“อิน... อิน”
เขาตบเบาๆ ไปบนใบหน้าซีดเซียวที่มีน้ำตาติดชุ่มเกาะแพขนตางอนยาว แต่เจ้าหล่อนก็ยังไม่รู้สึกตัว ปราปต์เลยรีบจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองและเธอให้เรียบร้อยก่อนจะอุ้มร่างอ่อนปวกเปียกที่มีอุณหภูมิอุ่นจัดกลับมาที่รถ
“ทะ... ทำไมเรายังอยู่ที่นี่กันอีกคะ” แม้จะมึนศีรษะไปหมด เนื้อตัวเจ็บระบม ปวดเมื่อย แต่หญิงสาวก็รีบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูจนพบว่ามันเลยเวลาที่ควรจะถึงบ้านใหญ่มาหลายนาทีแล้ว
“แล้วจะให้ไปทั้งที่สภาพคุณเป็นแบบนี้เหรอ เฮอะ ! ชาวบ้านเขาคงคิดว่าไปถูกชำเราที่ไหนมา” พอเขาว่าจบก็เห็น
อุรัตน์นรินทร์ก้มหน้างุด “โดนผัวเอาแค่ไม่กี่นาทีก็เป็นลมล้มพับซะแล้ว ถามจริงเถอะ ตอนเด็กๆ พ่อแม่ไม่ให้ถูกแดดถูกลมบ้างหรือไง ถึงได้อ่อนแอสิ้นดี”
ใบหน้ากลมเกลี้ยงค่อยๆ ช้อนขึ้นแล้วหันไปมองอีกคนอย่างตัดพ้อ ไม่ว่าเรื่องใดเธอก็ผิด ไม่สบายจนเป็นลมไปก็ผิด ถูกเขาทำรักรุนแรงเกินรับไหวก็ผิด ในโลกนี้คงไม่มีอะไรที่ปราปต์จะไม่โยนให้เป็นความผิดบาปของเธออีกแล้วกระมัง
“อินไม่สบาย...”
“ไม่สบายแล้วทำไมไม่รู้จักไปหาหมอ ยังมาทำสนิมสร้อยถอดเสื้อยั่วผัวอยู่บนรถอีก แล้วไม่ต้องมาโทษผมเลยนะ เป็นใครมาเจอคุณถอดเสื้ออวดนมก้อนขาวๆ กลมๆ ให้ดู มันก็ต้องลากคุณเข้าป่าเหมือนผมทุกคนนั่นแหละ”
“ค่ะ อินผิดเอง พี่ออกรถเถอะค่ะ” สุดท้ายเธอก็ตัดปัญหาด้วยการยอมเขาเหมือนทุกที “พี่คงไม่อยากอยู่ใกล้อินนาน ถึงบ้านใหญ่เร็วๆ พี่จะได้อารมณ์ดีขึ้นไงคะ”
ปราปต์หันขวับกลับมาจ้องหน้าภรรยาตัวเองเหมือนเจอคนแปลกหน้า แต่ไหนแต่ไรมาอุรัตน์นรินทร์กล้าประชดประชันเขาแบบนี้ซะที่ไหน !
“ว่าอะไรนะ ?!”
“อ... อินบอกให้พี่รีบออกรถค่ะ พอถึงบ้านใหญ่แล้วจะได้ต่างคนต่างไป ไม่ต้องใช้อากาศร่วมกันให้พี่รู้สึกมีมลพิษยังไงล่ะคะ”
“ถ้าอยู่ใกล้กันแล้วได้รับมลพิษ อย่างนั้นตอนที่ผมฉีดน้ำในตัวผมเข้าไปจนเต็มท้องคุณ คุณน่าจะตายเพราะโดนพิษอุ่นๆ ไปแล้วรู้มั้ย คงไม่มีโอกาสได้มานั่งปากดีประชดผัวอยู่อย่างนี้หรอก”