ข้างฝ่ายฮัวจิงอวี๋ หลังจากได้พบหญิงในดวงใจก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงนางจนนอนไม่หลับอยู่สองสามวัน
อู๋จือผู้เป็นน้องสะใภ้เห็นใบหน้าของญาติผู้พี่สามีไม่ค่อยสู้ดีก็เอ่ยถาม “พี่จิงอวี๋ ท่านทำงานหนักเกินไปหรือไม่ หน้าตาดูไม่สบายเอาเสียเลย”
“ช่วงนี้ข้ารู้สึกเพลียๆ น่ะ เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ”
“ท่านต้องการผู้ช่วยหรือไม่เจ้าคะ เสี่ยวเหอตี้น้องชายคนเล็กของข้ากำลังจะปิดภาคเรียนพอดี กำลังอยากหางานทำ ให้มาช่วยท่านดีหรือไม่”
“พรุ่งนี้ให้น้องชายเจ้ามาหาข้าที่โรงหมอนะ ให้ข้าคุยกับเขาเสียก่อน ว่าเหมาะกับงานหรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ”
อู๋เหอตี้เป็นเด็กชายที่เฉลียวฉลาด ฮัวจิงอวี๋เห็นหนุ่มน้อยอ่านเขียนคล่องแคล่วก็พออกพอใจ
“เจ้าเป็นนักศึกษาที่สถาบันเค่อเฉิงนี่เอง มิน่าถึงได้เก่งเยี่ยงนี้ ข้าพอใจมาก จะรับไว้เป็นผู้ช่วยก็แล้วกัน”
สถาบันเค่อเฉิงเป็นสถานศึกษาที่โด่งดังที่สุดในเมืองหลวง บัณฑิตที่จบจากเค่อเฉิงล้วนได้เป็นขุนนาง
อู๋จือรีบค้อมศีรษะให้ฮัวจิงอวี๋ “ขอบคุณพี่จิงอวี๋ที่เมตตาน้องชายของข้า”
“ข้าจ้างเขาเพราะเขามีความสามารถ มิใช่เพราะเมตตา เจ้าไม่ต้องเกรงใจ ค่าแรงข้าก็จะจ่ายอย่างเหมาะสม”
คราแรกที่อู๋เหอตี้ได้เห็นท่านหมอหนุ่มรูปงามก็ถึงกับตกตะลึง ตอนที่พี่สาวของเขาแต่งงานกับฮัวหยางผู้รูปงามราวกับเทพเซียน เขาเองก็ชื่นชมในตัวพี่เขยมิใช่น้อย ยามนี้ยังมาได้อยู่ใกล้ชิดกับญาติผู้พี่ของพี่เขยที่งดงามราวกับลอยออกมาจากภาพวาด หนุ่มน้อยจึงยิ้มกว้างด้วยความยินดี
“เสี่ยวเหอตี้ เจ้าเรียกข้าว่าพี่จิงอวี๋ก็ได้”
“ไม่ดีหรอกขอรับ ข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ติดตามท่านก็สมควรเรียกท่านให้ผู้คนยำเกรงว่าท่านหมอฮัว ผู้อื่นจะได้ไม่กล้าลบหลู่ท่าน”
ฮัวจิงอวี๋หัวเราะเบาๆ “อืม...รู้เรื่องจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
คล้อยหลังอัวจิงอวี๋ อู๋จือเล่าปัญหาที่ใต้เท้ากุ่ยมาวอแววุ่นวายกับฮัวจิงอวี๋ให้กับน้องชายฟัง อู๋เหอตี้จึงรับปากแข็งขันว่าเขาจะคอยระวังภัยให้กับท่านหมอฮัวอย่างดี
“ฝีมือกระบี่ของข้ายามนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วนะ ต้องขอบคุณท่านพี่เขยที่ส่งข้าไปฝึกกระบี่กับสำนักเตรียมมือปราบ”
ฮัวหยางยิ้มให้น้องชายของภรรยา “เจ้าหน่วยก้านดีและมีความรับผิดชอบ ทำให้ข้าไม่ผิดหวังจริงๆ”
ยามนี้ในเมืองหลวงมีผู้ตั้งสำนักเตรียมมือปราบเพื่อสอนวิชาการต่อสู้เบื้องต้น ทั้งหมัดมวย ดาบ กระบี่ และการใช้อาวุธนานาชนิด
