แม้พูดคุยกับเจ้าตัวเล็กอย่างฉีอันฉีตลอดทั้งวัน องค์ชายอิ้งเยว่กลับไม่รู้สึกเบื่อ ดูดูไปก็น่าขันพิลึก มีอย่างที่ไหนกัน คนกับลิงพูดคุยเป็นตุเป็นตะ ราวกับว่ามันฟังภาษามนุษย์เข้าใจอย่างนั้นแหละ เจ้าบ๊องบ้องตื้นคนนี้คงลืมไปแล้วว่านั่นน่ะ 'เดรัจฉานไม่ใช่หรือไง'
อิ้งเยว่ “น้องชาย ในเมื่อมันยอมคืนของให้เจ้า ไฉนเจ้ามัวแต่รีรอ ไม่รีบสวมอาภรณ์ของเจ้าเสียเล่า”
ฉีอันฉีหันมาตอบอย่างเห็นด้วย “ก็ได้ๆ ข้าสวม ข้าสวมแล้ว”
หนุ่มน้อยละความสนใจจากเจ้าลิงทะโมนแล้วตั้งอกตั้งใจสวมอาภรณ์สีหวานทันที.. ก่อนนี้เขาสวมอาภรณ์ที่ไม่ใช่คนตนนับว่ายุ่งยากไม่น้อย ทว่าเมื่อสวมมันหลายครั้งต่อหลายครั้ง อันฉีกลับรู้วิธีนุ่งอาภรณ์สตรีได้ไม่ยาก ทั้งยังไม่รู้สึกขวยเขิน
อีกฝ่าย ระหว่างรอเจ้าตัวเล็กสวมเสื้อผ้า องค์ชายอิ้งเยว่ทอดสายตามองไปรอบๆ โถง ที่แห่งนี้ไร้การเหลียวแลมานานหลายปี จึงไม่แปลกที่จะมีฝุ่นกรังเกาะตามโต๊ะเก้าอี้และตั่งนอน ซึ่งเคยเป็นของใช้สอยของมารดาเขามาก่อน เนื่องจากไม่มีบ่าวคนใดกล้าเข้ามา
ครั้งหน้าหากคิดจะมาเยือนอีก เห็นทีเขาคงต้องลงมือทำเอง หากแต่จะว่าไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ถึงจะไม่น่าอยู่ แต่ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายจนเกินไป หากเทียบกับคุกที่เตรียมไว้ขังผู้มีความผิด การกระทำเช่นนี้มิใช่แสดงให้เห็นแล้วหรอกหรือว่า เทียนจื่อยังคงอาลัยอาวรณ์ต่อสตรีผู้เป็นที่รักของพระองค์ เช่นพระสนมกุ้ยเฟยมารดาของเขา
เทียนจื่อมิอาจตัดสายสัมพันธ์ให้ขาดสะบั้นดังคำล่ำลือ แม้มารดาจะถูกปลดจากตำแหน่งพระสนม ทั้งถูกสั่งลงโทษในสถานที่กักขังห่างไกลผู้คนเยี่ยงนี้ หากไม่นับเรื่องจำกัดอาหารที่พระบิดารับสั่งให้มารดากินหนึ่งมื้อต่อสามวันเพื่อทรมานนาง ในความผิดโทษฐานคบชู้สู่ชาย อย่างอื่นก็ถือได้ว่ามิได้ทำให้นางลำบากเกินไป
ฉีอันฉีแต่งกายเสร็จสรรพ เหลือเพียงผมเผ้าที่ยังคงกระเซิง “พี่ชาย พวกเราสนทนามานานเพียงนี้ ข้ายังไม่ทราบชื่อแซ่ของท่านเลยนะ ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่?”
