ตอนที่ 10
หน่วยราชการลับ 2
หัวหน้าหน่วยราชการลับนั่งลงบนโซฟารับแขก เขาชะงักนิ่งจ้องมองดวงหน้างามหยดย้อยของดารินทร์อย่างล่วงเกิน
มีแวมไพร์สวยถึงเพียงนี้เลยหรือ... เขานึก
ภายในห้องทำงานสีขาวนวลอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้สดที่ปักลงบนแจกัน หญิงสาวนั่งบริเวณโต๊ะทำงานประจำของเธอ ทางด้านราอูลถือวิสาสะนั่งพิงโต๊ะทำงานกอดอกจ้องชายหนุ่มผิวคร้ามแดดตาเขม็ง
“มีอะไรก็พูดมาจ้องหน้ายัยนี่อยู่ได้” ราอูลเอ่ยเสียงเเข็งฉุดเรียกชายหนุ่มเผ่ามนุษย์หลุดจากภวังค์
“สวัสดีครับผมเตชิน หัวหน้าหน่วยราชการลับสังกัดกองกำลังพิเศษ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณฟาร์อูลอนุญาตให้ผมสืบเบาะแสหาตัวผู้กระทำความผิดฝ่าฝืนกฎอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ร่วมกับคุณดารินทร์ครับ”
“พี่ฟาร์อูลน่ะหรอคะ ฉันยังไม่ได้คุยกับแกเลยน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ นี่เอกสารรายงานข้อมูลคดีฆาตกรรมผู้ตายที่ตายผิดธรรมชาติ” เตชินส่งมอบเอกสารสำคัญกองใหญ่วางลงบนโต๊ะทำงานของหญิงสาว
ร่างเล็กไล่เปิดเอกสารสำคัญตรงหน้า เธอไล่อ่านทีละหน้าอย่างตั้งใจ สีหน้าของเธอสลดลงเห็นได้ชัด สภาพศพของผู้ตายแต่ละคนช่างน่าสงสารเวทนา บางศพเรียกได้ว่าแทบจะไม่หลงเหลือเลือดภายในร่างกายแม้หยดเดียว
“หากเผ่าแวมไพร์เป็นผู้กระทำจริงตามร่างกายผู้เสียชีวิตก็จะต้องมีกลิ่นอายของแวมไพร์ตนนั้นนี่คะ” เธอปิดแฟ้มเอกสารลง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองมนุษย์ผู้นี้
“แต่ใช้ไม่ได้กับคดีเหล่านี้ครับ มันฉลาด หลังจากก่อเหตุมันใช้กลิ่นหญ้าสะวันนากลบกลิ่นกายซ่อนเร้นกลิ่นอายของมัน”
“หญ้าสะวันนา...” ใบหน้าสวยเคลือบแคลงชื่อของพืชชนิดนี้ มันคือพืชอะไรกันถึงได้มีฤทธิ์เดชกลบกลิ่นอายของเผ่าแวมไพร์ได้
“ยัยโง่...” ราอูลพูดเสียงแผ่วเบาราวกับต้องการให้ได้ยินเพียงเขาเเละเธอ
“หญ้าสะวันนาหนึ่งในสมุนไพรโบราณหายากของเหล่าเเวมไพร์ มีสรรพคุณช่วยซ่อนเร้นอำพรางกายและกลิ่นแวมไพร์ในยามคับขัน หากใช้เกินปริมาณจะทำให้แวมไพร์ตนนั้นสูญเสียสติสัมปัชชัญญะกลายเป็นกูลล์” ราอูลอธิบายให้เธอแจ่มแจ้ง
“กูลล์เป็นเผ่าพันธุ์ต่ำช้า ไร้ความรู้สึกนึกคิดควบคุมได้ยากที่แม้แต่เราก็ต้องกำจัด” แวมไพร์หนุ่มพูดน้ำเสียงหนักใจ กูลล์คือแวมไพร์ที่กลายร่างเป็นสัตว์ มีลักษณะคล้ายค้างคาวมี 5 ขา ดวงตาสีดำสนิท ลำตัวมีขนยาวสีน้ำตาล ที่ดื่มกินแม้กระทั่งเลือดจากซากสัตว์ ดุร้าย คลุ้มคลั่ง โจมตีทั้งแวมไพร์และนอกเผ่าพันธุ์
“แต่เท่าที่ข้อมูลของทางหน่วยบันทึกข้อมูล พวกกูลล์ไม่ปรากฎตัวมาหลายสิบปีแล้ว แต่มันพึ่งกลับมาไม่นานมานี้”
“ตระกูลเรามีหญ้าตัวนี้ด้วยหรอคะ” เธอเอ่ยถามกลับ
