ตอนที่10

2613 Words
ตอนที่ 10 หน่วยราชการลับ 2 หัวหน้าหน่วยราชการลับนั่งลงบนโซฟารับแขก เขาชะงักนิ่งจ้องมองดวงหน้างามหยดย้อยของดารินทร์อย่างล่วงเกิน มีแวมไพร์สวยถึงเพียงนี้เลยหรือ... เขานึก ภายในห้องทำงานสีขาวนวลอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้สดที่ปักลงบนแจกัน หญิงสาวนั่งบริเวณโต๊ะทำงานประจำของเธอ ทางด้านราอูลถือวิสาสะนั่งพิงโต๊ะทำงานกอดอกจ้องชายหนุ่มผิวคร้ามแดดตาเขม็ง “มีอะไรก็พูดมาจ้องหน้ายัยนี่อยู่ได้” ราอูลเอ่ยเสียงเเข็งฉุดเรียกชายหนุ่มเผ่ามนุษย์หลุดจากภวังค์ “สวัสดีครับผมเตชิน หัวหน้าหน่วยราชการลับสังกัดกองกำลังพิเศษ ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณฟาร์อูลอนุญาตให้ผมสืบเบาะแสหาตัวผู้กระทำความผิดฝ่าฝืนกฎอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และแวมไพร์ร่วมกับคุณดารินทร์ครับ” “พี่ฟาร์อูลน่ะหรอคะ ฉันยังไม่ได้คุยกับแกเลยน่ะ” “ไม่เป็นไรครับ นี่เอกสารรายงานข้อมูลคดีฆาตกรรมผู้ตายที่ตายผิดธรรมชาติ” เตชินส่งมอบเอกสารสำคัญกองใหญ่วางลงบนโต๊ะทำงานของหญิงสาว ร่างเล็กไล่เปิดเอกสารสำคัญตรงหน้า เธอไล่อ่านทีละหน้าอย่างตั้งใจ สีหน้าของเธอสลดลงเห็นได้ชัด สภาพศพของผู้ตายแต่ละคนช่างน่าสงสารเวทนา บางศพเรียกได้ว่าแทบจะไม่หลงเหลือเลือดภายในร่างกายแม้หยดเดียว “หากเผ่าแวมไพร์เป็นผู้กระทำจริงตามร่างกายผู้เสียชีวิตก็จะต้องมีกลิ่นอายของแวมไพร์ตนนั้นนี่คะ” เธอปิดแฟ้มเอกสารลง ก่อนจะเงยหน้าจ้องมองมนุษย์ผู้นี้ “แต่ใช้ไม่ได้กับคดีเหล่านี้ครับ มันฉลาด หลังจากก่อเหตุมันใช้กลิ่นหญ้าสะวันนากลบกลิ่นกายซ่อนเร้นกลิ่นอายของมัน” “หญ้าสะวันนา...” ใบหน้าสวยเคลือบแคลงชื่อของพืชชนิดนี้ มันคือพืชอะไรกันถึงได้มีฤทธิ์เดชกลบกลิ่นอายของเผ่าแวมไพร์ได้ “ยัยโง่...” ราอูลพูดเสียงแผ่วเบาราวกับต้องการให้ได้ยินเพียงเขาเเละเธอ “หญ้าสะวันนาหนึ่งในสมุนไพรโบราณหายากของเหล่าเเวมไพร์ มีสรรพคุณช่วยซ่อนเร้นอำพรางกายและกลิ่นแวมไพร์ในยามคับขัน หากใช้เกินปริมาณจะทำให้แวมไพร์ตนนั้นสูญเสียสติสัมปัชชัญญะกลายเป็นกูลล์” ราอูลอธิบายให้เธอแจ่มแจ้ง “กูลล์เป็นเผ่าพันธุ์ต่ำช้า ไร้ความรู้สึกนึกคิดควบคุมได้ยากที่แม้แต่เราก็ต้องกำจัด” แวมไพร์หนุ่มพูดน้ำเสียงหนักใจ กูลล์คือแวมไพร์ที่กลายร่างเป็นสัตว์ มีลักษณะคล้ายค้างคาวมี 5 ขา ดวงตาสีดำสนิท ลำตัวมีขนยาวสีน้ำตาล ที่ดื่มกินแม้กระทั่งเลือดจากซากสัตว์ ดุร้าย คลุ้มคลั่ง โจมตีทั้งแวมไพร์และนอกเผ่าพันธุ์ “แต่เท่าที่ข้อมูลของทางหน่วยบันทึกข้อมูล พวกกูลล์ไม่ปรากฎตัวมาหลายสิบปีแล้ว แต่มันพึ่งกลับมาไม่นานมานี้” “ตระกูลเรามีหญ้าตัวนี้ด้วยหรอคะ” เธอเอ่ยถามกลับ “ย่อมมี และไม่ใช่แค่เราที่มีหากแต่ท่านพ่อท่านแม่เป็นผู้เก็บรักษาสมุนไพรเหล่านั้นเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้มัน ในเวลานี้ทั้งสองเข้าสู่สภาวะจำศีลย่อมไม่มีทางที่สมุนไพรจะตกไปอยู่ในมือแวมไพร์นอกรีต” แวมไพร์นอกรีตคือแวมไพร์ที่ไม่มีตระกูลคอยควบคุมดูแล พวกมันเปรียบเสมือนขอทานและกองโจรที่คอยปล้นเสบียงเหล่าแวมไพร์ด้วยกัน “ดังนั้นเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ผมจะขอสอดแนมดูคนในตระกูลของคุณอย่างเงียบๆ และหวังว่าคุณดารินทร์จะให้ความช่วยเหลือนะครับ” เตชินกล่าว “งั้นก็แสดงว่านายสงสัยตระกูลของฉัน” ราอูลยิ้มเยาะ “ไม่ใช่แค่ตระกูลเอนส์เวิร์ธครับ ตระกูลเอเธอนอลก็ถูกตรวจสอบเฉกเช่นเดียวกันครับ” มนุษย์หนุ่มบอกเขาตามความจริง ขณะนี้พนักงานแทบทั้งหน่วยทำงานหามรุ่งหามค่ำเร่งหาตัวคนร้าย รัฐบาลกดดันด้วยคำขู่จะยุบหน่วยงานราชการลับของเขา หากภายใน 15 วันยังจัดการผู้กระทำผิดไม่ได้ “ฉันยินดีให้ความช่วยเหลือคุณเตชินในการสืบสวนครั้งนี้ หากต้องการความช่วยเหลือติดต่อเบอร์โทรนี้ได้เลยค่ะ” ดารินทร์มอบนามบัตรสีหวานยื่นให้มนุษย์หนุ่ม “เอาเบอร์ฉันแทน” ราอูลทำท่าจะคว้านามบัตรสีหวานกลับคืน มือหนาของอีกฝ่ายกลับไวกว่ารีบเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงด้วยสีหน้าของผู้ชนะ “ไม่เป็นไรครับ คุณฟาร์อูลให้ผมติดต่อกับคุณดารินทร์” ‘หน๊อย...ไอหมอนี่มันกวนโอ๊ย’ ราอูลกัดฟันกรอด ใบหน้าไม่สบอารมณ์ เตชินจับความรู้สึกที่แฝงออกมาจากสีหน้าของแวมไพร์หนุ่มได้จึงได้โอกาสกล่าวลา “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับคุณดารินทร์ ไว้ผมจะติดต่อกลับมา ไปล่ะครับคุณราอูล...” “ค่ะคุณเตชิน” ร่างเล็กด้านหลังยิ้มรับอ่อนหวานตอบรับ “......” ราอูลพยายามสงบสติอารมณ์ มนุษย์ผู้นี้ต้องการยั่วให้เขาโมโห เมื่อเห็นว่ามนุษย์หนุ่มผู้นั้นเดินออกไปสุดสายตาแล้ว ดวงตาคมคายกลับมองมาทางหญิงสาวเรียบนิ่ง เธอรู้ดี เขาใกล้จะหมดความอดทนเต็มทีเรียกได้ว่าเกือบคลุ้มคลั่ง “อะไรกันคะ ดารินทร์แค่ทำตามหน้าที่นะคะนายน้อย” “ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร” “นายน้อยจะไปไหนต่อคะ” เธอมองนาฬิกาข้อมือบ่งบอกเวลา นี่มันก็ล่วงเลยเวลาเลิกงานแล้ว เธอรวบรวมกองแฟ้มเอกสารที่มนุษย์หนุ่มผู้นั้นส่งมอบให้เธอเก็บกลับบ้าน หวังช่วยสืบหาข้อมูลไม่มากก็น้อย “ทำไมจะวิ่งแจ้นไปคลับไอฟาร์อูลอีกหรอ” ราอูลแดกดันหญิงสาว อารมณ์หึงหวงก่อตัวจนเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่ “วันนี้ไม่แต่วันอื่นก็ไม่แน่นะคะ...” ดารินทร์เอ่ยเสียงหวาน ก็ดูคำพูดคำจาของเขาสิ มันน่าไหมล่ะ... “อย่ายั่วโมโหฉันถ้ายังไม่อยากเจ็บตัว ซาดิสท์ชอบหาเรื่องใส่ตัว” “ก็ประเภทเดียวกับนายน้อยนะคะ ไม่งั้นเราคงเข้ากันไม่ได้หรอกนะคะว่าไหม“ หญิงสาวกรีดยิ้มร้ายร้อนแรงยั่วยวนชายหนุ่มอีกครั้ง “สาบานว่าเธอยังอยากกลับบ้าน