๕
ความจริง
“เร เร ตาเร”
แรงเขย่าและเสียงเรียกคุ้นหูทำให้เรวัตเริ่มรู้สึกตัว ชายหนุ่มค่อยๆ ปรือตาขึ้นทีละนิด ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเมื่อความปวดยังคงเล่นงานเขาเป็นริ้ว แม้จะเบาบางลงบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่หายไปเสียทีเดียว
คุณผกามาศมองบุตรชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะมีปัญหากันมานานจนแทบตัดแม่ตัดลูก ทว่าความรักและความห่วงใยในตัวลูกชายเพียงคนเดียวไม่เคยจางหายไปไหน
“แม่เองเหรอครับ” เรวัตขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะลุกขึ้นนั่งขยับเนื้อตัวบิดซ้ายบิดขวาไล่ความเมื่อยขบ สะบัดศีรษะเบาๆ ก่อนสบตาคนที่กำลังมองเขาด้วยแววตาห่วงใย ชายหนุ่มชะงักงันกับแววตาของมารดาลงไปเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นลูบท้ายทอย
“ผมตื่นสายสินะครับ” เขาเอ่ยถามลอยๆ เมื่อมองไปรอบบ้านแล้วไม่เจอใคร พอพลิกข้อมือขึ้นดูก็รู้ว่าตอนนี้มันเกือบจะเก้าโมงเช้าอยู่แล้ว พอคิดได้ดังนั้นเขาก็กวาดตามองหาใครบางคน
“หน้าผากไปโดนอะไรมา”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะหน้าผากที่มีรอยช้ำทันทีที่ถูกมารดาเอ่ยถาม ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนจึงผุดขึ้นมาในความคิด
“ก็ ไปเดินชนอะไรสักอย่าง นี่เขาไปไหนกันหมด”
คุณผกามาศถอนหายใจยาว เมื่อบุตรชายไม่ได้แสดงอาการน่าเป็นห่วง
“ออกไปเที่ยวน่ะสิ ไม่ไกลจากที่พักเรามีที่ดีๆ อยู่หลายแห่ง”
คำตอบของท่านทำให้คนฟังนิ่งเงียบไปอึดใจ เขากำลังคิดถึงโรสรินทร์กับเด็กคนนั้น
“แล้วโรสล่ะครับ”
คนเป็นแม่ปรายตามองลูกชายแวบเดียวก่อนตอบ
“ไปด้วยน่ะสิ แกไปล้างหน้าล้างตาหรือจะอาบน้ำก็ตามใจ แม่จะให้คนเอาอาหารออกมาวางเอาไว้ให้” ท่านลุกขึ้นยืน แววตาที่มองลูกชายนั้นนิ่งสงบ “กินอิ่มแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน”
เรวัตสบตามารดาแวบหนึ่งก่อนท่านจะหมุนตัวก้าวออกไป ใบหน้าคมคายปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยพลางบอกตนเอง
“ดีสิ ผมเองก็มีเรื่องต้องคุยกับแม่เหมือนกัน”
เมื่อเรวัตจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย อาหารก็พร้อมตั้งโต๊ะ ชายหนุ่มนั่งกินข้าวเงียบๆ เพียงลำพัง ระหว่างนั้นก็คิดถึงความฝันเลือนรางไปด้วย เขาสูดลมหายใจลึกขณะครุ่นคิด ภาพของเขากับโรสรินทร์ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ รอยสัมผัส ทุกอย่างนี้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน เขาไม่เข้าใจนักว่าอะไรที่ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งของเขากับโรสรินทร์ขาดหายไป แต่กลับจดจำความรู้สึกและความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อผู้หญิงอีกคนในอดีตได้อย่างแม่นยำ
อภิญญา หรือ อ้อน คือคนที่เคยมีความสำคัญต่อเขา มากเสียจนคิดว่าชีวิตนี้คงขาดหล่อนไปไม่ได้...
ชายหนุ่มหลุบตามองจานข้าวที่เขาเขี่ยไปมา จากนั้นก็รวบช้อนแล้วดื่มน้ำ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหามารดา สุดท้ายก็ไปเจอท่านที่ห้องนั่งเล่นอีกด้านซึ่งเปิดโล่งรับลมได้ดีทีเดียว ตรงบริเวณนี้เย็นสบายเสียกว่าห้องรับแขกที่เขายึดเป็นที่นอนชั่วคราวเสียอีก
คุณผกามาศวางหนังสือที่พกติดตัวมาด้วยลงบนโต๊ะตรงหน้า พลางหยิบแก้วชาขึ้นดื่ม ดวงตาคู่งามที่บ่งบอกถึงความรู้ทันเสมอจ้องมองไปยังแผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนกอดอกมองออกไปด้านนอก อึดใจหนึ่งเรวัตจึงหันกลับมาพร้อมบางอย่างในมือ
“แกตามมาถึงที่นี่ ต้องการอะไรอย่างนั้นรึ” ท่านเปิดฉากถาม แววตาแม้ไม่ดุดันแต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนอะไรนัก ติดจะเย็นชาเรียบลึกดั่งคนที่กำลังคิด วิเคราะห์และแยกแยะเขาออกเป็นส่วนๆ
“เรื่องเด็กคนนี้” เขาดึงภาพถ่ายออกจากซองเอกสารแล้ววางลงบนโต๊ะข้างแก้วชาของมารดา พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
คุณผกามาศหลุบตามองภาพเด็กน้อยในระยะใกล้ คาดว่าเป็นภาพที่เกิดจากการซูมโดยกล้องคุณภาพสูง เพราะเป็นภาพที่ชัดเจนมาก และยังมีอีกหลายภาพ หลายอิริยาบถ รวมถึงภาพของโรสรินทร์ที่อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนบริเวณระเบียงบ้าน
“ช่วยอธิบายความเกี่ยวข้องของสองคนนี้ให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
มารดาของเขาหยิบภาพพวกนั้นขึ้นไปดูด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม
“ภาพสวยดีนะ” พิจารณาอยู่สักพักจึงวางลงตามเดิมพร้อมกับสบตาคมกริบของลูกชาย ดวงตาที่ถอดแบบนัยน์ตาของท่านแทบไม่ผิดเพี้ยน มองเขาก็เหมือนว่ากำลังมองตัวเอง เช่นเดียวกับดวงตาของหลานชายตัวน้อย
“สองคนในภาพนี้ เขาเป็นแม่ลูกกันน่ะสิ แกเองก็คิดแบบนั้นอยู่ไม่ใช่หรือไง ถึงได้มาถาม”
คำตอบแบบไม่มีกั๊กของมารดาทำเขามึนงง ตอนแรกคิดว่าท่านจะปฏิเสธเกี่ยวกับเด็กคนนี้ ทว่ากลับกลายเป็นว่าท่านยอมรับหน้าตาเฉย แต่นั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขาไหววูบ ดวงตาคมกริบมีรอยกระเพื่อมที่แสดงออกให้เห็นว่าเขากำลังเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงทางอารมณ์ และทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเพราะเด็กน้อยในรูปภาพ...
เมื่อปรับอารมณ์ตนเองจนเป็นปกติ ชายหนุ่มจึงเอ่ยถาม
“เด็กคนนี้เป็นลูกของผมใช่ไหม”
ดวงตาสีเข้มที่มองมารดาไม่มีความเหยียดหยันหรือโกรธเคืองเช่นวันวาน แต่สิ่งที่เขาต้องการในเวลานี้คือความจริง