“ย่อมมี และไม่ใช่แค่เราที่มีหากแต่ท่านพ่อท่านแม่เป็นผู้เก็บรักษาสมุนไพรเหล่านั้นเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มัน ในเวลานี้ทั้งสองเข้าสู่สภาวะจำศีลย่อมไม่มีทางที่สมุนไพรจะตกไปอยู่ในมือแวมไพร์นอกรีต” แวมไพร์นอกรีตคือแวมไพร์ที่ไม่มีตระกูลคอยควบคุมดูแล พวกมันเปรียบเสมือนขอทานและกองโจรที่คอยปล้นเสบียงเหล่าแวมไพร์ด้วยกัน
“ดังนั้นเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ผมจะขอสอดแนมดูคนในตระกูลของคุณอย่างเงียบๆ และหวังว่าคุณดารินทร์จะให้ความช่วยเหลือนะครับ” เตชินกล่าว
“งั้นก็แสดงว่านายสงสัยตระกูลของฉัน” ราอูลยิ้มเยาะ
“ไม่ใช่แค่ตระกูลเอนส์เวิร์ธครับ ตระกูลเอเธอนอลก็ถูกตรวจสอบเฉกเช่นเดียวกันครับ” มนุษย์หนุ่มบอกเขาตามความจริง ขณะนี้พนักงานแทบทั้งหน่วยทำงานหามรุ่งหามค่ำเร่งหาตัวคนร้าย รัฐบาลกดดันด้วยคำขู่จะยุบหน่วยงานราชการลับของเขา หากภายใน 15 วันยังจัดการผู้กระทำผิดไม่ได้
“ฉันยินดีให้ความช่วยเหลือคุณเตชินในการสืบสวนครั้งนี้ หากต้องการความช่วยเหลือติดต่อเบอร์โทรนี้ได้เลยค่ะ” ดารินทร์มอบนามบัตรสีหวานยื่นให้มนุษย์หนุ่ม
“เอาเบอร์ฉันแทน” ราอูลทำท่าจะคว้านามบัตรสีหวานกลับคืน มือหนาของอีกฝ่ายกลับไวกว่ารีบเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าของผู้ชนะ
“ไม่เป็นไรครับ คุณฟาร์อูลให้ผมติดต่อกับคุณดารินทร์”
‘หน๊อย...ไอหมอนี่มันกวนโอ๊ย’ ราอูลกัดฟันกรอด ใบหน้าไม่สบอารมณ์ เตชินจับความรู้สึกที่แฝงออกมาจากสีหน้าของแวมไพร์หนุ่มได้จึงได้โอกาสกล่าวลา
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณดารินทร์ ไว้ผมจะติดต่อกลับมา ไปล่ะครับคุณราอูล...”
“ค่ะคุณเตชิน” ร่างเล็กด้านหลังยิ้มรับอ่อนหวานตอบรับ
“......” ราอูลพยายามสงบสติอารมณ์ มนุษย์ผู้นี้ต้องการยั่วให้เขาโมโห
เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มผู้นั้นเดินออกไปสุดสายตาแล้ว ดวงตาคมคายกลับมองมาทางหญิงสาวเรียบนิ่ง เธอรู้ดี เขาใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีเรียกได้ว่าเกือบคลุ้มคลั่ง
“อะไรกันคะ ดารินทร์แค่ทำตามหน้าที่นะคะนายน้อย”
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร”
“นายน้อยจะไปไหนต่อคะ” เธอมองนาฬิกาข้อมือบ่งบอกเวลา นี่มันก็ล่วงเลยเวลาเลิกงานแล้ว เธอรวบรวมกองแฟ้มเอกสารที่มนุษย์หนุ่มผู้นั้นส่งมอบให้เธอเก็บกลับบ้าน หวังช่วยสืบหาข้อมูลไม่มากก็น้อย
“ทำไมจะวิ่งแจ้นไปคลับไอฟาร์อูลอีกหรอ” ราอูลแดกดันหญิงสาว อารมณ์หึงหวงก่อตัวจนเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่
“วันนี้ไม่แต่วันอื่นก็ไม่แน่นะคะ...” ดารินทร์เอ่ยเสียงหวาน ก็ดูคำพูดคำจาของเขาสิ มันน่าไหมล่ะ...
