๑๐
คนเคยรัก
คืนที่ผ่านมาเรวัตนอนไม่หลับ ทำให้เช้านี้ค่อนข้างจะหงุดหงิดง่ายกว่าปกติ ยิ่งเมื่อจริยาบุกถึงที่ทำงานโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้าเขายิ่งโกรธ แต่นั่นเป็นเพราะเกือบเดือนแล้วที่ชายหนุ่มขาดการติดต่อ แม้ว่าจริยาจะพยายามเท่าไรแต่ไม่เป็นผล ชายหนุ่มไม่เคยเปิดโอกาสราวกับต้องการตัดขาด จึงเป็นเหตุที่หญิงสาวต้องบุกมาจนถึงห้องทำงานส่วนตัวของเขาในวันนี้
ผลัวะ...
ประตูห้องทำงานถูกเปิดเข้ามาอย่างไม่ให้สัญญาณเหมือนเช่นเคย ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าอ่านเอกสารเงยขึ้นพร้อมแววตาวาววับให้กับคนถือดีที่บังอาจทะเล่อทะล่าเข้ามาโดยไม่ยอมให้สัญญาณอย่างที่ควรกระทำ
“คุณเร...” จริยาร้องเรียกเขาพลางหันไปค้อนเลขาฯ ที่ตามมาติดๆ ราวจะค้อน ฝ่ายนั้นมองเจ้านายด้วยสีหน้ารู้สึกผิดที่ไม่อาจรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ได้
“ขอโทษนะคะคุณเร ดิฉันบอกกับคุณจริยาแล้วว่าคุณเรไม่รับแขก แต่เธอไม่ยอมฟังค่ะ”
คำบอกเล่าของเลขาฯ สาวนามว่าเพลินตาทำให้จริยาตวัดตาวาววับมองอย่างคาดโทษ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันก่อนสะบัดหน้ากลับไปมองเรวัต
ชายหนุ่มมองสบตาผู้หญิงที่เขาพากลับเข้ามาในชีวิตด้วยสายตาวาวโรจน์ ก่อนหันไปมองเลขาฯ
“ขอบคุณมากคุณเพลิน คุณกลับไปทำงานเถอะ”
เพลินตารับคำแล้วหันหลังออกจากห้องของเจ้านาย ขณะที่จริยามองตามเพลินตาพลางเบ้ปากขณะมองด้วยสายตาอาฆาต ก่อนหันกลับไปมองคนที่กำลังมองตนด้วยสายตาเย็นชา ทำให้มีอาการชะงักเพียงนิด แต่ทำใจดีสู้เสือสาวเท้าเข้าไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอีกฝ่าย
“คุณมาทำไม”
คำถามของเรวัตแทบทำให้จริยากรีดร้องด้วยความโกรธที่แล่นลิ่วจวนเจียนเกินจุดยับยั้ง แต่เป็นเพราะไม่มีทางเลือกมากนักทำให้หญิงสาวจำต้องอดทนต่อสายตาเย็นชาของเขา
“ทำไมคุณพูดแบบนี้คะ คุณลืมไปหรือเปล่าว่าเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว” หญิงสาวเอ่ยด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด สีหน้าแววตาที่แสดงออกมาเหมือนสาวน้อยแสนงอน แต่ชายหนุ่มไม่รู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูจากคนตรงหน้าเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับทำให้เขาเกิดความรำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ
“จู่ๆ ก็เงียบหายไป ติดต่อก็ไม่ได้ จ๋าไม่ยอมให้คุณทิ้งกันนะบอกเลย”
คิ้วหนาเข้มขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินดังนั้น หล่อนลืมไปแล้วหรือไง ว่าตกลงกับเขาเอาไว้ว่าอย่างไร...
