“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณเรื่องนั้น ผมเห็นว่ามันยังไม่สำคัญอะไรมากนัก เลยไม่ได้บอกคุณ”
เสียงเข้มเอ่ยพลางก้มหน้ามองพื้นอย่างรู้สึกผิด ไอรีนมองผู้ชายตรงหน้าแล้วถอนหายใจแสดงความเหนื่อยหน่าย มือบางเสยผมที่ลงมาปรกแก้มใส กลอกตาขึ้นมองเพดานห้องอย่างเซ็งๆ
“ถ้าคุณจะไม่ให้อภัยผม ผมก็…”
“นี่ เว่อร์ไป ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก ฉันก็แค่โมโหที่นายไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับฉันตั้งแต่แรก แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ เรื่องเซ็นสัญญานี่มันไม่สำคัญยังไงไม่ทราบ ชีวิตของฉันเลยนะนั่นน่ะ”
ฉันบอกเสียงเครียด พูดมาได้ว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
“แล้วตกลงคุณจะเซ็นสัญญากับทางเราหรือเปล่าครับ”
“ฉันคิดว่าไม่อ่ะ” ฉันบอกอย่างไม่แยแส
ฉันไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาอะไรกับใครทั้งนั้น เพราะที่ฉันมาถ่ายโฆษณาที่นี่ก็แค่เพื่อต้องการช่วยเหลือเขา แต่ตอนนี้งานของฉันจบลงแล้ว หน้าที่ของฉันก็จบลงด้วยเช่นกัน
“ทำไมล่ะครับ” ซันนี่แลลุกลน
“ก็ฉันไม่ชอบงานวงการบันเทิง อึดอัด น่ารำคาญ”
“สนุกจะตาย คุณต้องลองอยู่ในวงการสักพักแล้วคุณจะรู้ว่ามันสนุกแค่ไหน” ซันนี่พยายามหาสิ่งล่อใจมาโน้มน้าวหญิงสาว แต่ดูเหมือนไอรีนจะไม่คล้อยตามเอาง่ายๆ
“พอๆ” ฉันโบกมือเป็นเชิงให้เขาหยุดพูด “สนุกตายล่ะ แค่ถ่ายโฆษณาเมื่อวานฉันก็เข็ดแหละ ทำไรผิดนิดผิดหน่อยก็โดนผู้กำกับดุราวกับจะกินหัว ไม่ไหวค่ะ ขอบาย” ฉันทำท่าโบกมือลา
“อย่าเพิ่งไปสิคุณ” ร่างสูงรีบวิ่งมาขวางทางฉัน เอ๊ะ อีตานี่นิ ตื้อได้ตลอดเวลาจริงๆ
“อะไรของนายอีก นายซันนี่” ฉันเริ่มอารมณ์เสียแล้วนะ
“คุณยังไปไม่ได้จนกว่าคุณจะเซ็นสัญญากับทางเรา”
“ไม่ หลีก” ฉันปฎิเสธเสียงดัง ถือโอกาสตอนที่อีตาซันนี่กำลังทำหน้าตาเว้าวอนผลักอกหนาให้พ้นทาง จากนั้นฉันก็รีบสาวเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีนายจอมตื้อทันที
“คุณรอก่อน อย่าเพิ่งไป” เสียงเข้มโวยวายตลอดทางเดิน ผู้หญิงอะไรวะ เดินเร็วยังกับจรวด
ดูเอาเถอะ จะเอาอะไรจากฉันนักหนาเนี่ย คราวก่อนก็ช่วยไปแล้ว คราวนี้ยังจะมาคะยั้นคะยอให้เซ็นสัญญาบ้าๆ อีก ฝันไปเถอะย่ะ แค่นี้ชีวิตฉันมันก็วุ่นวายมากพอแล้ว
พอ กัน ที!
เสียงฝีเท้ายังคงไล่ตามมาไม่ห่าง
“อีตาบ้าเอ๊ย จะตามมาทำไมเนี่ย”
ฉันบ่นอย่างหัวเสีย เมื่อทั้งเสียงฝีเท้าและเสียงของนายซันนี่ยังคงตามหลอกหลอนไม่เลิก ทำเอาพนักงานในบริษัทฯ แต่ละคนต่างมองมาทางฉันเป็นตาเดียว
เด่นทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเด่น
“คุณไอรีนรอผมก่อน นี่ ใครก็ได้จับตัวผู้หญิงคนนั้นที”
ให้ตายเถอะ มีการสั่งลูกน้องให้จับฉันด้วย
“บ้าที่สุด”
พลั่ก! และด้วยความที่ไม่ระวังทางข้างหน้าจึงพาลให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นจนได้
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ฉันกล่าวคำขอโทษในขณะที่พยายามจะลุกขึ้นยืน คงเป็นเพราะฉันใส่รองเท้าส้นเข็มด้วยมันเลยทำให้ฉันลุกไม่ขึ้น ทรงตัวยากพอสมควร แต่อะไรก็ไม่เท่ากับคนตรงหน้าที่ไม่คิดจะยื่นมือมาช่วยพยุงฉันแม้แต่น้อย และดูจากรองเท้าของเขา เดาไม่ยากเลยว่าเป็นเพศไหน
หึ สุภาพบุรุษมาก!