“อย่ายั่วโมโหฉันถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว ซาดิสท์ชอบหาเรื่องใส่ตัว”
“ก็ประเภทเดียวกับนายน้อยนะคะ ไม่งั้นเราคงเข้ากันไม่ได้หรอกนะคะว่าไหม“ หญิงสาวกรีดยิ้มร้ายร้อนแรงยั่วยวนชายหนุ่มอีกครั้ง
“สาบานว่าเธอยังอยากกลับบ้าน ถ้าไม่ฉันจะได้จัดเธอตอนนี้เลย” ชายหนุ่มร่างสูงยกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ ทำเอาหญิงสาวถอยถดออกห่างเล็กน้อย
“ดารินทร์อยากกลับบ้านมากกว่าค่ะ เดี๋ยวต้องไปคุยรายละเอียดคดีพวกนี้กับพี่ฟาร์อูลอีก”
“คุยกับฉันก็ได้ทำไมต้องเป็นมัน”
“คุยกับนายน้อย? แน่ใจนะคะว่าแค่คุยไม่ใช่อย่างอื่น” เธอหรี่สายตามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดูเหมือนสถานการณ์ระหว่างเธอและเขาจะผ่อนปรนลง ไม่ตึงเครียดเหมือนก่อน วิธีของเธอเปลืองตัวยิ่งนักกว่าจะควบคุมเขาได้
“อย่ายั่วฉันก็พอเธอก็รู้ฉันไม่ใช่พวกที่มีความอดทนสูง” เขาปรามเธอ ทุกอากัปกิริยาของหญิงสาวเพียงเล็กน้อยก็สามารถกระตุ้นเพลิงร้อนในกายเขาให้ลุกโชนพร้อมแผดเผาพวกเขาทั้งคู่ได้ทุกเมื่อ
ดารินทร์ในตอนนี้ไม่ใช่หญิงสาวเผ่ามนุษย์ที่พึ่งกลายพันธุ์เป็นแวมไพร์สุดแสนจะอ่อนแอ ที่ยอมให้เขาข่มเหงรังแกเหมือนเดิม เธอในตอนนี้ฉลาด สู้คน เย่อหยิ่ง และแถมยั่วยวนเก่งเป็นที่หนึ่ง ขณะเดียวกันบางเวลาก็ออดอ้อนเอาใจเขาจนสามารถควบคุมเขาให้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เชื่อฟังเธอ
แม้จะรู้เช่นนี้เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย...
เพียงเธอเอื้อนเอ่ยเขาก็พร้อมตอบรับคำสั่งของเธอ...
อีกใจหนึ่งก็ยังทำท่าแข็งขืนต่อหญิงสาวไม่ให้เธอรู้...
“ดารินทร์ยังไม่ได้ยั่วนายน้อยเลยนะคะ” เธอแสร้งทำหน้าไร้เดียงสา ริมฝีปากกระตุกยิ้มมองดวงตาคมคายที่หลุบมองทางอื่น
“คืนนี้เธอเจอหนักแน่”
“อุ๊ย...คืนนี้นายน้อยจะมาหาดารินทร์ถึงที่เลยหรอคะ อดใจแทบไม่ไหว” ร่างเล็กเดินตรงไปหาชายหนุ่ม ศรีษระเล็กซบลงบนแผกอกแน่น สองแขนเรียววางทาบบนหัวไหล่หนาของเขา กลิ่นกายสปอร์ตแตะจมูกโด่งรั้น
ฉันจะล็อคประตูสาบาน!
จะว่าไปเขาก็ตัวหอมเหมือนกันนะเนี่ย...
“ยัยโรคจิต...” ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วแน่น วันสองวันมานี้เธอเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ใช่ว่าเขาไม่ชอบแต่มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกหึงหวง หากเธอทำแบบนี้กับใคร
“ยินดีรับคำชมค่ะนายน้อย”
ฟาร์อูลชะงักนิ่งเมื่อเห็นสองร่างเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมเพรียงกัน ครั้งนี้ไอน้องชายฝาแฝดเดินตามหลังดารินทร์ ไร้ทีท่ากระฟัดกระเฟียดเหมือนดังทุกครั้ง
“สงบศึกกันแล้วหรอสองคนนี้” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามน้องสองคน
“ดูเหมือนศึกที่ผ่านมาจะเป็น เขา ฝ่ายเดียวมากกว่านะคะพี่ฟาร์อูล” เธอตอบพลันวางกองแฟ้มเอกสารคดีฆาตกรรมลงเบื้องหน้าเขา
“ยัยเลือดผสมฉันได้ยิน!” ในเวลานี้เธอก็กล้าที่จะหักหน้าเขาต่อหน้าไอพี่เวร
“ดูเหมือนจะเบาลงเยอะนะ” ฟาร์อูลยิ้มเล็กน้อย
‘แต่ฉันก็แลกอะไรมาเยอะนะคะพี่ฟาร์อูล’ เธอคิดในใจ
“ค่ะ...”