“เงินหมดหรือไง”
คำถามตรงๆ ของเรวัตทำให้จริยาหน้าแดงซ่านขึ้นด้วยความอายระคนโกรธที่เขารู้ทัน
“พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะ จ๋าคิดถึงคุณต่างหากถึงมาหา”
หญิงสาวพูดพลางทำปากยื่น จริตจะก้านราวกับสาวน้อย ที่เรวัตมองทีไรก็ให้ขัดหูขัดตานัก
“คุณพูดมาตรงๆ ดีกว่านะจ๋า ผมมีงานต้องทำ จะเอาเท่าไร”
จริยาหุบปาก ทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ก่อนจะตอบเสียงหวาน
“ก็ สัก...ห้าแสนก็พอค่ะ” ตอบพร้อมสบตาเขาด้วยแววตาหวานหยด ทำให้คนที่รอคอยคำตอบถึงกับถอนหายใจยาว เขาไม่ได้โง่ให้หล่อนหลอกรีดไถ รู้มาตลอดว่าอีกฝ่ายหมดเงินไปกับอะไรบ้าง แต่ในเมื่อจริยาทำให้เขาเป็นอิสระตามต้องการได้ เขาก็แค่ต้องตอบแทนตามเห็นสมควร และเวลานี้ก็คิดว่ามันสมควรกับเวลาแล้วจริงๆ
จริยาทำตาวาวเมื่อชายหนุ่มหยิบสมุดเช็คออกมาเขียนตัวเลขลงไป ก่อนจะส่งเช็คใบนั้นให้กับหญิงสาว ทันทีที่จริยารับไป ดวงตาที่ตกแต่งมาอย่างดีก็วาววามด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด เมื่อพบว่าจากห้าแสนกลายเป็นหนึ่งล้านบาท ทว่าต้องชะงักงันเมื่อเรวัตเอ่ยออกมาว่า
“เงินนี้จะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ผมให้คุณ”
น้ำเสียงและแววตาของเรวัตเย็นชาราวน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ และนั่นทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกใจหายวาบ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ ทว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่หล่อนจะโวยวาย เพราะไม่เช่นนั้นจากหนึ่งล้านบาทอาจไม่เหลือเลยสักแดงเดียว!
“อะไรกันคะ พอจ๋าหมดประโยชน์คุณก็เขี่ยทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ” หญิงสาวแสดงอาการเสียใจจนน้ำตาคลอ แต่เรวัตไม่เสียเวลาดูงิ้วที่อีกฝ่ายแสดงจึงเอ่ยตัดบท
“พอเถอะจ๋า คุณรับเงินนี้แล้วกลับไปซะ”
จริยาซ่อนแววตาไม่พอใจที่กำลังจะเสียบ่อเงินบ่อทองไปอย่างไม่เต็มใจ เก็บเช็คใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน แววตาที่มองเรวัตนั้นเต็มไปด้วยความปรารถนามากมายที่ต้องปกปิด แต่ก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคงรู้ทันหล่อนตามเคย เขาจึงไม่แยแสเลยสักนิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะรู้สึกเช่นไรที่ถูก ‘เขี่ย’ ทิ้งราวเศษขยะ เขาไม่คิดถึงความหลังที่มีต่อกันเลยสักนิด ผู้ชายคนนี้ใจดำกับความรู้สึก แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้ชายใจถึง ไม่ขี้งกเหมือนใครอีกหลายคนที่หล่อนเคยพบเจอ จริยาชอบเขาในเรื่องนี้ และในเมื่อเขาอยากให้หล่อนไปก็จะไป แต่ถ้าคิดว่าคนอย่างจริยาจะยอมให้ทุกอย่างจบลงแค่นี้ล่ะก็ เรวัตคิดผิด!
ร่างบางหมุนตัวเดินตรงไปยังประตูห้อง ขณะที่มือเรียวแตะลูกบิด เสียงทุ้มก็ดังขึ้นจนหัวใจกระตุกด้วยความยินดี ก่อนเหี่ยวแฟบราวลูกโป่งแตก
“ผมหวังว่าจะไม่ต้องเจอคุณที่นี่อีก”
จริยาเม้มปาก ก่อนสะบัดหน้าพรืดแล้วผลักประตูออกอย่างรวดเร็ว หวังให้ประตูกระแทกสุดแรงเพื่อความสะใจ แต่ประตูห้องของอีกฝ่ายกลับมีระบบกันกระแทก จริยาจึงได้แต่เจ็บใจกลับออกไปอย่างฉุนเฉียว!
