยืนตัวสั่นด้วยความโกรธแล้วพยามข่มใจไว้ก่อน ของแบบนี้เอาคืนวันพรุ่งก็ไม่สาย ต้องอดทน อดทน และอดทนตามที่คุณหญิงอันชัญบอก ไม่อย่างนั้นเงินเดือนละหกหมื่นคงจะสลายหายไปในพริบตา เธอยังมีภาระและค่าใช้จ่ายรออยู่อีกเพียบ
“ไสหัวออกไปทำงานสิ หรือจะเขียนใบลาออกก็เชิญเลย”
“ดิฉันขอตัวออกไปทำงานนะคะท่านฯ”
เมื่อเดินออกมานอกห้องทำงานได้ณาลัลน์ก็วางกองเอกสารลงแล้วทิ้งตัวนั่วลงบนเก้าอี้ หยิบกระจกบานเล็กกะทัดรัดขึ้นมาส่องดูก่อนจะเห็นว่าเครื่องสำอางนั้นเลอะเลือนจนใบหน้าดูไม่ได้ ขนตาปลอมที่ติดมาก็ห้อยโตงเตงจวนจะหลุด เธอเลยตัดสินใจเอากระดาษทิชชูมาเช็ดเครื่องสำอางต่างๆ บนใบหน้าออกจนหมดจด
“โฮ สภาพเยินมากเลยค่ะคุณเลขาคนใหม่” ชัชรินทร์เดินเข้ามาแล้วสำรวจดูก่อนจะแสดงสีหน้าที่เห็นอกเห็นใจ ไม่ว่าเลขาสักกี่คนที่เข้ามาก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน แต่ดูท่าณาลัลน์จะหนักกว่าคนอื่นๆ “ไม่ทราบว่าได้…”
“ฉ่ำๆ เลยค่ะ แล้วก็โดนน้ำราดหัวกลับแบบฉ่ำๆ เช่นกัน” ณาลัลน์เอ่ยตอบโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายยิงคำถามจบ “เลขาคนก่อนๆ ก็โดนแบบนี้เหรอคะ”
“โดนน้อยกว่านี้ค่ะ เพราะพวกเธอไม่เคยมีใครกล้าปริปากเถียงหรือต่อว่าท่านประธานกลับเลยสักคนน่ะค่ะ คุณลัลน์คนแรกเลยนะคะเนี่ย ยอมใจมาก” พนักงานสาวถึงกับยกนิ้วโป้งทั้งสองให้ ยอมรับว่าเลขาคนใหม่คนนี้ใจสู้จริงๆ
“…” ณาลัลน์ยิ้มแหยๆ ถ้าไม่ใช่เพราะจำนวนเงินที่มากสำหรับเธอ เธอก็ไม่อยากจะสู้หรอกนะ นี่แค่ไม่ถึงชั่วโมงยังโดนขนาดนี้ ถ้าทั้งวันจะขนาดไหนกัน ไม่อยากจะนึกสภาพเลยล่ะ
“สู้ๆ นะคะ รินทร์เอาใจช่วยค่ะคุณเลขา มีอะไรที่พอจะช่วยได้ก็ยินดีที่จะช่วยค่ะ”
“จะสู้นะคะถ้าไม่ขิตก่อน”
เฮ้อ…
จะมีชีวิตรอดออกไปจากบริษัทนี้ไหมนะณาลัลน์…
...ตัด...