ใต้ท้องนภาสีครามยามเหมันต์ สายลมพัดโชยมาปะทะร่างผู้คนในขบวนเจ้าสาวให้รู้สึกหนาวเหน็บจับใจไม่น้อย ท่านชิงต้าฟูนามจางเหว่ย ผู้ปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันขบวน ออกแรงชักบังเ**ยนบังคับม้าให้เดินเยาะๆ อย่างอย่างเชื่องช้า เขาสำรวจตรวจตราความเรียบร้อยอยู่ข้างแถว ดวงตาคมกริบของเขาเหลือบมองไปยังนางกำนัลที่เดินอยู่ท้ายสุด สายตาที่จับจ้องราวกำลังจับผิด ทำให้อีกฝ่ายอดรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ แต่พอบุรุษผู้เป็นท่านชิงต้าฟูละสายตาไปทางอื่น คนที่มีชนักปักหลังถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาทางปากอย่างโล่งอก ฉีอันฉีเอามือแตะตรงหน้าอกข้างซ้ายเพื่อตรวจดูว่าหัวใจเขายังเต้นเป็นปกติอยู่หรือไม่
นับเป็นโชคดีที่บุตรชายคนเล็กของเจ้าแคว้นฉีมีใบหน้าละม้ายคล้ายมารดาถึงหกส่วน เป็นบุรุษรูปงามอย่างเหลือเชื่อ ทั้งยังมีฝีมือของอาถิงที่ช่วยจัดแต่งทรงผมให้ การแต่งกายเป็นสตรีจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉีอันฉีเลย อีกทั้งเขายังมีรูปร่างเล็กกว่าบุรุษทั่วไป ผิวพรรณของเจ้านายน้อยนั้นขาวผ่องเป็นยองใย ยิ่งกว่าสตรีบางคนเสียอีก ยามอยู่ในอาภรณ์ชุดนางกำนัลเช่นนี้จึงไม่มีผู้ใดจับได้ว่าเป็นบุรุษปลอมตัวมา ทั้งการสนทนาระหว่างฉีอันฉีกับพี่สาวผู้นั้นก็จบลงด้วยดี เขาไม่ถูกทั้งนางและท่านผู้คุ้มกันขบวนจับได้ นั่นย่อมหมายความว่าแผนการตบตาผู้อื่นสำเร็จลุล่วงไปได้ขั้นหนึ่ง ทำให้เขามั่นใจขึ้นไปอีกหลายส่วน ในที่สุดเขาจึงกล้าเอาผ้าออกจากการปกปิดใบหน้า ทั้งยังลอกเลียนแบบจริตท่าเดินของสตรีได้อย่างรวดเร็ว นายน้อยฉีอันฉีจึงสามารถลอยหน้าลอยตาเดินเฉิดฉาย โยกย้ายส่ายสะโพกต่อแถวนางกำนัลพวกนั้นไปได้อย่างแนบเนียน
ทางฝั่งจวนเจ้าแคว้นฉี เมื่อขบวนเจ้าสาวเคลื่อนออกไปแล้ว ทาสรูปร่างกำยำสองนายออกแรงดึงบานประตูไม้หนักอึ้งให้หับปิดไว้ หน้าประตูจวนกลับมาเงียบสงบดังเดิม ในจังหวะนั้น หลังพุ่มไม้มีบางอย่างเคลื่อนไหวอีกครา อาถิงชะโงกหน้ามาดู เมื่อเห็นว่าไม่มีคนก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก รีบออกมาจากที่ซ่อนตัวแล้วยืนมองส่งเจ้านายน้อยของเขาที่ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา พร้อมกับกลุ่มคนในขบวน ในอกของอาถิงนั้นหนักอึ้ง หรือเต็มไปด้วยความกังวลไม่น้อย เขาพ่นลมหายใจยาวเหยียด พึมพำขึ้นมาว่า “นายน้อย ข้าหวังว่าท่านจะโชคดี ไม่มีผู้ใดจับท่านได้นะขอรับ”
