คนที่มาคือ องครักษ์หวังเหล่ยนั่นเอง เขายกดาบคมๆ ในมือชี้ตรงไปยังร่างเล็กที่กำลังนั่งคุดคู้อยู่หลังกอต้นอ้อสูงท่วมหัว
หวังเหล่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าเป็นใคร? มาทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ด้วยเหตุอันใด? แล้วเจ้าเป็นนางกำนัลในสังกัดของใครกันแน่?”
ฉีอันฉีปากสั่นระริก “ข้า ข้า มา เอ่อ.. มา...” เพียงเห็นอาวุธในมืออีกฝ่ายชี้ตรงมายังตนก็ตกใจจนลืมคำพูดที่เตรียมมาจนหมดสิ้น กลายเป็นพูดติดๆ ขัดๆ
องครักษ์หวังเหล่ยตวาดซ้ำ “เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดออกมา! ก่อนที่เจ้าจะหมดโอกาส!”
คนที่กำลังถูกคุกคามพยายามใช้สติเค้นหาทางแก้ไขสถานการณ์อย่างเร่งด่วนเพื่อให้รอดพ้นจากคมดาบ “คะคือ... คือข้า...”
“พูด!”
คุณชายน้อยตระกูลฉีตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าหวาดเสียวเช่นนี้มาก่อน ชายผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ ดวงตาดุดันน่าเกรงขามยิ่งนัก อีกทั้งกระบี่ในมือก็เป็นของจริง เขาควรยกเรื่องใดมากล่าวอ้างดีเล่า ความจริงที่ว่าเขาหาได้เป็นทาสหรือนางกำนัลในสังกัดผู้ใดไม่ แต่มีฐานะสูงส่งเป็นถึงน้องชายของพระชายาเยี่ยนฟางเชียวนะ! ทว่าเรื่องนี้พูดไม่ได้เด็ดขาด ถ้าขืนพูดออกไปตรงๆ มีหวังความผิดฐานปลอมตัวเป็นสตรีเข้ามาในวังจะถูกเปิดโปง โทษหนักคราวนี้อาจถึงขั้นถูกกุดหัวเลยทีเดียว
“คะ คือข้า... อ้อ! ข้าหลงทางเจ้าค่ะ ใช่ๆ ใช่แล้ว พี่ชายท่านนี้ ข้าหลงทางมาเจ้าค่ะ”
“เจ้าหลงทางรึ?” องครักษ์หวังเหล่ยขมวดคิ้วคล้ายไม่เชื่อคำพูดของนาง
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าหลงทางจริงๆ เจ้าค่ะ... ที่นี่คือที่ใดกัน? คนผู้นั้นคือ...” พูดพลางชี้นิ้วไปยังบริเวณที่องค์ชายอิ้งเยว่ยืนอยู่ ฉีอันฉีตัดสินใจยืนขึ้นเต็มความสูงในทันที เขาแหงะหน้ามองไปยังสะพานไม้ ทว่าที่ตรงนั้นกลับไร้เงาของพี่เขยยืนอยู่เสียแล้ว “ไปแล้วหรือ... ข้าหมายถึง ทะ ท่านผู้นั้น เมื่อครู่ยังยืนอยู่ตรงนั้นชัดๆ เขาหายไปไหนแล้วเจ้าคะ?”
“เจ้าไม่รู้จักองค์ชายอิ้งเยว่?”
“พะพี่ชาย ข้าเป็นนางกำนัลเพิ่งมาใหม่ ย่อมไม่คุ้นชินกับสถานที่เป็นธรรมดา ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ใจดี ได้โปรดอย่าถือสาเอาผิดกับข้าเลยนะเจ้าคะ”
คนในตำแหน่งองครักษ์เก็บกระบี่ยาวเข้าฝักเสียงดัง ฉิ้ง! “เอาเถอะ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถือสาเจ้าสักครั้ง ถือว่าเจ้าไม่รู้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ ที่แห่งนี้คือ ตำหนักส่วนพระองค์ขององค์ชายอิ้งเยว่ หากไม่ได้รับอนุญาต ผู้ใดก็ห้ามเข้า ทีนี้เจ้าชัดเจนแล้วหรือไม่?”
