๑๒
ตัดใจ
คืนนั้น ประตูบ้านสวนไม่ยอมเปิดต้อนรับเรวัต และเป็นครั้งแรกที่เขาไม่คิดจะดึงดัน จึงกลับบ้านด้วยความรู้สึกหนักอึ้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายมีบางอย่างติดค้างใจ ได้แต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง จากที่ไม่แคร์ ไม่แยแส จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายเพียงคิดถึงแววตาไร้เยื่อใยคู่นั้น
วันต่อมา ขณะที่เขากำลังทำงานเรวัตก็ได้รับทราบว่าลูกชายของเขาป่วย เวลานี้แพทย์ให้แอดมิต ชายหนุ่มสั่งงานเอาไว้กับเลขานุการก่อนจะตรงไปยังโรงพยาบาลด้วยความร้อนใจ ระหว่างทางจากบริษัทไปจนถึงโรงพยาบาลเขานั่งไม่ติด กระสับกระส่ายเสียจนเด่นต้องเหลือบตามองบ่อยครั้ง
“คุณหนูไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ คุณเรอย่าร้อนใจไปเลยนะครับ”
คำปลอบใจของเด่นไม่ช่วยลดทอนความรู้สึกราวใจจะขาดของเรวัตลงได้ เขาได้แต่เร่งเวลาพร้อมความร้อนที่อัดแน่นในอกไปตลอดทาง กระทั่งถึงโรงพยาบาลชายหนุ่มก็พุ่งตัวตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เมื่อทราบว่าลูกน้อยพักอยู่ที่ไหนจึงตรงดิ่งไปทันที
ประตูที่ถูกเปิดเข้ามาทำให้คนที่นอนเคียงข้างลูกชายบนเตียงภายในห้องพักพิเศษหันขวับไปมอง เช่นเดียวกับคุณผกามาศที่นั่งอยู่ข้างเตียงก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน
เรวัตชะงักลงเล็กน้อยกับสายตาห่างเหินราวคนแปลกหน้าของคนทั้งสอง กับมารดาเขาไม่ค่อยรู้สึกอะไรนัก เพราะชินเสียแล้ว แต่กับโรสรินทร์กลับไม่ใช่ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะโกรธเขาแค่ไหน แต่ยามมองไม่เคยมีครั้งใดที่แววตาของหล่อนจะว่างเปล่าและห่างเหินเช่นคราวนี้
“น้องรันเป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามมารดา แต่สายตากลับมองไปยังแม่ของลูก ขณะที่หญิงสาวเอาแต่มองลูก และแทบไม่มองเขาอีกเลยนับแต่สบตาเขาแวบเดียวก่อนหน้านี้
คุณผกามาศโกรธลูกชายจนไม่อยากพูดด้วย แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาราวกับคนทำตัวไม่ถูกของอีกฝ่ายท่านก็ใจอ่อนลงนิดหนึ่ง
“เป็นไข้หวัด หายใจไม่สะดวก หมอเลยให้แอดมิตดูอาการ แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ปล่อยให้หลานของฉันเป็นอะไรไปแน่นอน”
คำตอบของมารดาทำให้เขาขมวดคิ้วนิ่วหน้า เพราะเห็นได้ชัดว่าเขากำลังถูกมารดารวนใส่ ขณะที่แม่ของลูกก็ทำเหมือนเขาไร้ตัวตน หล่อนไม่สนใจเขาอีกเลย ไม่ยอมสบตาหรือทักทายสักนิดก็ไม่มี
ชายหนุ่มเม้มปาก ปรับอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง ก่อนจะขยับเข้าไปชิดเตียง แล้วมองลูกชายตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วพร้อมยิ้มให้ เขาสอดปลายนิ้วเข้าไปในอุ้งมือน้อยๆ ที่รวบกำนิ้วเรียวยาวของพ่อเอาไว้ทันที เพียงเท่านั้นหัวใจของเขาก็เต็มตื้น เปิดยิ้มกว้างทันควัน
โรสรินทร์มองปลายนิ้วเรียวของเรวัต ดวงหน้างามเรียบเฉย มีรอยยิ้มน้อยๆ ก็จริง แต่ชายหนุ่มกลับเห็นเพียงความเย็นชา ทว่าลึกลงสุดใจมีเพียงโรสรินทร์ที่รู้ว่ากำลังกลัดหนองเพียงไหน
คุณผกามาศไม่อยากเปิดโอกาสให้ลูกชายนัก แต่เมื่อมีสายสำคัญเข้ามา จึงเป็นเหตุให้ท่านจำต้องปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์ที่ระเบียงห้องพัก เรวัตฉวยโอกาสนั้นขยับชิดเตียง แล้วเอ่ยถามหญิงสาวทันทีที่มีโอกาส
“เธอไม่คิดจะบอกฉันเรื่องลูกป่วยสักคำเลยหรือไง”
น้ำเสียงที่ถามออกมาแม้จะเบา แต่หญิงสาวก็รู้ว่าไม่ได้ดุดันหรือหาเรื่องเหมือนครั้งก่อนๆ ราวกับเรวัตคนเก่าไม่ได้มาด้วย
รอยยิ้มน้อยๆ ที่แต้มเรียวปากอิ่มของโรสรินทร์ทำให้คนมองเม้มปาก เพราะเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหมิ่นแคลนจนเขานึกอยากรั้งหล่อนขึ้นมาเขย่าให้หัวสั่นหัวคลอน
“ลูกป่วยแค่เล็กน้อย คุณเองก็งานยุ่งไม่ใช่หรือคะ ฉันเลยไม่อยากรบกวนเวลาของคุณ”
คนฟังคิ้วกระตุก ดวงตาวาววับขึ้น
“น้องรันเป็นลูกของฉันเหมือนกันเธออย่าลืม เพราะฉะนั้นต่อให้แค่ถูกมดกัดเธอก็ต้องบอกฉัน!”