นอกจากการต่อสู้แล้ว ก็ยังสอนวิชากฎหมาย และการชันสูตรศพเบื้องต้นให้อีกด้วย
“ดีๆ ข้าได้ยินสามีบอกว่าพี่จิงอวี๋ไม่มีวรยุทธ์ รูปร่างก็ยังผอมบาง เกรงจะถูกคนรังแกได้โดยง่าย เห็นทีคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว” อู๋จือยิ้มกว้าง
ปีนี้อู๋เหอตี้สูงขึ้นอีกราวสองชุ่น หลังจากที่พี่สาวกลายมาเป็นสะใภ้รองสกุลฮัว เขาก็อยู่ดีกินดีทำให้ผิวพรรณผุดผ่องร่างกายสูงใหญ่ขึ้นมาก
“ข้าฝากพี่จิงอวี๋ด้วยก็แล้วกันนะ เสี่ยวเหอตี้” ฮัวหยางยกมือตบบ่าหนุ่มน้อยเบาๆ
“พี่เขยไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าจะอารักขาท่านหมอฮัวอย่างเต็มที่”
ฮัวหยางได้ยินคำรับรองของน้องชายภรรยาก็ถูกใจ รีบพาอู๋เหอตี้ไปเลือกเอากระบี่จากห้องของตน ที่ผนังห้องยาของฮัวหยางมีกระบี่วางบนแท่นอยู่หลายเล่ม
“เจ้าชอบเล่มไหนก็หยิบเอาเลย ”
“ได้หรือขอรับ สวยๆ ทั้งนั้นเลย”
“กระบี่พวกนี้ข้าไม่ค่อยได้ใช้ ให้เจ้าเลือกไปสักเล่ม”
อู๋เหอตี้ตาโต ในตอนที่ฝึกกระบี่ อาจารย์ของเขาให้ใช้กระบี่จริงของสำนัก แต่พอกลับถึงบ้านคิดจะฝึกฝนฝีมือด้วยกระบี่จริงเพื่อให้ชินกับน้ำหนักของโลหะแต่ที่บ้านก็ยังไม่มี แต่ละวันเขาจึงใช้กระบี่ไม้แทน
“ปลอกสวยๆ ทั้งนั้นเลยขอรับ” เด็กหนุ่มลูบไปยังปลอกกระบี่โลหะแต่ละเล่ม
ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังเลือกกระบี่อยู่นั้น ฮัวจิงอวี๋ก็กลับมาจากข้างนอกพอดี ครั้นได้ยินว่าฮัวหยางกำลังจะมอบกระบี่ให้อู๋เหอตี้เพื่อให้เอาไว้อารักขาตนก็ยิ้มกว้าง
“นี่เจ้ามีวรยุทธ์ด้วยหรือ”
“ขอรับ ข้าฝึกหมัดมวยและกระบี่ด้วย”
“ดีจริง ถ้าอย่างนั้นจ้างเจ้าก็เท่ากับข้าได้กำไรน่ะสิ ได้ทั้งองครักษ์และได้เสมียนที่เก่งกาจด้วย”
ท่านหมอหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปใกล้หีบ พอเห็นกระบี่ปลอกสีดำก็รีบชี้ “เสี่ยวเหอตี้ เอาเล่มนั้นสิ แกะสลักงดงาม ด้ามก็ดูแข็งแรง”
อู๋เหอตี้ตกลงใจเอาตามที่ฮัวจิงอวี๋บอก “งามจริงๆ ขอรับ” หนุ่มน้อยหยิบขึ้นมาแล้วลองชักดู คมกระบี่วาววับจับตา
“พี่จิงอวี๋เลือกได้ดีนัก นั่นเป็นกระบี่ของสกุลช่างโด่งดังของแคว้นเหลียน ข้าเก็บเอาไว้หลายปีแล้ว” ฮัวหยางชื่นชม “เจ้ารักษาให้ดีเล่า เสี้ยวตี้”
“ขอรับ พี่เขย”
“ต่อไป เจ้าคงต้องมาพักที่นี่เสียแล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องไปๆ กลับๆ ได้ดูแลความปลอดภัยพี่จิงอวี๋อย่างเต็มที่”
ฮัวหยางจึงให้บ่าวรับใช้พาอู๋เหอตี้กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามาพักในคฤหาสน์สกุลฮัว
