พลันที่ถ้อยคำนั้นหลุดจากปากคนตรงหน้า ฉีอันฉีก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ บุรุษผู้นี้หาได้มีฐานะต่ำต้อยไม่ ท่วงท่าสง่างามรวมไปถึงเครื่องแต่งกายหรูหราเช่นนี้ ต้องเป็นราชนิกุลองค์ใดองค์หนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อตระหนักได้ว่าตนอยู่ในฐานะบ่าวไพร่ ไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อไปได้เล่า ร่างเล็กรีบถอยกรูดไปก้าวหนึ่ง ปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มพลางยอบกายคารวะอย่างนอบน้อม
“หม่อมฉันมีนามว่าหลี่น่า ต้องขออภัยด้วยเพคะ หลี่น่าผู้นี้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”
“หือ? เจ้าคิดจะเปลี่ยนท่าที ก็เปลี่ยนได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ฮ่าๆ... จุ๊ จุ๊... เจ้าช่างเป็นสตรีที่ประหลาดนัก ข้าไม่เคยพบเห็นสตรีใดเป็นเช่นเจ้ามาก่อน วันนี้ถือว่าข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
คนถูกตราหน้าว่าประหลาดได้แต่ก้มหน้ามองพื้นดินมิกล้าสบตา ทว่าในใจกลับโต้เถียงอย่างไม่ยอมความ ‘ข้าประหลาดที่ไหนกัน ท่าทางอย่างเจ้าเป็นถึงราชนิกุลต่างหากเล่า ที่ประหลาดกว่าข้าซะอีก! มีอย่างที่ไหนกัน!’
“เอาเถอะแม่นาง เจ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก ข้าเบื่อพวกที่เอาแต่นอบน้อมต่อหน้าข้าเต็มทีแล้ว เจ้าพูดกับข้าอย่างที่ถนัดเช่นเมื่อครู่เถิด น่าสนุกกว่าเป็นไหนๆ”
“ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่าเพคะ หลี่น่าเป็นเพียงทาสรับใช้ ฐานะต้อยต่ำเพียงดิน มิอาจทำ... ทำ...”
ไม่ทันสิ้นคำ บุรุษผู้นั้นกลับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นแทบจะรดแก้ม ฉีอันฉีถึงกับพูดตะกุกตะกักออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ “ทะ... ท่านจะทำอะไร...”
ดวงตาคมปลาบจ้องมองใบหน้าของแม่นางน้อยอย่างพินิจพิจารณา แม้นางจะสวมอาภรณ์สตรี หากแต่มีรูปร่างสูงโปร่งผิดตา ทว่าก็ดูบอบบางราวกิ่งหลิวต้องลม ผิวพรรณขาวเนียนละมุนดุจหิมะต้นฤดูหนาว ต้องแสงอาทิตย์แล้วพลันแวววาวประหนึ่งหยกเนื้อดี ใบหน้าหวานละมุนคล้ายสตรีถึงแปดส่วน ทว่าไม่ใช่ความงามแบบอ่อนแอ หากเป็นความงามที่เปี่ยมชีวิตชีวา แฝงแววซุกซนอยู่ในที
เขาเลื่อนสายตาพินิจเครื่องหน้าทีละส่วน ดวงตาคู่นั้นเรียวยาวดุจน้ำค้างบนกลีบดอกเหมย แฝงแววอ่อนโยนทว่ามีประกายฉลาดเฉลียวซ่อนอยู่ลึกๆ จมูกโด่งรั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อที่เม้มเข้าหากันแน่นยามถูกจ้องมอง ทำเอาผู้มองเผลอใจสั่นโดยไม่รู้ตัว
“แม่นาง... เจ้ากลัวข้ารึ?”
“ทะ... ท่าน คือ... หม่อมฉัน...”
ขณะที่ต้องเอนตัวหนี ในใจกลับมีคำพูดพรั่งพรู ‘ชิ! จู่ๆ ก็ยื่นหน้ามาใกล้ข้าถึงเพียงนี้ ไม่ถูกข้าถีบเข้าให้ก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว คนอย่างนายน้อยฉีอันฉี มีหรือจะกลัวคนอย่างเจ้า!’
ผู้ไม่รู้ตัวเองว่าตนถูกด่า พูดขึ้นว่า “อ๋า! ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวกับเจ้าสินะ” ร่างสูงยืดตัวตรง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางกระแอมไอทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำ เน้นย้ำทีละคำเป็นพิเศษ
“เจ้าจงฟังให้ดีล่ะ... ข้า! คือ... โจว เจี้ยน กั๋ว!”
บุรุษน้อยในคราบสตรีถึงกับตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินนี้ “หะ... หา! ท่านคือ... องค์รัชทายาท..โจวเจี้ยนกั๋ว ผู้นั้นหรือเพคะ!”