“ขอบคุณพี่ชาย ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” ฉีอันฉีย่อตัวถอนสายบัวอย่างนอบน้อม
“อ้อ... อีกอย่าง”
“พี่ชายเชิญกล่าว”
“หากยังอยากรักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้ เจ้าจงฟังข้าให้ดี องค์ชายอิ้งเยว่ไม่ใช่คนที่นางกำนัลชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าจะพูดถึงส่งเดช เจ้าห้ามใช้กิริยาหยาบช้าเช่นเมื่อครู่นี้เป็นอันขาด” เขาหมายถึงการที่อีกฝ่ายชี้นิ้วไปทางองค์ชายอิ้งเยว่แล้วเอ่ยถามถึง
“อ๋า ขอบคุณพี่ชายที่ช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ” ฉีอันฉียอบกายคารวะอีกรอบ
“เช่นนั้น เจ้าก็รีบไปเถอะ”
“ได้ เจ้าค่ะ”
ขณะเดินหันหลังให้องครักษ์หวังเหล่ย คนถูกเรียกว่านางกำนัลชั้นต่ำแถมมีกิริยาหยาบช้าถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นายน้อยฉีอันฉีไม่เคยพบเจอผู้ใดกล้าสามหาวพูดจาหยามเกียรติถึงเพียงนี้ ‘เหอะ! เจ้าทหารปากเหม็น ว่าข้าเป็นนางกำนัลชั้นต่ำงั้นเรอะ! ฝากไว้ก่อนเถอะ ดูสิว่าข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่พูดกับข้าเช่นนี้เยี่ยงไร!’
นายน้อยจากบ้านตระกูลฉีใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อระงับความโมโหที่มีต่อทหารองครักษ์ผู้นั้นเอาไว้ ตอนนี้เขาจำยอมเดินเลี่ยงออกไปก่อน เอาไว้คราวหน้าค่อยคิดหาวิธีเข้าใกล้องค์ชายอิ้งเยว่อีกครั้ง คราวนี้จะไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้แน่ ตราบใดที่ยังไม่ได้ถามไถ่ให้รู้แน่ชัด เพราะเหตุใดพี่เขยจึงไม่ไยดีพี่หญิงของเขาแม้แต่น้อย ความงดงามของนางไม่เป็นที่ต้องพระทัยขององค์ชายบ้างเลยหรือไรกัน? เสียดายเมื่อครู่ยังเห็นพระพักตร์ขององค์ชายอิ้งเยว่ไม่ชัด จึงไม่เห็นรายละเอียดเครื่องหน้า ว่าแท้จริงแล้วรูปงามสมคำเล่าลือ หรือว่าขี้ริ้วขี้เหร่กันแน่...
เนื่องจากจุดที่ยืนอยู่มันไกลเกินไป ทว่าเพียงดูจากรูปร่างฝ่ายนั้น ก็นับว่าเป็นบุรุษดูดีไม่น้อย เสียก็แต่นิสัยน่ารังเกียจของเขา ไฉนเอาแต่เสพของบูดเน่านอกวังเช่นนางโลมในหอดอกไม้แดงดอกไม้ดำอะไรนั่นอยู่ได้ ทั้งที่ในวังมีของดีอีกทั้งสดใหม่ให้เลือก กลับไม่เลือกกิน หรือว่าสมองของเขามีปัญหากันแน่…
