วันนี้ก็เป็นเหมือนทุกๆ วัน ยามที่ฉันมามอก็จะมีบรรดาผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้ามาคุยกับฉัน มาทักทายฉัน บางคนนี่ถึงกับพยายามที่จะเข้ามาทาบทามขอฉันไปออกเดทเลยด้วยซ้ำ แต่ไอรีนก็คือไอรีน ฉันไม่เคยรับปากหรือรับคำชวนใดๆ คนพวกนั้นจึงถูกฉันปฎิเสธอย่างไร้เหยื่อใย
ไม่ใช่เพราะว่าหยิ่งหรืออะไรหรอกนะ แต่ฉันแค่รู้สึกรำคานน่ะ แต่ละวันไม่คิดจะทำอะไร นอกจากเที่ยวหลีสาวผลาญเงินพ่อแม่อย่างเดียว น่าสมเพชที่สุด!
“สักครั้งเถอะนะครับน้องไอรีน พี่รอที่จะออกเดทกับน้องไม่ไหวแล้วนะครับ พี่ชอบน้องมากเลยนะครับน้องไอรีน” เสียงอ้อนวอนของผู้ชายหน้าตาหล่อเหลา ภาพที่เขาก้มลงคุกเข่าทำราวกับว่ากำลังจะขอฉันแต่งงานนั้นส่งผลให้ใครต่อใครต่างพากันจ้องมอง
ให้ตายเถอะ! ทำไมอีตานี่ต้องมาทำท่าทางให้ฉันลำบากใจด้วยเนี่ย โอ๊ย! ชีวิต
“ลุกขึ้นเถอะค่ะพี่ อย่าทำแบบนี้ค่ะ” ฉันบอกอย่างใจเย็น พยายามฝืนยิ้มเล็กน้อยให้กับเขา
“ขอเถอะครับ พี่ชอบน้องมาก ชอบมากจนจะเป็นบ้าอยู่แล้วครับ” ดราม่าหนักเข้าไปอีก เมื่อพ่อหนุ่มรูปงามเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ
“พี่คะ ลุกขึ้นเถอะค่ะ หนูขอนะคะ” ฉันบอกพลางจับที่หัวไหล่หนา พยายามที่จะดึงร่างสูงให้ลุกขึ้นยืน แต่เจ้าบ้านี่ก็เอาแต่พร่ำเพ้อพรรณนาไม่ยอมลุกท่าเดียว นี่ฉันเริ่มจะหงุดหงิดแล้วนะ
“ไม่! พี่จะไม่ลุกไปไหนทั้งนั้นจนกว่าน้องไอรีนจะยอมออกเดทกับพี่” เขาว่าเสียงดังลั่น นี่กลัวคนอื่นไม่ได้ยินใช่ไหมถึงได้แหกปากซะขนาดนี้
“พี่คะ ถ้าพี่ไม่ลุกขึ้นหนูจะไม่สนใจพี่แล้วนะคะ”
ฉันขึ้นเสียงบ้าง ให้มันรู้กันไปเลยว่าฉันก็เริ่มโมโหแล้วเช่นกัน ผู้ชายบ้าอะไรผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วยก็ยังจะตื้อไม่เลิก คนอื่นที่เข้ามาขอฉันเป็นแฟนยังไม่มีอาการบ้าบอคอแตกเหมือนกับไอ้รุ่นพี่คนนี้เลย ให้ตายสิ!