อาถิงยืนมองทางอยู่นาน แม้จะเหลือเพียงความว่างเปล่าบนเส้นทางนั้น ก็ยังคงยืนมองอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ เมื่อเวลาล่วงเลยพอควร ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์จึงยอมตัดใจแล้วหมุนตัวเดินคอตกกลับเข้ามาในจวน
โดยอาถิงจงใจเลี่ยงไม่เข้าประตูหน้า เพราะเกรงอาจมีผู้อื่นเอ่ยถามถึงเจ้านายของตน จึงเปลี่ยนไปเข้าประตูเล็กทางด้านหลังจวนแทนจะดีกว่า
..ตำหนักไฉ่หง
บุรุษร่างสูงใหญ่ทว่าสมส่วนในเครื่องทรงหรูหราบ่งบอกฐานะองค์ชาย ยืนสงบนิ่งราวกับรูปปั้นไร้ชีวิตอยู่บนสะพานไม้ทาสีขาวเหนือคูคลองน้ำเล็กๆ ที่ถูกมนุษย์ดัดแปลงสร้างขึ้นเลียนแบบธรรมชาติ องค์ชายอิ้งเยว่ทอดพระเนตรลงในน้ำ มีฝูงมัจฉาตัวน้อยใหญ่แหวกว่ายไปมา อีกทั้งยังมีดอกบัวสีชมพูแซมขาวบานสะพรั่งชูช่อพ้นผิวน้ำหลายดอก ภมรตัวจิ๋วกระพือปีกบินวนเกสรดอกบัวงาม พวกมันมิได้มาเดี่ยว แต่มันบินมาเป็นคู่ ผู้มีใบหน้างดงามดุจเทพเซียนคาดเดาว่าภมรที่เห็นในสายพระเนตรนั้น พวกมันต้องเป็นคู่รักอย่างแน่แท้ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกริษยายิ่งนัก
เขาผ่านมาหลายฤดูกาล ไฉนจึงขาดคนรู้ใจถึงเพียงนี้ แม้มีนางสนมคอยล้อมหน้าล้อมหลังอยู่มากมาย แต่พวกนางล้วนทำเพื่อหวังประโยชน์ เช่นนี้แล้วยังเหลือผู้ใดให้ไว้วางพระทัยได้อีกหรือ
สิบเจ็ดวันก่อน องค์ชายอิ้งเยว่จำยอมเข้าพิธีสมรสกับฉีเยี่ยนฟาง บุตรสาวของท่านเจ้าแคว้นฉี ตามพระบัญชาของเทียนจื่อ ทว่าเขาไม่ปรารถนาร่วมหอกับนาง ผู้ใดก็ห้ามมาบังคับเขา...
สตรีผู้นั้นดูสวยสดงดงามมากไม่แพ้นางใดในใต้หล้า แต่ในสายพระเนตรขององค์ชายอิ้งเยว่นั้น ฉีเยี่ยนฟางนางก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในแผนการของอัครมเหสีลู่เสียน ที่ส่งคนมาคอยอยู่เคียงข้างเขาเพื่อหาช่องโหว่ หากลูกเลี้ยงเช่นเขาพลั้งเผลอก็จะมุ่งทำร้ายให้ถึงตาย
ราชกิจทั้งในวังนอกวัง เรื่องใดก็ยังคงเป็นเทียนจื่อเป็นผู้ทรงตัดสินพระทัย ยกเว้นเรื่องบุตรชายที่ถือกำเนิดจากพระสนมกุ้ยกุ้ยเฟยคนนี้ ล้วนเป็นพระนางลู่เสียนเป็นผู้ดูแล... ดังนั้นองค์ชายอิ้งเยว่ไม่มีวันยอมให้แผนการแยบยลของแม่เลี้ยงที่ไม่ประสงค์ดี และมองเขาเป็นดุจหอกข้างแคร่คอยทิ่มตำพระทัยพระนางมานานหลายปีสำเร็จลุล่วงได้แน่
องค์ชายอิ้งเยว่ยังรู้ดีอีกว่าพระบิดาไม่มีทางรู้เท่าทันแผนการของมเหสีตัวเองหรอก ต่อหน้าพระพักตร์ พระนางลู่เสียนวางตัวดุจแม่เลี้ยงแสนห่วงใยลูกเลี้ยงเช่นเขายิ่งกว่าอะไรดี ทว่าพอลับหลังเทียนจื่อ อย่าให้ต้องพูดถึงเลย...