“ไปกินข้าวกันเถอะพี่หิวแล้วเดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนี้ไปพลางๆระหว่างกินก็แล้วกัน” ฟาร์อูลมองแฟ้มเอกสารเบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจ
“ได้ค่ะ”
บนโต๊ะอาหารคือเหล่าเมนูอาหารของพวกมนุษย์ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้แวมไพร์สามารถรับประทานได้โดยไม่มีอาการอย่างอาเจียน ฝีมือแม่ครัวคนเก่าคนแก่ของตระกูลยังรสดีเหมือนเดิม
“พี่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะเข้าไปหาน้องวันนี้ ขอโทษด้วยละกันที่ไม่บอกล่วงหน้า” ฟาร์อูลเอ่ย มือหนาตัดแฮมเบิร์กชิ้นสดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่”
“แล้วช่วงนี้งานที่บริษัทเป็นไง”
“ราบรื่นดีค่ะ พี่ฟาร์อูลไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ”
“แล้วทำไมมึงถึงไปจัดการคนของตระกูลเอเธอนอลเมื่อวันก่อน” เขาถามน้องชายฝาแฝด เมื่อสายรายงานว่าราอูลนำแวมไพร์ฝีมือดีกลุ่มหนึ่งเข้าไปโจมตีนายน้อยพร้อมพวกของตระกูลเอเธอนอล
“......” เธอเงียบปล่อยให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายพูดเอง เธอเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน พึ่งจะรู้ก็ตอนนี้
“เรื่องของกู ไม่ต้องเสือก กูจัดการได้”
“แต่มึงเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสงบของสองตระกูล มึงทำอะไรตามอารมณ์แบบนี้ ขืนอีกฝั่งเอาเรื่องขึ้นมาจะไม่เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่หรือ...” ฟาร์อูลใช้เหตุผลเสมอในการกระทำสิ่งใด คำนึงถึงผลที่ตามมาเสมอ ทว่าราอูลกลับตรงข้ามเขาเสียทุกอย่าง เขามุทะลุ เลือดร้อน และกระหายการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ
“กูทำอะไรไม่เคยลากตระกูลเข้าไปเดือดร้อนด้วย” ราอูลเอ่ยเสียงแข็ง
“แต่มึงใช้คนของตระกูล!”
“นั่นมันคนของกู กูฝึกพวกมันมาเองกับมือ มึงอย่าทึกทักว่าคนพวกนั้นเป็นคนของมึง!!!” ราอูลตะคอกเสียงดังลั่น เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกใช้งานคนของเขาเชียวหรือ... พวกนั้นมันติดตามเขามาตั้งกี่ปี เขาสูญเสียพลังแรงในการฝึกพวกมันตั้งเท่าไหร่ ใครจะรู้เท่าเขา ที่ตระกูลเวนส์เวิร์ธมีกองกำลังแวมไพร์ฝีมือดีนับหมื่นคน ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ
“......” ฝ่าเท้าเรียวเอื้อมไปไล่สัมผัสแก่นกายภายใต้กางเกงสีดำ ยามที่เขาใกล้จะอาละวาด วิธีนี้คงเปรียบเสมือนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
ได้ผลราอูลสงบลงเล็กน้อยสีหน้าสับสนมองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“มึงคือนายน้อยตระกูลเอนส์เวิร์ธจำใส่สมองของมึงด้วย อย่าพาลหาเรื่องเดือดร้อนให้ทุกคนในตระกูลก่อนที่ท่านพ่อท่านแม่จะตื่น!”
“......” ดารินทร์ยังคงใช้ปลายเท้าลูบไล้แก่นกายตัวเขื่องที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ดวงตากลมโตเลิกคิ้วหยอกเย้าชายหนุ่มที่นั่งตรงข้าม โดยที่ฟาร์อูลผู้นั่งบริเวณหัวโต๊ะไม่ทันสังเกตุว่าใต้โต๊ะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
‘มันใช่เวลาไหมดารินทร์!’ เขาต้องมาสะกดกลั้นอารมณ์ในเวลาแบบนี้
“ทำไมมึงไม่ตอบ เป็นใบ้แดกหรอ!” ฟาร์อูลวางช้อนส้อมลงบนจานอาหาร เขาเริ่มจะไม่อร่อยกับอาหารมื้อนี้เสียแล้ว
“เออ!”