“ฮือๆ นะ น้องไอรีน พี่ชอบน้องจริงๆ นะครับ เห็นใจพี่เถอะ”
กลายเป็นว่าคำพูดของฉันยิ่งทำให้สถานการณ์ทุกอย่างมันแย่ลง จากตอนแรกที่แค่น้ำตาเอ่อคลอ มาตอนนี้ใบหน้าของผู้ชายที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงแทบเท้าฉันเริ่มมีน้ำใสๆ ใหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย ภาพที่เห็นเลยทำให้ทุกอย่างดูน่าเวทนาไปซะหมด
ผู้ชายหนึ่งคนร้องไห้สยบอยู่ตรงแทบเท้าของหญิงสาว
“โอ๊ย พี่…” ฉันกลอกตาไปมาอย่างรำคานใจ และก่อนที่อารมณ์ของฉันจะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้ สองขาที่สวมรองเท้าส้นสูงก็รีบย่างก้าวจากไปจากความหน้าละอาย ขืนอยู่ต่อมีหวังฉันได้ทำลายภาพลักษณ์ดาวมหา’ลัย ด้วยการด่าไอ้บ้านั่นอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นถอยออกมาคือดีที่สุด
“แหมๆ ดูสิพวกเรา มีผู้ชายถึงกับคุกเข่าลงตรงหน้า เสน่ห์แรงเนอะ” น้ำเสียงเย้ยหยันจากทางด้านหลังทำให้ฉันต้องหันไปมองว่ามันมาจากใคร ยัยกลุ่มรุ่นพี่จอมแอ๊บนั่นเองที่มาหาเรื่องฉัน แม่นางสามใบเถาที่เข้าขากันดีเหลือเกินในเรื่องกระแหนะกระแหนแดกดันชาวบ้าน
“แรงไม่แรงก็วัดได้จากการที่มีผู้ชายมาวนเวียนให้กินอยู่บ่อยๆ ก็ไม่รู้ว่ามีรายไหนเสร็จไปแล้วบ้าง”
น้ำเสียงจีบปากจีบคอของยัยรุ่นพี่พลอยใสทำให้เลือดในกายของฉันพลุกพล่านไปด้วยความโกรธ
“พูดบ้าอะไร ใครมันกินใครไม่ทราบ” ฉันถามเสียงดัง คิดว่าเป็นรุ่นพี่แล้วจะมาทำตัวแบบนี้ใส่ฉันน่ะเหรอ อย่าฝัน! เพราะนอกจากฉันจะไม่กลัวแล้ว ฉันก็จะสู้ให้มันถึงที่สุดเลยด้วย
“นี่หล่อน! อย่ามาขึ้นเสียงใส่เพื่อนฉันนะ”
เมเปิ้ลตวัดสายตาด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าไม่อยากให้ขึ้นเสียงงั้นก็ช่วยสั่งสอนคนของคุณให้สงบปากสงบคำด้วย อย่าเที่ยวเห่าหอนพูดจาสุนัขไม่รับประทานแบบนี้อีก ระวังส้นเท้ามันจะลอยเข้าปากโดยไม่รู้ตัว!”
ฉันขึงตาใส่แม่นางสามสาว
“มากไปแล้วนะยัยเด็กกะโปโล!”
เมเปิ้ลตวาดเสียงดัง ร่างบางสั่นเทากำหมัดแน่น โกรธที่คนตรงหน้าบังอาจมาต่อล้อต่อเถียงกับคนอย่างเธอ
“กล้าดียังไงมาตีฝีปากกับฉัน เป็นแค่รุ่นน้องอย่าสะเออะมาปีนเกลียวกับรุ่นพี่!” วาจาเผ็ดร้อนทำให้อารมณ์ของไอรีนพุ่งสูงขึ้นจนแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่อาจควบคุมได้
“หึ รุ่นพี่” ฉันกรีดยิ้มร้ายแล้วใช้สายตามองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถ้าเธอทำตัวดีๆ ทำตัวน่าเคารพก็คงไม่มีรุ่นน้องคนไหนเขาอยากจะปีนเกลียวหรอก จำเอาไว้!”
ฉันกระแทกเสียงใส่ก่อนจะสาวเท้าเดินออกมาอย่างผู้ชนะ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเป็นใคร ไม่ใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ จะว่าอะไรก็ว่าแล้วมาอ้างตัวว่าเป็นรุ่นพี่ ส่วนหล่อนเป็นแค่รุ่นน้องและอย่ามาปีนเกลียว บอกเลยว่าทฤษฎีนี้มันใช้กับฉันไม่ได้ เพราะว่าฉันจะเคารพเฉพาะรุ่นพี่ที่ทำตัวให้น่าเคารพเท่านั้น ส่วนใครที่มาทำสันดานเสียใส่ มันก็จะได้รับการปฏิบัติจากฉันเหมือนยัยสามสาวใบเถา (เน่า) นั่นไง
@พักกลางวัน
ณ โรงอาหาร ตึกคณะนิเทศศาสตร์
ซุบซิบ
ซุบซิบ