อย่าว่าแต่ชายาเอกอย่างฉีเยี่ยนฟางที่เพิ่งแต่งเข้ามาในตำหนักไฉ่หงของเขา นางสนมที่อาศัยอยู่ก่อนมากกว่าสิบนาง องค์ชายอิ้งเยว่ยังไม่คิดจะเปลืองตัวไปเกือกกั้วด้วย พวกนางจะอยู่อย่างไรนั้นก็สุดแล้วแต่เถอะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ขอให้ต่างคนต่างอยู่ไปก็แล้วกัน...
ตำหนักไฉ่หงกว้างใหญ่ อัครมเหสีลู่เสียนอยากใช้อำนาจแม่เลี้ยงแสร้งหวังดีอยากพาใครมาก็พามา เขาไม่สนทั้งนั้น หากต้องอยู่อย่างระวังเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ก็อย่าได้ใจอ่อนกับคนของแม่เลี้ยงเป็นอันขาด
อาณาเขตที่แบ่งแยกมาสำหรับองค์ชายอิ้งเยว่โดยเฉพาะนั้น ตำหนักด้านหน้ามีไว้สำหรับผู้เป็นเจ้าของ หากไม่มีคำสั่งจากองค์ชาย ผู้ใดก็เข้ามาไม่ได้ ยกเว้นหวังเหล่ย องครักษ์ส่วนพระองค์ที่สามารถไว้วางพระทัยได้เพียงหนึ่งเดียว ส่วนตำหนักด้านซ้ายเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าสนม ด้านขวาเพิ่งสร้างใหม่แล้วเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ มีไว้สำหรับผู้ที่จะมาเป็นชายาเอกอย่างฉีเยี่ยนฟาง
ขณะองค์ชายอิ้งเยว่ทรงทอดถอนพระทัยอยู่บนสะพานลำพังนั้น สายพระเนตรบังเอิญเหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งกำลังผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ริมบึง “นั่นใคร!”
ฝ่ายนั้นมุดศีรษะลงไปจนมิด คราวนี้ปราศจากการเคลื่อนไหวอย่างเมื่อครู่ องค์ชายอิ้งเยว่จึงตะโกนซ้ำอีกรอบ “ผู้ใดกัน เจ้ารีบออกมานะ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ตรงนั้น”
ฉีอันฉีในชุดนางกำนัลนั่งตัวงอซ่อนกายอยู่หลังต้นอ้อริมบึง พลางครุ่นคิดลำดับคำพูดก่อนหลัง หากต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายผู้เป็นพี่เขยตอนนี้ เขาควรพูดว่ากระไรก่อนดีล่ะ จำเป็นต้องถวายบังคมหรือไม่?
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มตั้งใจจะมาทวงความยุติธรรมให้กับพี่เยี่ยนฟางด้วยตัวเอง องค์ชายอิ้งเยว่เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับนางหลายวันแล้ว ไฉนจึงเมินเฉยกับพระชายาถึงเพียงนี้ เรือนหออันงดงามปลูกสร้างไว้ให้ใครกัน ไฉนคนผู้นี้ไม่คิดไปนอน เขาออกจะมั่นอกมั่นใจในความงามของพี่สาวตัวเอง องค์ชายอิ้งเยว่เหตุใดถึงได้ตาบอด... วันนี้ตายเป็นตาย ฉีอันฉีรวบรวมความกล้า บุกมาถึงตำหนักส่วนพระองค์อย่างไม่กลัวตาย เพื่อทวงถามข้อกังขาให้กระจ่าง
ทว่าเขาเพิ่งมาถึงแท้ๆ ยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ กลับถูกฝ่ายตรงข้ามเห็นเข้าเสียก่อน หนุ่มน้อยสูดหายใจลึกเข้าจนเต็มปอดแล้วผ่อนลมออกทางปากอย่างที่เคยทำจนติดเป็นนิสัย... เอาเถิด ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีก นายน้อยจากบ้านตระกูลฉีกลั้นใจขบริมฝีปากแน่น คิดจะยืนขึ้นเต็มความสูงเพื่อเผชิญหน้ากับพี่เขยให้รู้แล้วรู้รอด
ทว่าไม่ทันทำดังใจคิด เขากลับรู้สึกคล้ายมีคนมาถึงตัวแล้ว พลันเอี้ยวตัวหันไปมอง