หลัวเผิงเผิง มองเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายเดินตามคอยดูแลท่านหมอฮัวจิงอวี๋ก็เกิดความหงุดหงิด ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ฮัวจิงอวี๋รูปงามก็มีเด็กหนุ่มมาคอยเคียงข้าง ท่าทีสนิทสนมของคนทั้งสองทำให้ขุนนางหญิงจิตใจขุ่นมัว
“สกุลฮัว ไม่มีลูกหลานอายุประมาณนี้นี่ ”
เสี่ยวไป๋มองตามสายตาเจ้านายแล้วก็รีบยืนยัน “ขอรับ ไม่มี”
“ไม่ใช่ผู้ติดตามมาจากแดนไกลของฮัวจิงอวี๋ด้วย”
“ขอรับ คนพวกนั้นล้วนเป็นบุรุษวัยราวสามสิบแล้วทั้งนั้น แต่เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะอายุราวสิบห้าสิบหกปีได้”
“เขาคงมิได้เลี้ยงคู่รักหนุ่มๆ เอาไว้หรอกนะ”
“ไม่น่าจะใช่นะขอรับ นับตั้งแต่หมอฮัวใหญ่มาถึงเมืองหลวงก็ไม่เคยไปดื่มสุราหรือเที่ยวตามสถานเริงรมย์สักครา”
“ข้าอยากรู้ว่าฮัวจิงอวี๋แท้จริงชอบบุรุษหรือสตรีกันแน่ เจ้าไปสืบมาให้ชัดเจนที” หลัวเผิงเผิงหันไปทางเสี่ยวไป๋
“หากว่าเขาชอบสตรี คุณหนูจะเปลี่ยนแผนหรือขอรับ”
หลัวเผิงเผิงชะงัก “ข้ายังไม่มีแผนสำรอง”
“คุณหนู ไหนว่าท่านจะผลักไสให้เขาได้เสียกับใต้เท้ากุ่ย ในเมื่อท่านคิดแผนชั่วๆ เช่นนั้นออกมาแล้ว ไม่ว่าท่านหมอฮัว ผู้นี้จะชอบบุรุษหรือสตรีจะเกี่ยวอันใดเล่า”
สีหน้าของหลัวเผิงเผิง ดูหมองลงเล็กน้อย
“นั่นสินะ ในกรมคลัง คนที่มีความชั่วใกล้เคียงกับข้าก็มีเพียงกุ่ยอี๋จือ หากไม่ยืมมือคนผู้นั้นก็ยากที่จะกำจัด ฮัวจิงอวี๋ออกจากเส้นทางความร่ำรวยของสกุลหลัวได้”
ตกเย็นอู๋เหอตี้ขอลางานกับฮัวจิงอวี๋หนึ่งชั่วยามเพื่อไปร้านเครื่องเขียน ระหว่างที่จะเดินผ่านหัวมุมตรอก พลันมองเห็นขุนนางหญิงผู้โด่งดัง
‘นั่น ใต้เท้าหลัวนี่นา ช่างงดงามสมคำร่ำลือเสียจริง’
อู๋เหอตี้ชื่นชมความสามารถของหลัวเผิงเผิงมานานแล้ว เขาเคยอ่านบทความที่นางเขียนเกี่ยวกับการเก็บภาษีและการปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรม
ในฐานะสตรีที่งดงามและเป็นบัณฑิตผู้เก่งกาจ หลัวเผิงเผิงจึงเป็นที่ชื่นชมของบัณฑิตหนุ่มทั่วเมืองหลวง เพียงแต่นางไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใดนัก ลือกันว่านางเป็นโรคเข้าใกล้บุรุษไม่ได้
หลังจากที่เกิดคดีฆาตกรรมสามีสกุลเตียวของนาง เขาก็ได้แต่ภาวนาให้นางพ้นผิด เขาเชื่อว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้
อู๋เหอตี้มองเห็นหลัวเผิงเผิงกับสาวใช้กับและบ่าวรับใช้ก็คิดจะเข้าไปดูใกล้ๆ พลันได้ยินเสียงคนเหล่านั้นพูดคุยกัน
******************