ถ้าไม่ฉันจะได้จัดเธอตอนนี้เลย” ชายหนุ่มร่างสูงยกยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ ทำเอาหญิงสาวถอยถดออกห่างเล็กน้อย “ดารินทร์อยากกลับบ้านมากกว่าค่ะ เดี๋ยวต้องไปคุยรายละเอียดคดีพวกนี้กับพี่ฟาร์อูลอีก” “คุยกับฉันก็ได้ทำไมต้องเป็นมัน” “คุยกับนายน้อย? แน่ใจนะคะว่าแค่คุยไม่ใช่อย่างอื่น” เธอหรี่สายตามองเขาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ดูเหมือนสถานการณ์ระหว่างเธอและเขาจะผ่อนปรนลง ไม่ตึงเครียดเหมือนก่อน วิธีของเธอเปลืองตัวยิ่งนักกว่าจะควบคุมเขาได้ “อย่ายั่วฉันก็พอเธอก็รู้ฉันไม่ใช่พวกที่มีความอดทนสูง” เขาปรามเธอ ทุกอากัปกิริยาของหญิงสาวเพียงเล็กน้อยก็สามารถกระตุ้นเพลิงร้อนในกายเขาให้ลุกโชนพร้อมแผดเผาพวกเขาทั้งคู่ได้ทุกเมื่อ ดารินทร์ในตอนนี้ไม่ใช่หญิงสาวเผ่ามนุษย์ที่พึ่งกลายพันธุ์เป็นแวมไพร์สุดแสนจะอ่อนแอ ที่ยอมให้เขาข่มเหงรังแกเหมือนเดิม เธอในตอนนี้ฉลาด สู้คน เย่อหยิ่ง และแถมยั่วยวนเก่งเป็นที่หนึ่ง ขณะเดียวกันบางเวลาก็ออดอ้อนเอาใจเขาจนสามารถควบคุมเขาให้กลายเป็นลูกไก่ในกำมือ เชื่อฟังเธอ แม้จะรู้เช่นนี้เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย... เพียงเธอเอื้อนเอ่ยเขาก็พร้อมตอบรับคำสั่งของเธอ... อีกใจหนึ่งก็ยังทำท่าแข็งขืนต่อหญิงสาวไม่ให้เธอรู้... “ดารินทร์ยังไม่ได้ยั่วนายน้อยเลยนะคะ” เธอแสร้งทำหน้าไร้เดียงสา ริมฝีปากกระตุกยิ้มมองดวงตาคมคายที่หลุบมองทางอื่น “คืนนี้เธอเจอหนักแน่” “อุ๊ย...คืนนี้นายน้อยจะมาหาดารินทร์ถึงที่เลยหรอคะ อดใจแทบไม่ไหว” ร่างเล็กเดินตรงไปหาชายหนุ่ม ศรีษระเล็กซบลงบนแผกอกแน่น สองแขนเรียววางทาบบนหัวไหล่หนาของเขา กลิ่นกายสปอร์ตแตะจมูกโด่งรั้น ฉันจะล็อคประตูสาบาน! จะว่าไปเขาก็ตัวหอมเหมือนกันนะเนี่ย... “ยัยโรคจิต...” ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้วแน่น วันสองวันมานี้เธอเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ใช่ว่าเขาไม่ชอบแต่มันทำให้เขาเกิดความรู้สึกหึงหวง หากเธอทำแบบนี้กับใคร “ยินดีรับคำชมค่ะนายน้อย” ฟาร์อูลชะงักนิ่งเมื่อเห็นสองร่างเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมเพรียงกัน ครั้งนี้ไอน้องชายฝาแฝดเดินตามหลังดารินทร์ ไร้ทีท่ากระฟัดกระเฟียดเหมือนดังทุกครั้ง “สงบศึกกันแล้วหรอสองคนนี้” ผู้เป็นพี่เอ่ยถามน้องสองคน “ดูเหมือนศึกที่ผ่านมาจะเป็น เขา ฝ่ายเดียวมากกว่านะคะพี่ฟาร์อูล” เธอตอบพลันวางกองแฟ้มเอกสารคดีฆาตกรรมลงเบื้องหน้าเขา “ยัยเลือดผสมฉันได้ยิน!” ในเวลานี้เธอก็กล้าที่จะหักหน้าเขาต่อหน้าไอพี่เวร “ดูเหมือนจะเบาลงเยอะนะ” ฟาร์อูลยิ้มเล็กน้อย ‘แต่ฉันก็แลกอะไรมาเยอะนะคะพี่ฟาร์อูล’ เธอคิดในใจ “ค่ะ...” “ไปกินข้าวกันเถอะพี่หิวแล้วเดี๋ยวค่อยคุยเรื่องนี้ไปพลางๆระหว่างกินก็แล้วกัน” ฟาร์อูลมองแฟ้มเอกสารเบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจ “ได้ค่ะ” บนโต๊ะอาหารคือเหล่าเมนูอาหารของพวกมนุษย์ที่ถูกปรับเปลี่ยนให้แวมไพร์สามารถรับประทานได้โดยไม่มีอาการอย่างอาเจียน ฝีมือแม่ครัวคนเก่าคนแก่ของตระกูลยังรสดีเหมือนเดิม “พี่ไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นจะเข้าไปหาน้องวันนี้ ขอโทษด้วยละกันที่ไม่บอกล่วงหน้า” ฟาร์อูลเอ่ย มือหนาตัดแฮมเบิร์กชิ้นสดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย “ไม่เป็นไรค่ะพี่” “แล้วช่วงนี้งานที่บริษัทเป็นไง” “ราบรื่นดีค่ะ พี่ฟาร์อูลไม่ต้องเป็นกังวลนะคะ” “แล้วทำไมมึงถึงไปจัดการคนของตระกูลเอเธอนอลเมื่อวันก่อน” เขาถามน้องชายฝาแฝด เมื่อสายรายงานว่าราอูลนำแวมไพร์ฝีมือดีกลุ่มหนึ่งเข้าไปโจมตีนายน้อยพร้อมพวกของตระกูลเอเธอนอล “......” เธอเงียบปล่อยให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายพูดเอง เธอเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้เช่นกัน พึ่งจะรู้ก็ตอนนี้ “เรื่องของกู ไม่ต้องเสือก กูจัดการได้” “แต่มึงเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสงบของสองตระกูล มึงทำอะไรตามอารมณ์แบบนี้ ขืนอีกฝั่งเอาเรื่องขึ้นมาจะไม่เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่หรือ...” ฟาร์อูลใช้เหตุผลเสมอในการกระทำสิ่งใด คำนึงถึงผลที่ตามมาเสมอ ทว่าราอูลกลับตรงข้ามเขาเสียทุกอย่าง เขามุทะลุ เลือดร้อน และกระหายการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ “กูทำอะไรไม่เคยลากตระกูลเข้าไปเดือดร้อนด้วย” ราอูลเอ่ยเสียงแข็ง “แต่มึงใช้คนของตระกูล!” “นั่นมันคนของกู กูฝึกพวกมันมาเองกับมือ มึงอย่าทึกทักว่าคนพวกนั้นเป็นคนของมึง!!!” ราอูลตะคอกเสียงดังลั่น เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกใช้งานคนของเขาเชียวหรือ... พวกนั้นมันติดตามเขามาตั้งกี่ปี เขาสูญเสียพลังแรงในการฝึกพวกมันตั้งเท่าไหร่ ใครจะรู้เท่าเขา ที่ตระกูลเวนส์เวิร์ธมีกองกำลังแวมไพร์ฝีมือดีนับหมื่นคน ไม่ใช่เพราะเขาหรอกหรือ “......” ฝ่าเท้าเรียวเอื้อมไปไล่สัมผัสแก่นกายภายใต้กางเกงสีดำ ยามที่เขาใกล้จะอาละวาด วิธีนี้คงเปรียบเสมือนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ได้ผลราอูลสงบลงเล็กน้อยสีหน้าสับสนมองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “มึงคือนายน้อยตระกูลเอนส์เวิร์ธจำใส่สมองของมึงด้วย อย่าพาลหาเรื่องเดือดร้อนให้ทุกคนในตระกูลก่อนที่ท่านพ่อท่านแม่จะตื่น!” “......” ดารินทร์ยังคงใช้ปลายเท้าลูบไล้แก่นกายตัวเขื่องที่เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ดวงตากลมโตเลิกคิ้วหยอกเย้าชายหนุ่มที่นั่งตรงข้าม โดยที่ฟาร์อูลผู้นั่งบริเวณหัวโต๊ะไม่ทันสังเกตุว่าใต้โต๊ะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ‘มันใช่เวลาไหมดารินทร์!’ เขาต้องมาสะกดกลั้นอารมณ์ในเวลาแบบนี้ “ทำไมมึงไม่ตอบ เป็นใบ้แดกหรอ!” ฟาร์อูลวางช้อนส้อมลงบนจานอาหาร เขาเริ่มจะไม่อร่อยกับอาหารมื้อนี้เสียแล้ว “เออ!” “เอออะไร!” ฟาร์อูลถาม “มึงพูดเรื่องอะไรก็เรื่องนั้นแหละ” “เออเข้าใจก็ดี แม่งกว่าจะเข้าใจ! กูไม่ดงไม่แดกมันละ น้องพี่ขอตัวก่อนนะเห็นหน้ามันแล้วพี่กระเดือกไม่ลง” จบประโยคฟาร์อูลเดินสะบัดหน้าออกไปจากห้องรับประทานอาหาร กระแทกฝีเท้าตามแรงอารมณ์ขุ่นเคือง พี่น้องสองคนนี้ไม่เคยจะคุยกันดีๆได้เกินสามประโยค เป็นอันต้องทะเลาะกัน ทุกคนภายในบ้านชินตากับเหตุการณ์นี้ดี ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำดันเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะเร็วแรง เดินปราดไปกระชากเรียวแขนเล็กให้เดินตาม หวังจะระบายความคับแน่นของตรงกลางเป้ากางเกงที่มันอัดอั้นจนปวดตุบด้วยฝีมือเธอให้สาสมใจ ทว่ากลับมีสาวใช้แวมไพร์คนสนิทของเธอมาห้ามปรามเสียก่อน “นายน้อยอย่าทำร้ายดารินทร์อีกเลยนะคะ รอบก่อนเธอก็เจ็บเกือบตาย” อาหลินเอ่ยทักท้วงผู้เป็นนาย เธอคิดว่ารอบนี้นายน้อยคงจะทำร้ายร่างกายหญิงสาวอีกหน หวังระบายอารมณ์เป็นแน่ “หลีกไปอาหลิน ก่อนฉันจะหักคอเธอ” ราอูลกัดฟันกรอด ช่างประจวบเหมาะมาขัดจังหวะเขาเสียจริง “ไม่หลีกค่ะ ยังไงรอบนี้หลินก็ไม่มีทางปล่อยให้นายน้อยรังแกดารินทร์อีกแน่ๆค่ะ ปล่อยนะคะ ไม่งั้นหนูจะไปฟ้องนายน้อยฟาร์อูล” “......” หญิงสาวมองภาพเบื้องหน้า เธอกลั้นขำ ใครใช้ให้เมื่อก่อนเขาร้ายกาจใส่เธอนักเล่า กรรมตามสนอง... “อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะอาหลิน หลีกไป!” “ไม่ค่ะ! ถ้าไม่ปล่อยจะไปฟ้องจริงๆนะคะ” อาหลินขู่ฟ่อ เธอยืดอกปกป้องเพื่อนคนเดียวภายในบ้านหลังนี้อย่างใจแข็ง “อาหลิน!” ราอูลผละออกทำท่าจะทำร้ายอาหลินจริงดั่งคำขู่ มือเล็กรีบฉุดรั้งเอวสอบแทบไม่ทัน “คืนนี้รอพี่ฟาร์อูลหลับก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวดารินทร์จะเข้าไปหาที่ห้อง” หญิงสาวกระซิบแผ่วเบา ขืนปล่อยไปแบบอารมณ์คั่งค้างเช่นนี้ คงได้โวยวายยกใหญ่ “ฝากไว้ก่อนเถอะอาหลิน!” เขายอมลงว่าง่ายตามคำนั้น ก่อนเดินตรงขึ้นไปบนห้องท่ามกลางสายตาของบรรดาสาวรับใช้ที่คอยสังเกตุการณ์ หากเขาฝืนลากเธอขึ้นมาเรื่องนี้คงถึงหูไอ้ฟาร์อูลในไม่ช้า “ค่านายน้อย” “เธอก็ช่างใจกล้าไม่กลัวเขาหักคอเลยหรือยังไง” ดารินทร์ส่ายหน้าเอือมระอาเล็กน้อย “ไม่กลัวหรอก กลัวเธอตายมากกว่า” “ขอบคุณนะจ๊ะอาหลิน” “ไม่เป็นไรฉันสงสารเธอ เห็นเธอเจ็บตัวมาเยอะแล้ว” “......” ดารินทร์กลั้นหัวเราะอีกรอบในความใจกล้าบ้าบิ่นของเพื่อนสาว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD