เรือนไม้สีเขียวหลังเล็กสำหรับบ่าวไพร่ตั้งตระหง่านอยู่เป็นแนว มุงหลังคาด้วยกระเบื้องสีน้ำตาลอมดำ ถนนคอนกรีตแคบ เชื่อมระหว่างเรือนพักแต่ละหลัง ซึ่งหนึ่งเรือนถูกแบ่งพื้นที่ใช้สอยให้แก่นางกำนัลสองคน ฉีอันฉีกับนางกำนัลรุ่นพี่นามว่าไป๋หลาน ได้รับอนุญาตให้อาศัยร่วมกัน
หนุ่มน้อยในคราบสาวงามย่องมาหยุดที่หน้าประตูเรือนพัก เขาค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง ไม่ลืมเหลือบมองซ้ายขวาเพื่อตรวจตราว่ามีใครเห็นสภาพที่เปรอะเปื้อนของตนหรือไม่ เสื้อผ้าเปื้อนโคลน เส้นผมยาวกระเซิงเช่นนี้ หากมีผู้ใดพบเข้า คงหนีไม่พ้นถูกท่านหัวหน้าบ่าวรับใช้เรียกตัวไปสอบสวนเป็นแน่ เมื่อเห็นว่าปลอดคน ฉีอันฉีก็รีบผลุบกายเข้าไปด้านในทันที และหับประตูลงอย่างแผ่วเบา
เขากวาดตามองไปรอบห้องพัก นอกจากข้าวของเครื่องใช้แล้วก็ไม่พบแม้แต่เงาของนางกำนัลรุ่นพี่ เขาใช้มือป้องปากลองเรียกดู “พี่ไป๋หลาย” ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ฉีอันฉียิ้มหน้าระรื่น “ไม่อยู่นี่ ฮ่าๆ”
เขาก้าวเดินดุ่มๆ ด้วยท่าทีอย่างบุรุษเข้าห้องของตน รีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสกปรกออกจากเรือนกาย และใช้เท้าเขี่ยมันไปกองไว้ข้างฝาอย่างไม่ไยดี
ไม่นาน บุรุษน้อยในคราบแม่นางน้อยก็เดินออกมาจากเรือนพัก และเร่งฝีเท้าไปยังเรือนครัวซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อมาถึงแล้ว เขาจัดแจงพับแขนเสื้อเหนือข้อศอก ตั้งหน้าตั้งตาหยิบจับอุปกรณ์เครื่องครัว ทั้งถ้วย ชาม กะละมัง หม้อ ไห มาล้างทำความสะอาดอย่างขะมักเขม้น
ก่อนนี้มีข่าวลือหนาหูจากปากพวกบ่าวมีหน้าที่ในเรือนครัว พูดว่าองค์ชายรองจะเสด็จมาเสวยพระกระยาหารร่วมกับพระชายาเยี่ยนฟาง นี่ถือเป็นข่าวดีที่สุดนับตั้งแต่เขาแฝงตัวเข้ามาในวังแห่งนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่นายน้อยฉีอันฉียินดีและเต็มใจลงมือทำงานในครัวโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ และไม่ต้องมีใครสั่งให้ทำ
“โอ้โห ดูสิ นั่นใครกัน เจ้าเด็กกะโปโลที่ไหนเนี่ย บทเจ้าจะตั้งอกตั้งใจทำงาน เจ้าก็ทำได้ดีนี่” ไป๋หลาน นางกำนัลรุ่นพี่เอ่ยปากชมเปาะ พลางขยับเข้ามาใกล้ นางชะโงกหน้าตรวจดูผลงานของรุ่นน้อง
ฉีอันฉี “พี่สาว ข้าทำเช่นนี้ ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
ไป๋หลานตอบทันควันด้วยท่าทีของพี่สาวใจดี “หากข้าไม่เห็นกับตาตัวเอง ข้าคงไม่เชื่อแน่ ถ้วยชามสะอาดเอี่ยมถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นฝีมือเจ้าหรือ?” พูดพลางยกชามขึ้นมาส่องดูใกล้ๆ “ดูสิ ไม่เหลือคราบมันแล้วจริงด้วย”
“แหงสิ ข้าทำเองทั้งนั้น... ก็วันนี้น่ะ องค์ชายอิ้งเยว่จะเสด็จมาเรือนหมู่ตานฮวาไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“หลี่น่า ข้าขอถามเจ้า” นางเรียกชื่อใหม่ที่ฉีอันฉีตั้งขึ้นสำหรับตัวเองให้ดูเป็นสตรี แล้วพูดต่อว่า “เจ้าน่ะ... ชื่นชมพระชายาเยี่ยนฟางมากรึ”
เขาตอบพี่สาวด้วยสีหน้าภาคภูมิ “พี่ไป๋หลาน ท่านดูสิ พระชายาเยี่ยนฟางของพวกเรานั้น ทั้งมีจิตใจดี ทั้งมีรูปโฉมงดงามปานนี้ ช่างเหมาะสมกับองค์ชายอิ้งเยว่ยิ่งนัก บ่าวไพร่ในตำหนักไฉ่หง ล้วนชื่นชอบพระชายาทั้งนั้น”
“อืม เจ้าพูดมีเหตุผล พระชายางดงามกว่าผู้ใด ความงามของสนมนางใดในตำหนักไฉ่หง ล้วนสู้พระชายาเยี่ยนฟางไม่ได้”
“ก็พี่เยี่ยนฟางของข้า เป็น...” หนุ่มน้อยเผลอหลุดปากออกไปคำหนึ่ง ก่อนจะใช้มือตบปากตัวเองเบาๆ หลายที
ไป๋หลานที่ได้ยินคำพูดเมื่อกี้เต็มสองหู ถึงกับแตกตื่นรีบถามซ้ำ “เจ้าว่าอะไรนะ! เจ้าเรียกใครกัน พี่เยี่ยนฟางของเจ้า?”
“อะเอ่อ... ไม่ใช่ๆ ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าเพียงเห็นพระชายามีบางอย่างคล้ายพี่สาวข้าที่บ้านนอก จึงเผลอหลุดปากพูดผิดไปบ้าง”
นางบ่าวรุ่นพี่พู่ผ่อนลมหายใจยาวราวจะระบายความตื่นตระหนก ก่อนยกมือตบอกตัวเองเบาๆ ท่าทางเหมือนเพิ่งคลายใจไปได้ครึ่งหนึ่ง ทั้งรีบสั่งสอนบ่าวรุ่นน้อง “หลี่น่า เจ้าพูดผิดก็แล้วไปเถอะ... เจ้าอย่าได้มักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัวเด็ดขาด เจ้ารู้หรือไม่ บ่าวรับใช้อย่างพวกเรามิอาจเทียบชั้นกับพระชายา”
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ไป๋หลาน ที่ช่วยเตือนสติข้า”
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยและล้างผักไปด้วยนั้น นางกำนัลอาวุโสร่างท้วมก็เดินเข้ามา หวังเหอ ท้าวเอวพลางกล่าวว่า “เจ้าสองคนจะใช้เวลาอีกนานหรือไม่ ล้างผักแค่นี้ ไฉนสิ้นเปลืองเวลาถึงเพียงนี้ พวกเจ้าดูคนอื่นสิ พวกข้ารีบทำงานจนมือจะหักอยู่แล้ว ไฉนพวกเจ้าเอาแต่หาเรื่องสนุกมาพูดคุยเล่น” นางชี้นิ้วมาทางฉีอันฉี “ส่วนเจ้า! หลี่น่า รีบไปตักน้ำมาเพิ่ม เร็วเข้าล่ะ อย่าให้พวกข้าต้องรอนาน”
ฉีอันฉี ไป๋หลาน หันมาพยักพเยิดหน้าใส่กัน บ่าวรุ่นพี่บุ้ยปากส่งสัญญาณให้รุ่นน้องเชื่อฟังหวังเหอ ถ้าไม่อยากมีปัญหา
ฉีอันฉียอมละมือจากงานที่ทำอยู่ หันมาย่อเข่าถอนสายบัวอย่างประชดประชัน “เจ้าค่ะท่านป้า” รับคำเสร็จ เด็กหนุ่มก็รีบรุดหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้ป้าเหอด่าทอเขาได้อีก
ป้าเหอถึงกับเดือดดาล “เมื่อครู่เจ้าเรียกใครท่านป้ากัน! นังเด็กบ้า ปากสุนัข กลับมาให้ข้าตีเจ้าเดี๋ยวนี้นะ ใครสั่งใครสอนให้เจ้าเรียกข้าเช่นนั้น ฮ่ะ!” ท่านป้าร่างท้วมเพิ่งจะอายุยี่สิบห้า ทว่าใบหน้าไปไกลกว่าอายุจริงมาก หากใครไม่รู้คงคิดว่าหวังเหอใกล้เลขสี่ปลายๆ ไปแล้ว เมื่อถูกสาวน้อยพูดแทงใจดำเช่นนี้ หากจับตัวคนปากสุนัขมาได้ล่ะก็ ป้าเหอคิดจะตีให้หายแค้นเลยทีเดียว
ผู้ที่แอบชังน้ำหน้านังอ้วนหวังเหอมานานแล้วอย่างไป๋หลาน พลันทำปากบุ้ยบ้ายล้อเลียนคำเรียกป้าของฉีอันฉีอย่างเงียบเชียบ ราวกับได้พบเจอเรื่องสนุกที่นางไม่มีความกล้าพอจะทำเช่นนี้มาก่อน ช่างรู้สึกสาแก่ใจอะไรเช่นนี้..
...ณ ที่ริมลำธาร หลังจากฉีอันฉีหาบน้ำใส่โอ่งในครัวจนเต็มแล้ว เขาถือโอกาสนั่งพักเอาแรงสักหน่อย เขาเลือกโขดหินใหญ่ข้างลำธารนั้น ใช้งานต่างเตียงนอน เขาเอนกายไปบนนั้น ใบหน้าหล่อเหลาแหงนดูดวงตะวันที่ยังคงทอแสงลอดผ่านกิ่งไม้ พลันคิดขึ้นได้ว่า ยังพอมีเวลาเหลือ กว่าจะถึงเวลาองค์ชายอิ้งเยว่เสด็จมาเพื่อร่วมเสวยพระกระยาหารพร้อมหน้าภรรยาเอกเช่นพี่หญิงของเขา
‘รอให้ถึงตอนนั้นเถอะ ข้าค่อยไปดู’ เขาใคร่รู้นัก แท้จริงแล้วพี่เขยหน้าตาเป็นเช่นไร งดงามหรือไม่ หรือว่าขี้ริ้วขี้เหร่กันแน่ เสียดายก็แต่วันนั้น มีโอกาสได้เห็นแล้วแท้ๆ ทว่าระยะไกลเกินไป จากที่พี่เขยยืนอยู่ และตนก็ซุ่มอยู่หลังพงอ้อสูงท่วมหัว
จังหวะนั้นเองพลันมีลมเย็นพัดมากระทบร่างคนที่กำลังคิดเรื่อยเปื่อย เขาลุกขึ้นนั่งบนโขดหินใหญ่ ใช้กำปั้นทุบไหล่ซ้ายทีขวาทีหวังบรรเทาความเมื่อยล้า พลันแหงนมองยอดไผ่สูง ที่กำลังไหวเอนเสียดสีไปตามแรงลมอย่างเพลินตา ทว่าใครจะไปคาดคิด อยู่ดีๆ ก็มีของแข็งลอยมาจากไหนมิอาจทราบได้ กระทบศีรษะฉีอันฉีเข้าอย่างจัง
“โอ้ย!” หนุ่มน้อยยกมือกุมศีรษะเอาไว้ “มารดามันเถอะ ผู้ใดกัน! กล้าทำร้ายข้า! ออกมานะ!”
คนถูกทำร้ายกวาดตามองไปโดยรอบ แต่กลับไร้เงาคนก่อเหตุประทุษร้าย อีกทั้งไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เขาแหงะหน้ามองไปทางขวา กลับพบว่าพุ่มไม้หนาตากำลังไหวเอนวูบวาบ ฉีอันฉียกนิ้วชี้ไปทางนั้นทันที
“เป็นเจ้าใช่หรือไม่? ข้าเห็นเจ้าแล้วนะ รีบออกมานะ ก่อนที่ข้าจะตามไปถลกหนังเจ้า... เจ้าคนชั่ว!”