นอกจากวันพิธีกราบไหว้ฟ้าดินที่ฉีอันฉีมีโอกาสได้เห็นพี่หญิงอยู่ไกลๆ หลังจากนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้นางอีกเลย เด็กหนุ่มกลับถูกหัวหน้านางกำนัลมีวัยอาวุโสสั่งให้ไปอยู่แต่ในครัว โทษฐานเป็นนางกำนัลที่มีบุคลิกกระโดกกระเดกอย่างไม่น่าให้อภัย อีกทั้งนางกำนัลชั้นต่ำที่ทำงานในครัวพวกนั้น ก็เอาแต่จิกใช้เขาทำงานทั้งวี่ทั้งวัน เช่น ตักน้ำ ล้างจาน ล้างหม้อ ล้างไห และอีกสารพัดงานตามแต่พวกนางจะเรียกใช้ พวกนางให้เหตุผลว่าสตรีเช่นฉีอันฉี หรือในชื่อใหม่ที่เขาคิดขึ้นมาได้ว่า หลี่น่า ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง งานง่าย ๆ เช่นถูพื้นยังทำให้ดีไม่ได้ แล้วอย่างนี้จะให้ไปรับใช้เจ้านายคนใดได้อีกเล่า
ไป๋หลาน นางกำนัลผู้หนึ่งที่ทำงานในครัว พูดขึ้นว่า “หลี่น่า เจ้าน่ะ อยู่แต่ในครัวกับข้านี่แหละ มันเหมาะสมกับคนไม่ประสีประสาอย่างเจ้าแล้ว ข้าไม่รู้ว่าคนทำอะไรไม่เป็นเช่นเจ้าเข้ามาอยู่ตำหนักไฉ่หงได้อย่างไรกัน? รอให้ผู้อาวุโสตรวจสอบประวัติของเจ้าให้ดีก่อนเถอะ เจ้าต้องถูกเนรเทศไปไกลๆ แน่”
ฉีอันฉีเม้มปากแน่น แม้จะอยากโต้เถียงไป๋หลานหลายคำแต่ก็ยอมทนข่มกลั้นเอาไว้ ได้แต่เถียงนางในใจ ‘อยู่ก็อยู่สิ เหอะ! งานงี่เง่าพรรค์นี้ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้า นายน้อยอันฉี ไม่มีปัญญาทำมันหรือไง? ปัดโธ่! ถ้วยชามราคาไม่กี่เงิน หากล้างยากนัก ข้าอยากทุบทิ้งข้าก็จะทุบ! ตำหนักไฉ่หงใหญ่โต ทั้งร่ำรวยปานนี้ พี่เขยข้าย่อมสั่งให้พวกเจ้าหาซื้อมาใหม่ได้อยู่แล้ว... ชิ’
ภายในโถงตำหนักส่วนพระองค์ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกว๋อฉว้าที่ปลูกไว้ข้างตำหนักโชยเข้ามา ลมอ่อนพัดผ้าม่านสีเขียวข้างหน้าต่างพลิ้วไหว โต๊ะไม้จื่อถานแกะสลักลวดลายกิเลนตั้งอยู่ที่มุมโปรดของผู้เป็นเจ้าของ องค์ชายอิ้งเยว่ประทับอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะตัวนั้น พลางทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง นัยน์ตาจับจ้องเหล่าปักษาฝูงหนึ่งที่กำลังเกาะบนกิ่งต้นฮวงหัวลี่นอกโถง พระหัตถ์ขาวสะอาดทรงยกถ้วยชาจิบไปพลางๆ ดูพระทัยเย็น ไม่รีบร้อนอันใด แม้เมื่อครู่จะทรงทราบว่ามีคนมาแอบซุ่มดูความเคลื่อนไหวของพระองค์ก็ตาม
“องค์ชาย เป็นแค่เพียงแม่นางน้อยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หวังเหล่ยก้าวเข้ามา ก่อนประสานมือคารวะและทูลรายงาน
พระหัตถ์หนายกการินน้ำชาอุ่นๆ ใส่จอกกระเบื้องเล็ก แล้ววางพวยกาลายหงส์ทะยานบินนั้นไว้ดังเดิม “เจ้าบอกว่าเป็นแค่แม่นางน้อยอย่างนั้นรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ... เป็นแค่นางกำนัลมาใหม่ นางพูดว่าบังเอิญหลงทางมาพ่ะย่ะค่ะ”