อิ้งเยว่หันมาสบสายตากับอีกฝ่าย “ชื่อแซ่ของข้านั้น ไม่สำคัญอันใด หากเจ้าอยากเรียกข้าเช่นไร เจ้าก็จงเรียกตามใจเจ้าเถอะ”
“เฮ๋!... ท่านพูดจริงหรือ” หนุ่มน้อยมีท่าทีตื่นเต้นพลางเอียงคอถามให้แน่ใจ เขามีชื่อเป็นร้อยเป็นพันในหัวอยู่แล้ว ที่ผ่านมาเขาโปรดปรานตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว นก ม้า หรือเจ้าลาโง่ ล้วนมีชื่อดีเพราะเขา มาถึงตอนนี้มีโอกาสตั้งชื่อมนุษย์ตัวโตๆ แถมยังอายุแก่กว่าเขาหลายปี ฉีอันฉีย่อมไม่พลาดโอกาสนี้เป็นแน่
“ดูเจ้าซี้ ตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ทำไมรึ! เจ้าไม่ชอบที่ข้าบอกให้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ใช่หรือไม่”
“ข้าชอบสิ ข้าชอบ ฮ่าๆ”
"งั้นเจ้าตั้งสิ"
ฉีอันฉีกลอกตามองเพดานเค้นสมองครุ่นคิด แล้วก็ดีดนิ้วเปาะ “อ๋า! ข้าเรียกท่าน พี่ชุน ได้หรือไม่?”
คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากัน “เหตุผลเล่า ไฉนข้าชื่อพี่ชุน?” แม้บอกตามใจฝ่ายตรงข้ามไปก่อนแล้ว ทว่าเขาก็ยังอยากทราบเหตุผลอยู่ดี
“ชุน… อักษรตัวนี้แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งก็คือตอนนี้ ข้าพบท่านในช่วงฤดูใบไม้ผลิอย่างไรเล่า”
“เป็นเช่นนี้เอง ชื่อดีๆ เช่นนั้น จากนี้ไปข้าก็ชื่อพี่ชุนของเจ้า”
“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็มีสหายในที่แบบนี้แล้ว อีกทั้งข้าไม่ต้องแสร้งเป็นสตรีต่อหน้าท่านอีก ฮ่า ๆ”
“ทำไม... เจ้ามีความสุขหรือ”
“ถูกต้อง ข้าย่อมต้องมีความสุขอยู่แล้วสิ ท่านดูนะ” เขายกมือขึ้นมานับข้อทีละข้อ “ข้าตั้งชื่อใหม่ให้ท่าน ทั้งมีท่านเป็นสหายรู้ใจอีก เช่นนี้ มิใช่ว่านับเป็นโชคดีของข้าแล้วหรอกหรือ... เอาล่ะ ท่านพี่ชุน ข้าต้องไปแล้ว ป่านนี้นางพวกนั้นคงเรียกหาข้าให้วุ่นวายไปแล้วกระมัง” ฉีอันฉีหมายความถึงเหล่านางกำนัลมีหน้าที่ทำงานในครัว
“เมื่อเจ้าไปแล้ว ครั้งหน้า พวกเราพบกันอีก ได้หรือไม่?” จู่ ๆ อิ้งเยว่ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากให้เวลาพบกันระหว่างเขากับเจ้าหนุ่มน้อยต้องสิ้นสุดเพียงเท่านี้
“ได้สิ ข้าต้องมาพบท่านที่นี่อีกแน่ อย่างน้อยท่านก็ทำให้ข้าสบายใจ ไม่ต้องทนข่มกลั้นเช่นตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น”
“ตกลง! ข้าก็จะมาที่นี่เช่นกัน พวกเราเป็นสหายแล้วนะ ถูกหรือไม่?”
ฉีอันฉีก้าวเข้ามาหยุดยืนในระยะประชิดคู่สนทนา เขายื่นนิ้วก้อยออกไปตรงหน้า “ตกลง ท่านพี่ชุน ท่านกับข้า เราเป็นสหายกันแล้ว”
“เจ้าลิงน้อย ตกลงตามนี้”
ทว่าคำเรียกขานสรรพนามตนเล่า ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้ ฉีอันฉีรีบทักท้วงทันที “เฮ๋! ท่านขี้โกงนี่! ไฉนข้ากลับกลายเป็นเจ้าลิงน้อยของท่านไปแล้วเล่า”
“นั่นเป็นเพราะ ลิงตัวนั้นอย่างไรเล่า” เขาชี้ไปที่ลิงทะโมน “มันชักนำเจ้ามาพบข้า ข้าพูดเช่นนี้ มีเหตุผลหรือไม่?”