พักกลางวันนี้ฉันต้องนั่งกินข้าวคนเดียว เนื่องจากว่าน้ำใสติดธุระสำคัญที่บ้านเลยไม่ได้มาเรียน เซ็งที่สุด ทำไมยัยนั่นต้องมาติดธุระในวันที่ฉันเจอเรื่องแย่ๆ แบบนี้ด้วยนะ เฮ้อ
“นั่งด้วยคนนะครับ”
เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นหลังจากที่ฉันเพิ่งตักข้าวคำแรกเข้าปาก ผู้ชาย (อีกแล้ว) อะไรอีกเนี่ย อย่าบอกนะว่าฉันจะไม่มีทางได้อยู่เป็นสุขเลยแม้แต่วินาทีเดียว ฮอตเกิ้นผู้หญิงคนนี้
“เชิญค่ะ” ฉันตอบกลับโดยไม่สบตากับเขา ยังคงนั่งกินข้าวมันไก่แสนอร่อยของตัวเองแบบไม่สนใจโลก แต่หางตาก็แอบเห็นว่าผู้ชายคนนั้นวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ และตามด้วยชามก๋วยเตี๊ยวขนาดใหญ่ แปลกเนอะ ถ้าเดาจากน้ำเสียงฉันเขาก็น่าจะรู้นะว่าฉันไม่ได้อยากให้นั่งด้วย
“ชอบทานข้าวมันไก่หรือครับ?” นั่งปุ๊บก็ถามปั๊บ เนี่ยแหละ สไตล์ของบรรดาผู้ชายที่เข้ามาจีบฉัน
“ก็ทานได้ค่ะ ไม่จำเป็นว่าต้องชอบ”
ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แล้วกินต่อ นี่ฉันหิวจริงอะไรจริงนะเนี่ย อยากกินอย่างมีความสุขน่ะ อยากกินคนเดียว ไม่ได้อยากมีเพื่อนนั่งกินด้วย รำคาญ!
“ทานเก่งจังเลยนะครับ ดูท่าน่าจะสั่งพิเศษ”
เขาพูดเสียงขบขัน
อะไร ตลกอะไร ฉันกินข้าวมันไก่เก่งนี่มันน่าตลกมากเหรอ
ถึงจะไม่ค่อยชอบใจกับคำพูดของบุคคลปริศนาตรงหน้า แต่ฉันก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดแล้วตั้งหน้าตั้งตากินต่อ จนกระทั่ง
ปัง!
“ว๊าย! ตาเถร!”
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ผม…”
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย! แค่ฉันไม่สนใจจะคุยด้วยถึงกับต้องตบโต๊ะให้จานข้าวฉันมันกระเด็นเลยเหรอ เรียกร้องความสนใจมากเกินไปปะ!” ฉันขึ้นเสียงใส่ผู้ชายที่นั่งทำหน้าเหวอไม่รับประทานอย่างอารมณ์เสียสุดๆ ให้ตายเถอะ แค่ฉันไม่คุยด้วยอีตานี่ถึงกับลงทุนตบโต๊ะกินข้าวซะเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด ทำเอาฉันกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนในโรงอาหารทันที ชีวิตนี้ทำอะไรก็ตกเป็นเป้าสายตาไปซะหมด น่าภูมิใจจริงๆ
“ผมไม่ได้เรียกร้องความสนใจนะครับ แต่ว่าผมเห็นยุงตัวเบ้อเร่อมันกำลังดูดเลือดคุณอยู่ก็เลยตบโต๊ะเพื่อให้มันตกใจ”
น้ำเสียงเข้มตอกกลับอย่างคนไม่พอใจ (เช่นกัน)
ยุงเหรอ ยุงที่ไหนกัน ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย ข้ออ้างหรือเปล่าเนี่ย
“และผมก็ไมได้โกหกนะครับ ในเมื่อหลักฐานมันอยู่ตรงนี้”
เขาว่าพลางกับยื่นฝ่ามือมาตรงหน้าฉัน
ชัดเจน มันมีเจ้ายุงลายตัวหนึ่งได้นอนสิ้นชีพอยู่บนฝ่ามือใหญ่ของเขา สภาพศพเลือดท่วม นั่นเลือดฉันหรือเปล่าน่ะ
“ผมตบมันได้หลังจากที่มันตกใจเสียงตบโต๊ะของผม”
เขาบรรยายเสร็จสรรพ ก่อนจะพูดต่อ “ยุงตัวใหญ่กัดคุณอยู่ขนาดนั้นคุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือครับ”
ใบหน้าหล่อใสเอียงคอถาม
ใบหน้าหล่อใสเหรอ?
นั่นสินะ ฉันก็เพิ่งสังเกตใบหน้าของเขาชัดๆ ก็คราวนี้แหละ ใบหน้าหล่อเนียนใสเรียวยาว ดวงตาคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางน่าจุ๊บ องค์ประกอบโดยรวมแล้วเขาช่าง…