สุราจอกหนึ่ง สอง สาม และสี่ แล้วก็ห้า ไหลผ่านลงคอหอยไปอย่างรวดเร็ว นายน้อยฉีอันฉีหรือ ชื่อใหม่ หลี่น่า เริ่มมึนงงเล็กน้อย แก้มขาวแดงระเรื่อ ดวงตาพร่าปรือ.. เดิมทีเป็นคนพูดน้อย กลับกลายเป็นพูดเสียจนลิ้นพันกัน ส่วนท่านั่งสำรวมงดงามเหมาะสมกับการเป็นนางกำนัลฝ่ายในก็ถูกลืมสิ้น เจ้าตัวกลับคืนร่างเป็นนายน้อยฉีอันฉีคนเดิมโดยไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น
ร่างเล็กในชุดนางกำนัลยกขาขึ้นตั้งชันบนเก้าอี้ข้างหนึ่ง เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เคยทำร่วมกับอาถิงให้สหายร่วมดื่มฟังอย่างออกรส หากแต่องค์รัชทายาทที่ประทับอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็ทรงเป็นผู้ฟังที่ดีนัก ทรงพยักหน้าเป็นระยะ แสดงอารมณ์ร่วมเมื่อถึงตอนตื่นเต้น
เมื่อคนชอบคุยโวเจอนักฟังชั้นยอดก็ยิ่งได้ที นายน้อยตระกูลฉียืนขึ้นด้วยอาการเซเล็กน้อย ก่อนวางเท้าเล็กๆ ที่สวมรองเท้าสีหวานของสตรีลงบนเก้าอี้อีกครั้ง ชายกระโปรงที่คลุมถึงข้อเท้าพลันเลิกสูงขึ้นเหนือเข่า เจ้าตัววาดมือวาดไม้เล่าเรื่องอย่างคึกคัก
“ข้าเคยไปที่แบบนั้นมาสองครั้ง เอ๊ก..” เขาตาปรือพลันชูสองนิ้วประกอบคำพูด
“ที่ใดกัน?” องค์รัชทายาทแม้จะดื่มสุรามาเกือบสิบจอก แต่ก็หาได้มีอาการเมาสุราให้เห็นไม่ ทรงจำได้ดีว่าแผนการณ์นี้ถูกวางขึ้นเพื่อพิสูจน์ แม่นางน้อยผู้นี้เป็นสตรีจริงหรือไม่ เดิมที ขณะที่ประทับอยู่ในห้องพระอักษร นางก็วิ่งโครมครามเข้ามาอย่างไม่สำรวม แต่บัดนี้ความจริงก็กระจ่างแล้ว เจ้าหนูหน้าหวานหาใช่สตรีไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังบ้าบิ่นเสียจนกล้าบุกเข้ามาที่แห่งนี้อย่างไม่กลัวตาย
ฉีอันฉี “มันจะเป็นที่ใดได้ หากไม่ใช่ที่ที่บุรุษอย่างข้าและท่านอยากไป เอิ๊ก!”
นายน้อยตระกูลฉีเมามายไม่รู้เลยว่า ต่อหน้าองค์รัชทายาทโจว์เจี้ยนกั๋ว ตนกำลังเผยความลับแล้ว ถูกถามอะไรก็เล่าหมดเปลือก ไม่มีการยับยั้งใดๆ ชีวิตในวังที่ต้องอยู่ท่ามกลางบ่าวสตรีนั้น ทำให้เขาอดพูดอดคุยมานาน พอมีสหายเพศเดียวกันให้ระบาย ทุกอย่างจึงพรั่งพรูไม่หยุดหย่อน
“บุรุษหรือ? เจ้าหมายความว่าเจ้าเป็นบุรุษอย่างนั้นสิ?” เจี้ยนกั๋วแสร้งถามยิ้มๆ ทั้งที่เขารู้อยู่แล้ว
“แน่นอน ข้าเป็นบุรุษพ่ะย่ะค่ะ… โง่เง่ากันไปหมด คนในวังล้วนโง่ ไม่มีผู้ใดจับพิรุธข้าได้สักคน เฮอะ!.. เอิ๊ก!”
องค์รัชทายาททรงแกล้งรับคำ “จริงด้วย! เจ้านับว่าฉลาดมาก เจ้าตบตาผู้อื่นได้ดีนัก”
“นั่นเป็นเพราะข้า! ห่วงใยพี่เยี่ยนฟางของข้าไงเล่า ข้าถึงยอมปลอมเป็นสตรี อาศัยอยู่ตำหนักไฉ่หงนานขนาดนี้ องค์ชายหมูนั่น!”
“องค์ชายหมู? เจ้าหมายถึงหมูจริง ๆ หรือ?”
“ก็หมูน่ะสิ! องค์ชายอิ้งเยว่พี่เขยของข้า” คนเมาเริ่มคอพับคออ่อน
องค์รัชทายาทถามย้ำอย่างไม่อยากเชื่อว่าน้องชายต่างมารดาของตนจะมีผู้ไม่กลัวตายกล้าเอ่ยถึงเยี่ยงนี้ “เมื่อครู่ เจ้าเรียก..เจ้าสองของข้าว่าหมูอย่างนั้นรึ?”
“ก็เขาเป็นหมู หากไม่โง่นัก ไยไม่เห็นคุณค่าพี่เยี่ยนฟางของข้าเล่า ป่านนี้ยังไม่คิดเข้าหอกับนางอีก! มีชายางดงามปานเทพธิดารออยู่แท้ๆ เจ้าอู๊ดๆ สกปรกนั่น กลับทำเฉยเมยเสียได้ องค์รัชทายาทลองทอดพระเนตรเอาเถิด! เขาดูคล้ายหมูหรือไม่!”
องค์รัชทายาทหัวเราะจนท้องแข็ง หากอิ้งเยว่น้องชายเขามาได้ยินเข้า คงโกรธจนหน้าเขียวเป็นแน่ ก่อนรับสั่งว่า “ช่างเป็นเรื่องที่รับไม่ได้จริงๆ ฮ่าๆๆๆ.. มา! สหายน้อยของข้า พวกเราร่วมดื่มอีกจอกเถอะ.. ในฐานะที่ข้าอยู่ข้างเจ้า ฮ่าๆๆ”
“ย่อมได้! จอกของข้าเล่า?”
“อยู่ในมือเจ้านั่นแหละ รีบส่งมาสิ ข้าจะรินสุราให้เจ้า!”
“จอกของข้าอยู่ที่นี่เองรึ!” นายน้อยฉียิ้มพอใจเมื่อหาจอกเจอ แล้วยื่นไปตรงหน้าทันที
หนึ่งคนเมาแทบคลานเหมือนสุนัข อีกคนยังนั่งหลังตรงแหน็วราวไม่แตะสุราแม้หยดเดียว ไม่นานคนคออ่อนก็เริ่มคันกาย ยุบยิบไปหมด เขาล้วงมือเข้าไปใต้กระโปรง เกาบั้นท้ายเสียอย่างไม่อายใคร ก่อนลุกขึ้นยืนเกาใหม่ให้สะใจ จากนั้นทิ้งกายนั่งลงแล้วล้วงเข้าไปในอกเสื้อ เกาตั้งแต่หน้าอก ไหล่ ถึงลำคอ ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์รัชทายาทที่มองไม่วางตา
“นั่นเจ้าเป็นอันใด?”
“ตัวข้าคันไปหมด เสื้อผ้าบ้านี่ล่ะ! ก่อนมา ข้าถูกใช้ให้ไปตักน้ำในลำธาร เป่าเป้ยของท่านก็รังแกข้า ข้าวิ่งฝ่าป่ามา ใบไม้ใบหญ้าพวกนั้นคงทำให้ข้าคันไปหมดแล้ว”
“ให้ข้าตามหมอหลวงมาดูดีหรือไม่?” โจวเจี้ยนกั๋วเริ่มระแวงว่าเด็กหนุ่มอาจแพ้ฤทธิ์สุราของหลิ่วกงกงแล้วกระมัง
หนุ่มน้อยรีบปฏิเสธ “เรื่องเล็กน้อยน่า พระองค์อย่าใส่ใจนักเลย ข้า! นายน้อยฉีอันฉี แข็งแรงดังโคถึก ใบไม้แค่นั้นทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
“เฮ๋! เจ้าเปรียบตัวเองกับวัวรึ?”
“แน่นอนสิ ข้าใช่หมู.. สัตว์ชนิดนั้นน่ะ มีคนแย่งไปแล้ว”
องค์รัชทายาทหัวเราะ “เจ้าหมายถึงอิ้งเยว่ล่ะสิ? เจ้านี่ฉลาดนัก เทียบเขาเป็นหมู เทียบตัวเองเป็นวัว ฮ่าๆๆ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
โจวเจี้ยนกั๋วส่ายพระพักตร์ “เอาเถิด จะเป็นวัวหรืออะไรไม่สำคัญ อาการคันเจ้าชักน่าเป็นห่วง เจ้ายังอยากดื่มต่อหรือไม่ หรือเจ้าอยากกลับไปพักดีล่ะ หากอยากกลับ ข้าจะให้คนไปส่ง ดูท่าเจ้าจะไม่ไหวแล้ว”
“ไม่นะ! สุรายังไม่ครบสิบกา! อย่างที่ตกลงกันไว้ ข้าขอดื่มต่อ!”
ทันใดนั้น องครักษ์ต้าเหนิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามา และรีบคุกเข่ากราบทูล “องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”
“ต้าเหนิง มิใช่ว่าข้าสั่งเจ้าให้ออกไปหรือ เจ้ายังกล้าฝ่าฝืนคำสั่งข้าอีกรึ?”
“โปรดอภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องด่วน” เขามองนางกำนัลเมาคอพับครู่หนึ่ง ก่อนกราบทูลเสียงหนักแน่น “อัครมเหสีลู่เสียน… เสด็จมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่ได้ยิน โจวเจี้ยนกั๋วพลันตื่นตระหนกลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันที “เจ้า…ว่าอะไรนะ! เสด็จแม่ของข้า? มาที่นี่งั้นหรือ!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“สะสหายน้อยของข้าเล่า! หากเสด็จแม่พบเข้า..เร็ว! คิดหาวิธีพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้!”
แต่ยังไม่ทันทำสิ่งใดได้ เสียงสตรีหนึ่งก็ดังแว่วมาอย่างเกรี้ยวกราด
“ผู้ใดก็ห้ามคิดหนี!”
“ส…เสด็จแม่!”