ดูเหมือนว่าคนถูกเรียกนามใหม่มิอาจปฏิเสธได้แล้ว จึงฝืนใจยอมรับไปก่อน “ก็ได้ ก็ได้.. ท่านทำให้ข้าสบายใจถึงเพียงนี้ อยากเรียกข้าว่าอะไร ก็สุดแล้วแต่ท่านก็แล้วกัน”
ทั้งสองตกลงเสร็จสรรพ ก่อนหันไปมองยังทิศทางของลิงทะโมนพร้อมกัน ทว่าคราวนี้พวกเขากลับเห็นเพียงความว่างเปล่า
“เฮ๋! เจ้าลิงตัวนั้นมันหายไปแล้วนี่” หนุ่มน้อยแหงะหน้ามาทางประตูเหล็กเก่า แม้ทรุดโทรมมีสนิมขึ้นไปบ้าง แต่ก็ยังแข็งแรงดี หากปิดเอาไว้ย่อมแน่นหนามิดชิด เจ้าทะโมนแสบตัวนั้นไม่มีทางออกไปได้แน่ “มันออกไปทางไหนกัน ตอนข้าเข้ามาก็เป็นเช่นนี้ ข้าตามมันมาจากลำธารฝั่งนู้น ไฉนลิงเข้ามาในนี้ได้!”
“เจ้าคงไม่รู้ ที่แห่งนี้มีช่องทางลับ”
“ช่องทางลับหรือ?... อ๋า ข้าพอเข้าใจได้ ท่านเป็นทหารยามนี่ ย่อมคุ้นชินที่แห่งนี้เป็นธรรมดา”
คนปลอมเป็นทหารยามพูด “เจ้าอยากไปดูหรือไม่?”
คนถูกชวนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แม้กังวลว่าจะมีผู้อื่นเรียกหาไม่พบ แต่เขาก็ไม่สามารถหักห้ามนิสัยอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้เช่นกัน
“ข้าเสียเวลาอีกหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง เอาอย่างนี้ ท่านพี่ชุน ท่านช่วยพาข้าไปดูทางลับสักหน่อยเถอะ”
“ย่อมได้ เจ้าตามข้ามา”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนจากบันไดสามขั้นที่เชื่อมพื้นต่างระดับ มีสองชั้น ชั้นบนไว้สำหรับวางเตียงนอน ส่วนด้านล่างเป็นที่โล่งกว้าง มีเครื่องใช้ไม้สอยประเภทโต๊ะไม้ เก้าอี้ไม้เพียงไม่กี่ชิ้น... ตำหนักเย็นแห่งนี้มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลมคล้ายถ้ำ ถูกปลูกสร้างจากพื้นที่เคยเป็นป่ารกร้างติดเชิงเขาสูง พื้นที่จึงสูงต่ำไม่เสมอกัน เมื่อก่อนเทียนจื่อสั่งให้ทหารนำตัวเชลยมาถากถางทำความสะอาด ทั้งลงแรงใช้วัสดุที่มีอยู่ในยุคนั้นปลูกสร้างตำหนักเย็นจนแล้วเสร็จ ทรงรับสั่งให้มีทางออกเพียงทางเดียว คือประตูใหญ่ เพื่อไม่ให้ผู้ถูกคุมขังหนีไปได้ อีกทั้งมีทหารเฝ้าเวรยามตลอดวันตลอดคืน จนกระทั่งพระสนมเอกกุ้ยเฟยผู้มีความผิดร้ายแรงสิ้นลมหายใจในที่แบบนั้นอย่างคาดไม่ถึง เทียนจื่อทรงสั่งถอนกำลังทหารทันที ทรงปล่อยตำหนักเย็นร้างไว้แบบนั้น เพียงออกคำสั่งให้ทหารกั้นรั้วลวดหนามเอาไว้ ห้ามผู้ใดเข้ามา
องค์ชายอิ้งเยว่พาฉีอันฉีไปด้านหลังตำหนัก ซึ่งมีผนังปิดกั้นบังตาไว้ มีทางเดินแคบพอคนผ่านได้ ไว้สำหรับเป็นที่ปลดทุกข์หรือใช้อาบน้ำไปในตัว ช่องทางลับที่ว่านั้น หากไม่สังเกตก็จะไม่รู้ มีต้นหอมหมื่นลี้สองต้นปลูกไว้ในกระถางดินเผาใบใหญ่ขวางอยู่ แต่ตอนนี้สภาพกระถางและต้นไม้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วเพราะกาลเวลาที่เลยล่วงมาหลายปี
“ตรงนั้น” เขาชี้ให้ตัวเล็กดู
คนอยากรู้อยากเห็นเดินเข้าไปใกล้ๆ
ฉีอันฉี “เป็นเช่นนี้เอง มิน่าเล่า เจ้าลิงทะโมนมันเข้ามาในนี้ได้ ทั้งที่ประตูปิดไว้แน่นหนา แม้แต่ข้าออกแรงดึงสลักบ้านั่น กว่าจะสำเร็จลงได้ มันไม่ง่ายเลยนะ!”