หญิงสาวกระตุกยิ้ม วันก่อนเขายังหวานกับคนรักของเขาอยู่หยกๆ ท่าทางอ่อนโยน อบอุ่นและให้เกียรติยังติดตรึงในความรู้สึกนึกคิด แต่วันนี้เขากลับมาข่มขู่คุกคามหล่อนจนถึงโรงพยาบาล ที่ผ่านมายังชัดเจนไม่พอหรือว่าเขาไม่เคยไยดีต่อหล่อนเลย จึงต้องตามมาย้ำให้รู้ว่ากระแสสายใยบางเบาคงถึงคราขาดสะบั้นกันในวันนี้
ดวงตาคู่งามที่มีแววหยาดน้ำรื้นออกมาวูบหนึ่งทำให้เรวัตชะงักงัน เกิดความรู้สึกผิดที่เผลอกระแทกแดกดันหล่อนออกไปทั้งที่ลูกกำลังป่วย จึงหลุบตาซ่อนแววตารู้สึกผิดด้วยการมองลูกชายนิ่งอยู่อึดใจ
“เขาก็เป็นลูกของฉัน ไม่ว่าเขาจะป่วยด้วยเรื่องเล็กแค่ไหน ฉันอยากให้เธอบอกกับฉันทุกครั้ง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมหลายเท่า เพียรส่งสายตามองหล่อนหลายหน แต่หญิงสาวก็ยังไม่ยอมสบตาอยู่ดี ราวกับว่าใบหน้าของเขาคือสิ่งต้องห้ามและน่ารังเกียจไม่คู่ควรแก่การแลตามองสำหรับหล่อนไปแล้ว
คิดดังนั้นแล้วก็เกิดทิฐิขึ้นอีก พลางบอกตนเองว่ามันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เขากับหล่อนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนี่ มีแค่ลูกเท่านั้นที่ยังต้องทำหน้าที่พ่อและแม่ร่วมกัน เรื่องอื่นก็ช่างมันเถอะ ต่อให้หล่อนเกลียดเขาจนไม่อยากมองหน้า เขาก็ควรจะสบายใจให้สมกับที่เรียกร้องขออิสรภาพจนได้มันมาอย่างเต็มภาคภูมิ
แต่แล้วเขาก็นิ่วหน้าลงอีก เพราะลึกๆ แล้วเขารู้ดีว่าไม่ได้รู้สึกดีขนาดนั้นเลยสักนิด ยิ่งเวลานี้เขารู้สึกไม่สบายใจ เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง จู่ๆ ก็เกิดจะมาแคร์หล่อนเพียงแค่หญิงสาวไม่สนใจเขาแล้วแค่นั้นน่ะเหรอ นี่มันไม่ใช่วิสัยของเขาเลยสักนิด
“คราวหน้าจะแจ้งให้ทราบนะคะ”
แจ้งให้ทราบ...
เจ้าของดวงตาคมหรี่ตามองคนพูด ใช้คำเป็นทางการมากเกินไปแล้ว กลัวไม่รู้หรือไงว่าเขากับหล่อนห่างเหินกันแค่ไหน
เสียงประตูเลื่อนเปิดพร้อมร่างมารดาที่เดินกลับมา ทำให้ชายหนุ่มจำต้องหยุดคำพูดตนเองไว้พร้อมหันไปมองมารดา ท่านสบตาเขาแวบเดียวก่อนจะยิ้มให้โรสรินทร์
“โรส แม่จะออกไปทำธุระสักสองสามชั่วโมง หนูอยู่คนเดียวก่อนนะ อีกสักพักแนนคงมาถึง”
หญิงสาวยิ้มอ่อนหวานให้กับท่าน ทำเอาคนตัวโตที่มองอยู่นั้นถึงกับตาปรอย เพราะเขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนหวานจากใจจริงของหญิงสาวมานานมาก พอได้เห็นอีกครั้งหัวใจไม่รักดีก็ถึงกับเต้นผิดจังหวะไปจนเขาต้องปราม รู้สึกอิจฉามารดาขึ้นมานิดๆ
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนเองครับ”
คำพูดของเขาทำให้คนทั้งสองหันมองคนเอ่ยอาสาด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มมองไปที่โรสรินทร์หวังจะได้สบตาหล่อน แต่เป็นหญิงสาวที่หลบสายตาลงทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มองหน้าเขาอีกในช่วงนี้
“แกไม่ต้องทำงานหรือไง” มารดาเอ่ยถาม สายตาที่มองลูกชายนั้นบ่งบอกว่าท่านแปลกใจไม่น้อย ชายหนุ่มจึงกระแอมกระไอเบาๆ ในลำคอ
“สั่งเลขาฯ เอาไว้แล้วครับ ถ้ามีเรื่องด่วนให้โทร.มา”
คุณผกามาศสบตาลูกชายอย่างค้นคว้า แต่เมื่อชายหนุ่มทำนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธ ท่านจึงหันไปมองหญิงสาวอีกครั้ง
“ให้ตาเรอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกันนะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยกันได้”
หญิงสาวอึดอัดใจมากหากจะมีเขาอยู่ด้วย จึงเอ่ยตัดรอน
“ไม่เป็นไรค่ะ โรสอยู่ได้ ถ้ามีอะไรก็แค่กดกริ่งเรียก คุณเรกลับไปทำงานเถอะค่ะ คุณแม่ก็ไม่ต้องรีบนะคะ เพราะเดี๋ยวแนนก็มาถึงแล้ว” หญิงสาวปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ แต่คนที่ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะอยู่ด้วยไม่ใช่ว่าใครจะไล่เขาไปได้ง่ายๆ ยิ่งแน่วแน่ว่าจะทำสิ่งใดแล้วเขาย่อมทำได้สำเร็จลุล่วงเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา
“คุณแม่ไปเถอะครับ ผมจะอยู่เอง” เขาไม่ฟังคำปฏิเสธของหญิงสาว และถอยไปนั่งที่โซฟามุมห้อง ท่านมองลูกชายสลับหญิงสาว เรวัตไม่ได้มาเพื่อหาเรื่อง เขาเป็นห่วงลูกชายจนท่านสัมผัสได้ ขณะเดียวกันโรสรินทร์ก็ไม่อยากเห็นหน้าพ่อของลูก เหตุการณ์เมื่อวานทำให้หญิงสาวสะเทือนใจไม่น้อย แม้จะเลิกราขาดกันแล้ว แต่ไม่มีสักครั้งที่เรวัตจะแสดงความรู้สึกลึกซึ้งกับใครมากเท่านั้น ที่ปฏิเสธคงเป็นเพราะหญิงสาวต้องการตัดขาดเขาให้ได้อย่างแน่นอนต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้น แม่ไปก่อนนะ”
โรสรินทร์ฝืนยิ้มให้ท่าน จำยอมให้ชายหนุ่มอยู่ด้วย เมื่อประตูห้องปิดลง หญิงสาวเพียงเหลือบตามองเขาแวบเดียวก็ขยับตัวนอน มองดูลูกชายที่หลับลงเพราะฤทธิ์ยาแล้วจึงหลับตาตามไปด้วย ไม่คิดจะสนทนากับคนที่พาตัวเองไปนั่งที่โซฟามุมห้องอีก คิดเสียว่าเขาเป็นเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ทำให้รู้สึกดีขึ้น