ฉีอันฉีรีบรวบรวมสติกลับคืนมาในทันที คนตรงหน้านั้นคือองค์รัชทายาทเชียวนะ! ในภายภาคหน้าจะต้องขึ้นเป็นเทียนจื่อ (โอรสสวรรค์) ปกครองคนทั่วหล้า เศษธุลีดินอย่างตนไยจะบังอาจวางตนเสมอพระองค์ได้อีกเล่า หนุ่มน้อยลนลานถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สองขาพลันอ่อนแรงจนต้องรีบคุกเข่าลงกับพื้น ประสานมือคารวะจนหน้าผากแทบจรดธรณี
“หม่อมฉันมีตาหามีแววไม่... ได้โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ดูเจ้าซี้ ข้าทำให้เจ้าตกใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“หามิได้เพคะ เป็นหม่อมฉันที่ตาบอดเอง ขอองค์รัชทายาททรงเมตตาด้วย”
“เฮ้อ! เจ้านี่นะ ประเดี๋ยวก็ขอรับโทษ ประเดี๋ยวก็ขอให้อภัย ตกลงเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่ หากเจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าก็หมดสนุกกันพอดี”
“...”
“เอาเถอะๆ ไม่ต้องมากพิธีแล้ว แม่นาง เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ” ฉีอันฉีลุกขึ้นยืนตามคำสั่ง
ในเวลาเดียวกัน ก็มีร่างหนึ่งในเครื่องแบบทหารหน้าตาตื่นเข้ามา องครักษ์ต้าเหนิงผู้มีร่างกายกำยำรีบคุกเข่าลงกับพื้น “ทูลรัชทายาท กระหม่อมละเลยต่อหน้าที่อย่างไม่น่าให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ ขอสั่งลงโทษด้วย”
องค์รัชทายาท “ต้าเหนิง เจ้าทำผิดเรื่องใดรึ”
เขาใช้หางตาชำเลืองไปยังสตรีตัวน้อยที่บังอาจบุกรุกเขตหวงห้ามแวบหนึ่ง ก่อนทูลต่อ “กระหม่อมมีความผิดใหญ่หลวง โทษฐานปล่อยให้แม่นางผู้นี้ล่วงล้ำเข้ามาในตำหนักตงหยางโดยไม่ได้รับอนุญาต พ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสินะ เจ้าเป็นถึงทหารองครักษ์ของข้า ไฉนจึงละเลยหน้าที่ เจ้าปล่อยให้คนแปลกหน้าเข้ามาง่ายดายเพียงนี้ หากคนที่มา มิใช่นาง แต่เป็นมือสังหารคิดปองร้ายข้า องครักษ์เช่นเจ้า รับผิดชอบไหวหรือ?.. เจ้ารู้ความผิดหรือไม่?”
ต้าเหนิง “กระหม่อมสมควรตาย! กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
“เอาเถอะๆ เห็นแก่ความจงรักภักดีของเจ้า ข้าจะไม่เอาผิดกับเจ้า ถือเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน” องค์รัชทายาทเว้นวรรคอย่างมีเลศนัย ก่อนรับสั่งต่อ “เพียงแต่...”
“เพียงแต่.. หรือ พ่ะย่ะค่ะ?” เขาแหงนหน้าขึ้นมา พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เจ้าต้องทำบางอย่างให้ข้าสักหน่อย เพื่อเป็นการลบล้างความผิดของเจ้า” เขากล่าวอย่างมีแผน
อันที่จริง ต้าเหนิงเองก็นับว่ามีความชอบอยู่บ้าง หากมิใช่เพราะความเผลอเรอของเขาแล้ว องค์รัชทายาทคงไม่มีโอกาสได้พบเจอแม่นางน้อยผู้ชวนให้สนใจผู้นี้เป็นแน่
“องค์รัชทายาทประสงค์สิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า! รีบไปจัดเตรียมสุรามาให้ข้า”
“สุรา? ยามนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถูกต้อง ตอนนี้! ข้าอยากร่ำสุรากับแม่นางน้อยผู้นี้สักหน่อย”
“หา!”
“หา!”
ทั้งองครักษ์ต้าเหนิงและฉีอันฉีต่างอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกตะลึง ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายยิ่งนัก ว่าที่เจ้าชีวิตของแผ่นดินกลับอยากดื่มสุราร่วมกับนางกำนัลชั้นต่ำเนี่ยนะ!
สำหรับต้าเหนิงนั้น พอจะเข้าใจได้ เพราะคุ้นชินกับนิสัยรักสนุกและชอบเรื่องแปลกใหม่ของเจ้านายตนดี ทว่าก็อดกังวลไม่ได้...