เรวัตถอนหายใจหนักหน่วง ได้แต่หวังว่าจริยาจะรู้จักพอ ไม่ดื้อรั้นทำอะไรแผลงๆ ให้เขาต้องรำคาญใจขึ้นมาอีก ยิ่งคิดถึงแววตางอนง้อของหล่อนแล้วเขาก็ได้แต่ส่ายหน้า เขากับจริยาเคยคบหากันระยะหนึ่ง เป็นการคบกันอย่างผิวเผิน เกิดจากการประชดประชันทั้งแม่และคนรัก กระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขา หล่อนก็ทำเรื่องขึ้นจนแม่ของเขารับไม่ได้ ไล่ตะเพิดไปพร้อมกับเงินก้อนหนึ่ง เพราะเห็นแก่เงินเป็นทุนเดิม จริยาจึงจากไปอย่างง่ายดายพร้อมสัญญาหนึ่งฉบับจากมารดาที่รับรองว่าจะไม่กลับมายุ่งวุ่นวายกับเขาอีก
การกลับมาคราวนี้ ไม่ได้เป็นเพราะเขาแคร์จริยานักหนา แต่เวลานั้นเขาต้องการผลักไสใครบางคนออกไปจากชีวิต อีกฝ่ายจึงมีสิทธิ์กลับเข้ามาอีก และเพราะจริยาไม่เคยสำคัญ จะอยู่หรือจะไปจึงไม่มีผลต่อความรู้สึกของเขา ไม่เหมือนใครอีกคน ที่จนมาถึงเวลานี้เขายังไม่ลืม...ขณะที่แม่ของลูกก็เป็นอีกคนที่วนเวียนอยู่ในความคิดไม่เคยห่างหาย ทำให้เขาเกิดความสับสนกับความรู้สึกของตนเองมากขึ้นทุกวัน
เรวัตยกมือขึ้นคลึงขมับ ภาพวันคืนเก่าๆ ระหว่างเขาและอภิญญาซ้อนทับสลับกับภาพของโรสรินทร์ แต่กลับบอกไม่ได้ว่าเวลานี้เขารู้สึกเช่นไรกับคนทั้งสอง ยังเหมือนเดิมหรือกำลังเปลี่ยนไป...
ค่ำวันเดียวกัน ขณะที่เรวัตกำลังกลับบ้านโดยมีคนขับรถขับให้เหมือนทุกวัน จังหวะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์ ร่างกายของเขาพลันแข็งค้างไปชั่วขณะเมื่อพบกับผู้หญิงที่ทำให้เขาผิดหวังและต้องล้มเหลวในชีวิตด้วยน้ำมือตนเอง กำลังก้าวขึ้นรถแท็กซี่พร้อมข้าวของพะรุงพะรัง
คนขับรถเหลือบมองเจ้านายทันทีที่ได้ยินคำสั่ง
“เด่น ชะลอรถ แล้วตามรถแท็กซี่คันนั้นไป”
เด่นไม่เข้าใจที่เจ้านายสั่ง แต่ก็ทำตามโดยไม่มีคำถามแม้จะกังขาสักเพียงใด
เรวัตมองตามรถแท็กซี่คันนั้นเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาบอกให้เด่นจอดรถห่างพอควรเมื่อแท็กซี่คันนั้นจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ไม่นานนักก็มีร่างเล็กวิ่งออกมารับข้าวของจากหญิงสาว ไล่เลี่ยกันมารดาของหล่อนก็ตามออกมา ครู่เดียวทั้งสามก็กลับเข้าบ้าน ทิ้งให้คนที่แอบตามมานั่งเงียบอยู่เช่นนั้นเป็นนาน จนเด่นต้องเอ่ยถามออกมา
“จะกลับเลยไหมครับ”
คนที่จมอยู่ในภวังค์ของอดีตสบตาคนในกระจกอยู่อึดใจก่อนพยักหน้าเบาๆ เด่นจึงออกรถตามคำสั่งโดยขับผ่านหน้าบ้านหลังนั้นไปอย่างช้าๆ ภายในบ้านที่สว่างไสว เขาเห็นคนทั้งสามกำลังยิ้มแย้มให้กัน โดยเฉพาะรอยยิ้มของคนที่นำเขามาจนถึงที่นี่ ทำให้หัวใจที่เย็นชามาแสนนานเกิดอาการวูบไหว แล้วค่อยๆ กลับคืนสู่ความปกติเมื่อรถยนต์พาเขาพ้นจากหมู่บ้านแห่งนั้น
เด่นเองก็คลับคล้ายคลับคลาผู้หญิงคนหนึ่งจากที่หันไปมองคนในบ้านนั้นแวบหนึ่ง แต่เพียงไม่นานเขาก็จดจำได้ แท้จริงผู้หญิงที่เจ้านายให้เขาขับรถตามมาจนถึงบ้านนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน ทว่าคืออดีตคนรักเก่าที่ถูกมารดาขัดขวางอย่างจริงจัง จนงานแต่งงานต้องล่ม เรือนหอต้องร้างเจ้าสาว จนคนที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังแทบเสียผู้เสียคนเพราะความเสียใจ กระทั่งนำไปสู่อุบัติเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มต้องสูญเสียความทรงจำชั่วคราวนานนับปี
เด่นลอบผ่อนลมหายใจยาวสลับกับแอบมองเจ้านายไปด้วยความเห็นใจคนทั้งคู่ ทว่าภาพของผู้หญิงร่างบอบบางอีกคนก็ผ่านเข้ามาในความคิด แต่เมื่อคิดถึงโรสรินทร์ ความเห็นใจกลับพุ่งสูง และดูเหมือนจะมีความรู้สึกเอนเอียงมาทางโรสรินทร์มากกว่าอดีตคนรักของชายหนุ่ม เวลานี้หากมีใครสักคนที่น่าสงสารและเห็นใจเขาคิดว่าเป็นอดีตภรรยาของเจ้านายกับลูกชายตัวน้อยต่างหาก
เขาไม่รู้หรอกว่าเรวัตคิดเช่นไรกับอดีตคนรักและอดีตภรรยา แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะยังมีเยื่อใยต่ออดีตคนรักอย่างอภิญญาไม่น้อย ต่างกับอดีตภรรยาที่ต่างคนต่างทำตัวราวกับเป็นศัตรู แต่ในบางคราว เวลาที่เรวัตเผลอตัว แววตาที่มองโรสรินทร์กับลูกชายกลับอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ...
เด่นสับสนกับเจ้านายของตนเองไม่น้อย ไม่รู้ว่าเรวัตจะเลือกใคร ระหว่างคนรักเก่าที่เป็นแม่หม้ายลูกติด กับอดีตภรรยาที่ไม่รักอย่างโรสรินทร์และลูกชายตัวน้อย...
สำหรับเด่น เขาเอาใจช่วยโรสรินทร์อย่างไร้ข้อกังขา ยอมรับว่าความคุ้นเคยอันดีเป็นบ่อเกิดของความเอนเอียง แต่โรสรินทร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ตรงกันข้าม หญิงสาวอาจเป็นคนเดียวที่ถูกกระทำมาโดยตลอด ต้องพบเจอกับสถานการณ์แตกต่างมากมาย ทำให้ต้องตัดสินใจยากๆ หลายครั้งหลายคราว
จากบัณฑิตสาวอนาคตไกลกลับต้องมาดูแลคนป่วยความจำเสื่อม ที่ชีวิตอับเฉา กระทั่งถูกขอร้องให้แต่งงานกับเรวัต ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี แต่แล้ววันหนึ่งเรวัตเกิดจำความได้ โรสรินทร์ที่เคยเป็นทุกอย่างของสามีก็กลายเป็นคนที่ไร้ความหมาย ไร้ค่า น่ารังเกียจในสายตาของเขาทันที