“เจ้ามีความพยายามยิ่งยวด” เขากล่าวชมเชยตัวเล็ก ขณะใช้สายตามองผ่านทะลุอาภรณ์เบาบางของสตรีไปที่แผ่นหลังของฉีอันฉีอย่างไม่ตั้งใจ
“มันจำเป็นนี่!” ปากตอบพลางใช้สองตาสอดส่องตรวจดูช่องทางลับที่ว่าอย่างสนใจ มันมีลักษณะเป็นวงกลม ขนาดไม่นับว่าใหญ่หรือเล็ก เขาใช้มือลูบไล้ผนังเขียวคลึ้มไปพลางแล้วพูดต่อ “ใครใช้ให้เจ้าลิงตัวนั้นขโมยเสื้อผ้าข้าหนีมาเล่า... ช่องลับกว้างขนาดนี้ ลิงเข้าได้พอดี เช่นนั้น ข้าก็ต้องเข้าได้เช่นกัน” แล้วหันมาทางคนยืนอยู่เบื้องหลัง “ท่านพี่ชุน ข้าพูดถูกหรือไม่?”
เพียงคำพูดนี้จบลง องค์ชายอิ้งเยว่ก็คิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ถึงข้อกังขาในอดีตกาลที่ยังมิได้คลี่คลาย สิบปีก่อนเป็นเขาเองสั่งให้แม่นมจัดหาคนไว้ใจได้มาทำทางลับนี้ขึ้นมาโดยมิให้ผู้อื่นล่วงรู้ เช่นนั้นวันที่พระมารดาเขาสิ้นลมหายใจ ต้องมีคนค้นพบทางลับนี้เป็นแน่ การเสียชีวิตของพระมารดามันผิดวิสัยเกินไปแล้ว หรืออาจเป็นไปได้ว่ามารดาถูกคนลอบสังหาร? องค์ชายอิ้งเยว่มิอาจรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ในอกรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด ต้องไปทูลถามเอาจากพระบิดาให้กระจ่าง บางทีเทียนจื่ออาจช่วยไขปริศนาให้เขาหายค้างคาใจก็เป็นได้
ขณะองค์ชายอิ้งเยว่ร้อนรนคิดจะจากไปทันที จังหวะนั้นเอง ฉีอันฉีก็ร้องถามอีกว่า “ท่านพี่ชุน ข้าจะออกไปทางนี้ได้หรือไม่?”
เจ้าตัวเล็กในเสื้อผ้านางกำนัลสีหวานกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก เขาก้มตัวมุดลอดผ่านกิ่งต้นหอมหมื่นลี้แฝดออกมา ประเดี๋ยวก็ผลุบกลับเข้าไปข้างใน แล้วโผล่หัวยื่นหน้าผ่านกิ่งก้านสีเขียว โดยที่ตัวยังอยู่ในนั้น “ช่องทางนี้ไม่เล็กเกินไป ข้าต้องผ่านได้แน่”
“เจ้าอยากออกทางใดก็สุดแล้วแต่เจ้าเถอะ วันหน้าข้าค่อยมาเล่นกับเจ้าใหม่ ข้าไปล่ะ” พูดเพียงนั้นก็จากไปเฉยๆ ทำเอาหนุ่มน้อยมึนงงมองตามแผ่นหลังกว้างของคนแปลกพิลึกพิลั่นเดินห่างออกไป
“เฮ้! ท่านพี่ชุน ท่านบอกจะไปก็ไปทั้งอย่างนี้เลยเรอะ! นั่นท่านจะเร่งรีบหนีข้าไปไย รอข้าด้วยสิ รอข้าด้วย..” บุรุษร่างเล็กในอาภรณ์สีหวาน ผลุบกลับมาแล้วรีบเร่งสาวเท้าวิ่งตามท่านพี่ชุนของเขาไป