‘องค์รัชทายาททรงให้ความสนพระทัยนางคนนี้แล้วหรือ? หากอัครมเหสีลู่เสียนทรงทราบเรื่องเข้า คงเป็นเรื่องใหญ่แน่!’ องครักษ์ต้าเหนิงคิดในใจ
พระมเหสีลู่เสียน ไม่ทรงโปรดให้โอรสข้องแวะกับบ่าวไพร่ต่ำต้อยทั้งปวง หญิงงามทุกนางในตำหนักตงหยาง ล้วนเป็นผู้ที่พระนางคัดเลือกด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น
ฝ่ายฉีอันฉีที่เพิ่งพบองค์รัชทายาทเป็นครั้งแรก ยิ่งรู้สึกสับสนต่อพระองค์เข้าไปใหญ่ ทรงตรัสว่าจะดื่มสุราร่วมกับเขา ทว่ากลับมิได้ไถ่ถามความสมัครใจของเขาสักคำเดียว
“ตะ... แต่ หม่อมฉัน...”
“แม่นางน้อย เจ้ามีความผิดติดตัวนะ หากคิดจะปฏิเสธข้า ข้าย่อมต้องลงโทษเจ้า... และโทษนั้นก็หนักหนานัก เจ้ารู้อย่างนี้แล้ว ก็จงตัดสินใจเอาเองเถอะ”
“หม่อมฉันมีความผิดอันใดเพคะ!” ฉีอันฉีเถียงสู้ยิบตาอย่างลืมตัว
“มิผิดรึ? เจ้าบังอาจบุกรุกตำหนักตงหยางของข้า ทำลายข้าวของของข้า เจ้าดูนั่น!” เขาใช้พัดในมือชี้ไปยังแจกันลายครามที่แตกกระจายบนพรมและฉากกั้นมังกรที่ล้มระเนระนาด “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือเจ้า ยังไม่นับที่เจ้าคิดทำร้าย ‘เป่าเป้ย’ สัตว์เลี้ยงของข้าอีก ทีนี้บอกข้ามา หากข้าคิดบั่นคอเจ้า เจ้ายังจะรอดพ้นได้อีกหรือ?”
เพียงได้ยินคำว่าบั่นคอ ฉีอันฉีถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ รีบโขกศีรษะลงกับพื้นรัวๆ “องค์รัชทายาท ได้โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
เจ้าลิงน้อยเป่าเป้ยจอมแสบ ไม่ได้หนีไปไหนไกล มันยืนตบมือแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างชอบอกชอบใจอยู่ข้างกายเจ้านายของมัน
องค์รัชทายาทจูงมือสัตว์เลี้ยงเดินเข้าไปหาคนที่เอาแต่โขกศีรษะ “พอเถิดแม่นาง ทีนี้เจ้าจะยอมดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าได้หรือยัง?”
หน้าผากของหนุ่มน้อยเริ่มแดงเป็นปื้น ทว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาสำคัญยิ่งกว่า “ชะ... เช่นนั้น ก็สุดแล้วแต่พระองค์จะกรุณาหม่อมฉันเพคะ”
“ฮ่าๆ เห็นหรือไม่ หากเจ้ายอมรับคำเชิญเสียแต่แรก ข้าก็มิต้องทำให้เจ้าขวัญเสียถึงเพียงนี้ ฮ่าๆ” ทรงพระสรวลเสียงดังลั่นก่อนหันไปสั่งองครักษ์ของเขา “ต้าเหนิง!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ารีบไปจัดเตรียมสุรามา อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ!”
“แต่กระหม่อม เกรงว่า...”
เมื่อต้าเหนิงมีท่าทีลังเล พระพักตร์ขององค์รัชทายาทก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมดุดันทันที “เจ้าเอง ก็คิดจะฝืนคำสั่งข้าอีกคนรึ!”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” ต้าเหนิงรีบรับคำแล้วรุดออกไปทันที
โจว์เจี้ยนกั่วหันไปทางแม่นางน้อย “ส่วนเจ้า รีบลุกขึ้นสิ สหายน้อยของข้า”
ฉีอันฉีไม่มีทางเลือกอื่น รีบรับคำผู้มีอำนาจสั่งเป็นสั่งตายทันที “ขอบพระทัยเพคะ” แล้วลุกขึ้นอย่างว่าง่าย
“แม่นางน้อย เจ้าอย่าได้กังวลไป ข้าเพียงต้องการเพื่อนร่วมดื่มสุรา และการที่เจ้ามาได้จังหวะเช่นนี้ มิใช่ว่า นับเป็นวาสนาแล้วหรอกหรือ? จากนี้ไป พวกเรา นับเป็นสหาย เจ้าตกลงหรือไม่?”
“เพคะ”
“ช่างน่าเบื่อ... เจ้ามัวแต่เอ่ย เพคะ เพคะ อยู่ได้เช่นนี้… ข้าอยากให้เจ้าพูดกับข้าให้มากกว่านี้หน่อยเถิด ข้าอยากฟังเจ้าพูดเสียยืดยาว... สหายน้อย ตราบใดที่อยู่ต่อหน้าข้า ห้ามเจ้าถามคำตอบคำเช่นนั้นเด็ดขาด”
“เพคะ”
“เฮ๋!”
“ก็ได้ๆ หม่อมฉันจะพยายาม เพคะ”
“ต้องอย่างนี้สิ สหายน้อยของข้า ฮ่าๆๆ”