เรวัตผ่อนลมหายใจแผ่วเบาเมื่อหญิงสาวหลับตาลง ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แล้วคิดถึงช่วงหนึ่งที่ตนต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานนับเดือนด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ตอนนั้นนอกจากมารดาแล้วก็มีโรสรินทร์ที่คอยดูแลเขาแทบไม่ห่างกาย ไม่เคยคิดรังเกียจที่เขาต้องอยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ชั่วคราว
ชายหนุ่มหลับตาลงช้าๆ ขณะรำลึกความหลัง เมื่อคืนเขานอนดึกและตื่นเช้า วันนี้งานยังยุ่งทั้งวัน แต่พอรู้ว่าลูกป่วยเขาก็ทิ้งทุกอย่างรีบแจ้นมาหา เวลานี้จึงค่อนข้างอ่อนเพลียพอควร กลิ่นอายน้ำยาฆ่าเชื้อทำให้เขาเผลอคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้ง
โรสรินทร์ลืมตาขึ้นช้าๆ พยายามไม่มองไปยังมุมห้อง แต่ก็ต้องมองเมื่อพบว่าเรวัตหลับไปแล้ว หญิงสาวเผลอค้อนไปทีหนึ่ง เพราะคนที่บอกเสียหนักแน่นว่าจะอยู่เป็นเพื่อน ผ่านไปแค่ไม่กี่นาทีเขาก็หลับลงได้อย่างง่ายดาย
หญิงสาวใช้เวลานั้นกวาดตามองดวงหน้าคมคายของอดีตสามี ใต้ตาของเขาค่อนข้างคล้ำ คงจะอดหลับอดนอนมาหลายคืน หล่อนรู้ว่าช่วงนี้เขาทำงานหนัก แต่ก็ยังมีเวลารื้อฟื้นความหลังครั้งเก่ากับอภิญญา
คนที่แอบมองคนในอดีตยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มที่เผยมานั้นจึงดูไม่น่ามองนัก แต่หล่อนไม่อาจหลอกตนเองได้ว่าไม่รู้สึกอะไรกับการที่เขาหวนไปหาคนรักเก่าทันทีที่มีโอกาส
ใช่แล้ว หล่อนอิจฉาอภิญญา ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดีจึงผูกมัดเรวัตได้อย่างยาวนาน แล้วหล่อนไม่มีดีสำหรับเขาเลยสักนิดใช่ไหม จึงได้ทำร้ายจิตใจกันครั้งแล้วครั้งเล่า
น้ำตาใสๆ ไหลออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม เป็นความรู้สึกอ่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จึงรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วมองผู้ชายที่ทั้งรักและเกลียดด้วยความรู้สึกปวดร้าวไปทั้งใจ
ความปรารถนาเดียวในเวลานี้ของหล่อนคือการที่ไม่ต้องเจอเขาอีกแล้ว ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง เพื่อที่จะได้ตัดเขาออกจากใจได้เสียที เมื่อเจอกันอีกครั้ง หล่อนคงไม่ต้องรู้สึกหวั่นไหวเมื่อพบว่าเขาลงเอยไปกับใครหรือแม้แต่อภิญญา
หญิงสาวสูดลมหายใจยาวแล้วผ่อนออกมาบางเบา ถามตนเองว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนจึงจะเลิกมองเขาได้เสียที
ขณะที่หญิงสาวได้แต่ถามตนเองซ้ำๆ เรวัตที่คิดว่าจะพักสายตาเท่านั้นก็เผลอหลับไปจริงๆ บนหน้าผากและขมับมีเหงื่อไหลออกมาบางๆ ทั้งที่ภายในห้องเปิดแอร์คอนดิชันเนอร์
อาการขมวดคิ้วนิ่วหน้าทั้งที่หลับ ประกอบกับอาการกระสับกระส่ายของเขาทำให้หญิงสาวเพ่งมอง จากที่เคยอยู่ร่วมกันมาทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังฝัน คงเป็นฝันที่ยุ่งเหยิงมากพอควรเพราะทั้งเหงื่อแตกและกระสับกระส่าย
หากนี่คือเวลาปกติ หล่อนคงเดินไปนั่งข้างๆ กระซิบปลุกแล้วบอกว่าเขาเพียงฝันไปเท่านั้น ทว่าทุกครั้งที่เขาหลับฝัน ชายหนุ่มจะพบว่าตนเองจดจำรายละเอียดที่หลงลืมได้คราวละเรื่องสองเรื่องเสมอ ครั้งนี้ก็คงจะไม่ต่างกันนัก หลังจากตื่นขึ้นมาอาจมีอีกเรื่องที่ทำให้เขาเกลียดหล่อนเพิ่มขึ้น
หญิงสาวยิ้มขื่น เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เขาจะโกรธเกลียดมากที่สุดก็คือหล่อนอยู่ดี คงไม่ต่างอะไรกับครั้งก่อนๆ ซึ่งหล่อนควรชินกับมัน และครั้งนี้หล่อนจะต้องถอนใจจากเขาให้ได้อย่างเด็ดขาดเสียที