“เวลาเดินหัดแหกตาดูทางบ้าง ที่นี่บริษัทฯ ไม่ใช่สวนสนุก”
เสียงเข้มทรงอำนาจเอ่ยสร้างความน่าเกรงขามไปทั่วบริเวณ เหมือนมีก้อนหินลูกใหญ่หล่นลงมาทับอยู่ที่กลางศีรษะของฉัน ทั้งอับอายและเจ็บใจกับคำพูดของคนไร้มารยาท แต่ฉันก็เป็นฉัน
คนอย่างไอรีนไม่ยอมให้ใครมาด่าฟรีๆ หรอก
“นี่คุณ! ฉันน่ะไม่ดะ…”
ฉันหยุดคำพูดเอาไว้เพียงเท่านี้
นะ นี่มัน
ดวงตากลมโตเบิกกว้างยามสายตาประจักษ์ชัดๆ ว่าบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นเป็นใคร
ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่มีทาง
เหมือนโลกทั้งใบมันดับวูบลงตรงหน้า เหมือนร่างของฉันลอยค้างเติ่งอยู่บนกลางอากาศ เหมือนลมหายใจนั้นขาดห้วง เหมือนกำลังมีใครสักคนมากระชากเอาหัวใจของฉันออกไปจากอก! สิ่งที่เห็น ทำให้ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับร่างที่ไร้วิญญาณ ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่รับรู้แม้กระทั่งลมหายใจของตัวเองด้วยซ้ำ
มันยังหายใจอยู่ใช่ไหม หัวใจของฉันมันยังคงเต้นอยู่หรือเปล่า ฉันไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย
ฉันรู้แต่เพียงเขา เห็นแต่เพียงเขา
กาลเวลาที่ผ่านไม่ได้ทำให้ฉันลืมเขาได้เลย ทุกรายละเอียดที่ปรากฏอยู่บนตัวของผู้ชายคนนี้ ฉันจำได้หมด จำได้อย่างแม่นยำ จำได้ไม่มีวันลืม และถึงแม้ว่าฉันอยากจะลืมมันมากแค่ไหน วันนี้ ตรงนี้ และวินาทีนี้ เขาก็เดินเข้ามาตอกย้ำความทรงจำของฉันให้ชัดเจนขึ้นเป็นพันเท่า
ซีโร่!
“คุณจะวิ่งหนีผมทำไมเนี่ย ผมไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่มารนะ”
ซันนี่หยุดยืนข้างๆ หญิงสาว ด้วยความที่เหนื่อยจากการวิ่งไล่ตามเจ้าหล่อน ชายหนุ่มถึงเอาแต่ก้มหน้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเงยขึ้นสบตากับผู้มาเยือน
“คุณซีโร่!” ดวงตาคมคายเบิกกว้าง
ร่างสูงสง่าที่ยืนทำหน้าเคร่งเครียดหันมาทางชายหนุ่ม ซันนี่หายใจติดขัดทันทีที่เห็นสายตาไม่เป็นมิตรจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้านายอีกคนของตน
“เล่นวิ่งไล่จับกันอยู่เหรอ” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ปะ เปล่าครับ ไม่ได้เล่น” ซันนี่ตอบเสียงอ่อย
“แล้วทำไมถึงวิ่งไล่กันบนตึก นายเป็นถึงมือขวาท่านประธานเรื่องแค่นี้คิดไม่ได้” ร่างสูงเลิกคิ้วถาม
“ผมขอโทษครับคุณซีโร่” ซันนี่ก้มหน้ายอมรับผิด
คนตรงหน้าเลื่อนสายตามามองฉัน ดวงตาคมเข้มดุจเหยี่ยวสำรวจฉันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สายตาที่เขาใช้มองฉันในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับวันนั้นแม้แต่นิดเดียว มันมีแต่ความดูถูกอยู่ข้างใน เขาก็ยังเป็นเขา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!