เด่นเคยเห็นหญิงสาวแอบร้องไห้บ่อยครั้ง ก็ได้แต่มองดูอยู่เงียบๆ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เห็นกันมานานจึงเอ็นดูหล่อนเหมือนหลานสาวคนหนึ่ง เมื่อเห็นหล่อนเศร้าเขาก็พลอยหดหู่ เมื่อหันไปมองเรวัต เขาก็เผลอหงุดหงิด เพราะบางทีคนที่ดีที่สุดก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ชายหนุ่มกลับผลักไสไปไกลตัว แล้วมองหาคนที่ไม่ควรมองเข้ามาแทนที่อยู่ตลอดเวลา
เด่นส่ายหัว บอกกับตนเองว่าสักวันเรวัตจะได้รู้ว่าใครที่ควรเก็บรักษาไว้แนบกายแนบใจ วันนั้นอาจสายเกินไป แต่เรวัตต้องได้รู้เข้าสักวัน ว่าใครคือที่สำคัญกับเขาจริงๆ
ขณะที่เด่นสรุปทุกอย่างไว้เพียงส่วนลึก เรวัตกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความรักและความผูกพัน
กับอภิญญาเขาเคยมีความรักมอบให้หล่อนมากมายเสียจนแม้แต่เขาเองยังประมาณไม่ได้ แต่เมื่อได้มาพบหล่อนอีกครั้งกลับสับสน ไม่รู้ว่าที่กำลังรู้สึกอยู่นี้ยังเรียกว่ารักอยู่หรือไม่ ที่แน่ๆ ความรู้สึกเข้มข้นที่เคยมีกลับจางจืดลง เขาเคยคิดว่าเมื่อได้พบหล่อนจังๆ อีกหนเขาคงจะต้องดีใจจนไม่อาจปล่อยหล่อนไปได้อีก แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เขากลับเอาแต่นั่งมองหล่อนด้วยความรู้สึกที่บอกตนเองไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป และในเวลาเดียวกันเขาก็คิดถึงโรสรินทร์ไปด้วยอย่างที่ไม่ควรเลยสักนิด แต่ไม่ว่าจะสลัดเงาของอีกฝ่ายออกไปสักเท่าไร ก็ดูเหมือนจะยิ่งแจ่มชัด
แต่เขาไม่ได้รักหล่อน ไม่เคยคิดจะรัก...ไม่ใช่หรือ
เรวัตยังคงสับสน เขาบอกตนเองว่าไม่รักแต่ภาพของโรสรินทร์ในหัวของเขายามนี้ดูจะชัดเจนเสียกว่าอภิญญาด้วยซ้ำไป เป็นแบบนั้นได้อย่างไร
พอคิดถึงแม่ก็คิดถึงลูก ดวงหน้าน้อยๆ นั้นทำให้ความสับสนร้อนรุ่มของชายหนุ่มบรรเทาเบาบางลง บางครั้งเขาเผลอยิ้มเมื่อคิดถึงเจ้าของดวงหน้าเล็กๆ อย่างลืมตัว ก่อนจะรีบทำหน้าขรึมทันทีที่รู้ตัว
เสียงพ่นลมหายใจยาวดังแผ่วออกมาจากคนที่นั่งเบาะหลัง เด่นเหลือบตามองแวบเดียวก็กลับไปมีสมาธิกับทางข้างหน้า ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังมีเรื่องให้ต้องคิดหนักทีเดียว
เด่นนึกแปลกใจเช่นกัน เขาคิดว่าเจ้านายจะดีใจมากกว่านี้เมื่อได้พบกับอภิญญา แต่เหตุใดจึงทำเหมือนไม่อยากพบหน้า แต่ในเวลาเดียวกันก็แอบตามไปดูอีกฝ่ายกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
เรวัตยังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง ทว่าในขณะที่เด่นกำลังพาเขากลับบ้านที่เคยเป็นเรือนหอร้างรัก ชายหนุ่มก็เอ่ยออกมาราวกับคนละเมอว่า
“ไปบ้านสวนนนท์”
แม้จะงุนงงกับอารมณ์กลับไปกลับมาของนายจ้าง ทว่าเด่นก็หันหัวรถกลับทันทีโดยไม่คิดถามหาเหตุผลตามเคย ตั้งใจพาเจ้านายตรงไปยังที่อยู่ของสองแม่ลูกโดยไม่ลังเล และถึงที่หมายอย่างปลอดภัย