“เอออะไร!” ฟาร์อูลถาม
“มึงพูดเรื่องอะไรก็เรื่องนั้นแหละ”
“เออเข้าใจก็ดี แม่งกว่าจะเข้าใจ! กูไม่ดงไม่แดกมันละ น้องพี่ขอตัวก่อนนะเห็นหน้ามันแล้วพี่กระเดือกไม่ลง” จบประโยคฟาร์อูลเดินสะบัดหน้าออกไปจากห้องรับประทานอาหาร กระแทกฝีเท้าตามแรงอารมณ์ขุ่นเคือง พี่น้องสองคนนี้ไม่เคยจะคุยกันดีๆได้เกินสามประโยค เป็นอันต้องทะเลาะกัน ทุกคนภายในบ้านชินตากับเหตุการณ์นี้ดี
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำดันเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะเร็วแรง เดินปราดไปกระชากเรียวแขนเล็กให้เดินตาม หวังจะระบายความคับแน่นของตรงกลางเป้ากางเกงที่มันอัดอั้นจนปวดตุบด้วยฝีมือเธอให้สาสมใจ ทว่ากลับมีสาวใช้แวมไพร์คนสนิทของเธอมาห้ามปรามเสียก่อน
“นายน้อยอย่าทำร้ายดารินทร์อีกเลยนะคะ รอบก่อนเธอก็เจ็บเกือบตาย” อาหลินเอ่ยทักท้วงผู้เป็นนาย เธอคิดว่ารอบนี้นายน้อยคงจะทำร้ายร่างกายหญิงสาวอีกหน หวังระบายอารมณ์เป็นแน่
“หลีกไปอาหลิน ก่อนฉันจะหักคอเธอ” ราอูลกัดฟันกรอด ช่างประจวบเหมาะมาขัดจังหวะเขาเสียจริง
“ไม่หลีกค่ะ ยังไงรอบนี้หลินก็ไม่มีทางปล่อยให้นายน้อยรังแกดารินทร์อีกแน่ๆค่ะ ปล่อยนะคะ ไม่งั้นหนูจะไปฟ้องนายน้อยฟาร์อูล”
“......” หญิงสาวมองภาพเบื้องหน้า เธอกลั้นขำ ใครใช้ให้เมื่อก่อนเขาร้ายกาจใส่เธอนักเล่า กรรมตามสนอง...
“อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะอาหลิน หลีกไป!”
“ไม่ค่ะ! ถ้าไม่ปล่อยจะไปฟ้องจริงๆนะคะ” อาหลินขู่ฟ่อ เธอยืดอกปกป้องเพื่อนคนเดียวภายในบ้านหลังนี้อย่างใจแข็ง
“อาหลิน!” ราอูลผละออกทำท่าจะทำร้ายอาหลินจริงดั่งคำขู่ มือเล็กรีบฉุดรั้งเอวสอบแทบไม่ทัน
“คืนนี้รอพี่ฟาร์อูลหลับก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวดารินทร์จะเข้าไปหาที่ห้อง” หญิงสาวกระซิบแผ่วเบา ขืนปล่อยไปแบบอารมณ์คั่งค้างเช่นนี้ คงได้โวยวายยกใหญ่
“ฝากไว้ก่อนเถอะอาหลิน!” เขายอมลงว่าง่ายตามคำนั้น ก่อนเดินตรงขึ้นไปบนห้องท่ามกลางสายตาของบรรดาสาวรับใช้ที่คอยสังเกตุการณ์ หากเขาฝืนลากเธอขึ้นมาเรื่องนี้คงถึงหูไอ้ฟาร์อูลในไม่ช้า
“ค่านายน้อย”
“เธอก็ช่างใจกล้าไม่กลัวเขาหักคอเลยหรือยังไง” ดารินทร์ส่ายหน้าเอือมระอาเล็กน้อย
“ไม่กลัวหรอก กลัวเธอตายมากกว่า”
“ขอบคุณนะจ๊ะอาหลิน”
“ไม่เป็นไรฉันสงสารเธอ เห็นเธอเจ็บตัวมาเยอะแล้ว”
“......” ดารินทร์กลั้นหัวเราะอีกรอบในความใจกล้าบ้าบิ่นของเพื่อนสาว