“ผู้หญิงคนนี้” ซีโร่เอ่ยเบาๆ
“เธอชื่อไอรีน เธอมาถ่ายโฆษณาให้กับทางเราครับ” เหมือนรู้หน้าที่ ซันนี่รีบตอบข้อสงสัยของเจ้านาย
“ไอรีน” ร่างสูงลูบปลายคางตัวเองเบาๆ “งั้นเหรอ?”
ซีโร่เดินเข้ามาใกล้ร่างของฉัน ใบหน้าคมเข้มค่อยๆ ยื่นเข้ามาใกล้ฉันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนจากเขา ฉันเกร็งตัวจิกเท้ากับพื้นสุดฤทธิ์ ทำไมนะ ทำไม ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจของฉันเหลือเกิน
แม้ในใจจะตะโกนคำว่าทำไมๆ อยู่เป็นพันครั้ง หากความเป็นจริงร่างบางกลับยิ้มตอบคนตรงหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“สวัสดีค่ะ คุณซีโร่ “ เสียงหวานเอ่ยทักทาย
ซีโร่หรี่ตามองหญิงสาวด้วยสายตาที่แปรเปลี่ยนไปจากเดิม ร่างสูงยิ้มพอใจก่อนจะยื่นมือไปตรงหน้าเพื่อทำการทักทาย
“สวัสดีครับคุณไอรีน ผมเป็นรองประธานของบริษัทฯ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ริมฝีปากหยักสวยยิ้มเจ้าเล่ห์
รองประธานงั้นเหรอ ก็หมายความว่าเขาเป็นเจ้าของที่นี่!
“คุณซีโร่เขาเป็นน้องชายของท่านประธาน และเป็นลูกชายคนเล็กของวงศ์ตระกูลครับ” ซันนี่ก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูฉัน
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” ฉันยกมือไหว้เขาตามแบบฉบับของมารยาทไทย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงยียวนเล็กน้อย
“ทักทายแบบนี้ดีกว่าค่ะ เพราะดิฉันเป็นคนไทย”
“อะฮึ่ม” ซีโร่กระแอมไอแก้เก้อ ยอมรับจากก้นบึ้งของหัวใจว่านี่เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้หญิงหักหน้ากลางอากาศ เท่านั้นยังไม่พอ ผู้หญิงคนนี้ยังหักหน้าเขาท่ามกลางสายตาของพนักงานในบริษัทฯ
และคนอย่างเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาทำให้เจ็บใจเล่น
“คุณเป็นนางแบบของบริษัทฯ ใช่ไหมครับ” ซีโร่ถามเสียงเข้ม ท่าทางและน้ำเสียงของเขาแตกต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันแค่มาถ่ายโฆษณาให้กับทางบริษัทฯ และตอนนี้ถ่ายทำเสร็จแล้ว คาดว่าคงไม่จำเป็นต้องมาเหยียบที่นี่อีก ขอตัวนะคะ” ฉันพูดรวดเดียวจบก่อนจะรีบเดินหนีออกจากบริเวณที่เป็นอันตรายต่อต่อมน้ำตา
เขาจำฉันไม่ได้เหรอ? ใกล้กันขนาดนี้เขาจำฉันไม่ได้เลยเหรอ ในส่วนลึกของเขาคงไม่มีฉันอยู่ในนั้นเลยใช่ไหม ต่างกับฉันที่เพียงแค่เห็นหน้าฉันก็จำได้ จำเขาได้ไม่มีวันลืม
แต่ผู้หญิงอัปลักษณ์อย่างฉันเขาจะมาจำทำไมให้เสียเวลา
“แค่กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง มันฝืนใจเธอมากเลยเหรอ
ไอรีน” ร่างสูงตะโกนถามเสียงดัง เป็นเหตุให้หญิงสาวต้องหยุดชะงักอยู่กับที่
น้ำเสียงแบบนั้น มันคือน้ำเสียงที่ฉันคุ้นเคย
หางเสียงของเขาที่ใช้เรียกชื่อฉันเมื่อครู่ มันคือน้ำเสียงที่ฉันเคยได้ยินเมื่อห้าปีก่อน
มันกลับมาแล้ว เขาคนนั้นกลับมาแล้ว
ประโยคเมื่อครู่ทำให้ร่างกายของฉันเย็นยะเยือกขึ้นมาราวกับอยู่ขั้วโลกเหนือ ฉันกัดริมฝีปากอวบอิ่มแน่นจนรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวของเลือด
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลัง ไวกว่าอะไรทั้งปวง ลมหายใจอุ่นร้อนของบุคคลที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงกำลังรินรดอยู่ที่ลำคอระหงส์
“เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ที่รัก”