...ตำหนักไฉ่หงเดิมทีเป็นที่อยู่อาศัยของสนมเอกกุ้ยเฟย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ปลูกสร้างตามพระบัญชาของเทียนจื่อ ทุกอย่างออกมาอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ ทั้งกว้างขวางใหญ่โตหรูหราไม่แพ้ที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงเช่นชาวตะวันตก และเจ้าของเดิมของตำหนักไฉ่หงนั้น พระนางเคยเป็นหญิงงามไม่แพ้นางใดในใต้หล้า อีกทั้งสามารถกุมพระทัยของเทียนจื่อผู้เป็นสามีไว้ในมือได้แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อเป็นที่หนึ่ง ย่อมได้รับสิ่งพิเศษเหนือสนมคนอื่นๆ เป็นธรรมดา
อัครมเหสีลู่เสียนรับสั่งเสมอว่า ‘ในพระทัยของเทียนจื่อนั้น อัครมเหสีเช่นข้ากลับเป็นรองนางมารชั้นต่ำนั่น ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันดีแท้ บอกใครใครจะไปเชื่อ นังแม่มดเลวทรามหยาบช้า มันเป็นแค่ลูกสาวโจรชั่ว ไฉนเทียนจื่อรักใคร่เอ็นดูถึงเพียงนี้ ทั้งเก็บไว้ข้างกายร่วมหอกับมันไม่เว้นว่าง’
หากเปลี่ยนมาพูดเป็นภาษาชาวบ้าน เทียนจื่อนั้นหลงรักสนมเอกกุ้ยเฟยคนนี้จนหัวปักหัวปำ ไม่รู้ลูกสาวของศัตรูชาวเมืองเฮ่าจินทั่วทั้งแผ่นดินเช่นคนเผ่าเฉวี่ยนหรง ใช้เวทมนต์อันใดจึงเอาชนะพระทัยผู้มีอำนาจสูงสุดเอาไว้ได้ แทนที่จะถูกบั่นคอแต่แรก เมื่อครั้งจับตัวนางมาเป็นเชลยเมื่อหลายปีก่อน หลังเสร็จศึกสงครามครานั้น ท่ามกลางเสียงทัดทานจากเหล่าชิงต้าฟูทั้งหลาย ทว่าเทียนจื่อหาได้รับฟังไม่ พระองค์ทรงตรัสว่า ‘ข้าผู้เป็นเทียนจื่อของพวกเจ้า ข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินแล้วกับราชกิจรักษาเมืองเฮ่าจินไม่ให้ตกอยู่ในกำมือผู้อื่น อีกทั้งทำให้ผิงหมิง(ราษฏร) ในแผ่นดินของข้า มิต้องตกเป็นเชลย แค่เพียงสตรีอ่อนแอคนหนึ่ง ไฉนข้าจะเก็บนางไว้ข้างกายมิได้เล่า แม่นางกุ้ยผู้นี้มือไม่เคยเปื้อนเลือด แม้กายนางมีเลือดของคนเผ่าเฉวี่ยนหรงอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ข้าก็ชอบนาง พวกเจ้าผู้ใดก็ห้ามขัดขวางข้า!’
เมื่อสนมเอกกุ้ยเฟยไม่อยู่แล้ว องค์ชายอิ้งเยว่จึงเข้าไปกราบบังคมทูลขอจากเทียนจื่อผู้เป็นบิดา ขอให้ตนได้อาศัยอยู่ในตำหนักไฉ่หงแทนมารดาสืบไป เพื่อระลึกถึงท่านแม่ยามคิดถึง เทียนจื่อก็ไม่ได้ว่ากระไร ทรงรับสั่งอนุญาตไปตามคำขอ
องค์ชายอิ้งเยว่มีพระพักตร์คล้ายมารดาถึงหกส่วน พระบิดาทอดพระเนตรใบหน้าบุตรชายคนนี้คราใด ราวกับเห็นโฉมหน้าของสนมเอกกุ้ยเฟยครานั้น อย่างน้อยความทรมานเพราะอาลัยอาวรณ์สตรีคนรักที่ด่วนลาลับไปก่อน ในพระทัยของเทียนจื่อนั้นก็พลอยได้บรรเทาลงได้บ้าง ด้วยเหตุนี้บุตรชายสนมเอกกุ้ยเฟยจึงเสมือนเป็นตัวแทนมารดา เขาจึงได้รับการโปรดปรานจากบิดาเทียบเท่ากับองค์รัชทายาทโจวเจี้ยนกั๋วที่ถือกำเนิดจากอัครมเหสีลู่เสียนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน