ตลอดสามวันที่ผ่านมา ฉีอันฉีถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักตงหยางอย่างเคร่งครัด ทว่าเขาก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากองค์รัชทายาทโจวเจี้ยนกั๋ว ทั้งเรื่องทายาสมานแผล ต้มยาบำรุงกำลัง ทั้งหมดองค์รัชทายาทล้วนทำมันเอง เจ้าเด็กดื้อผู้นี้นับว่าดวงยังแข็ง รอดชีวิตมาได้ มิเช่นนั้น องค์รัชทายาทคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตเป็นแน่
พอครบกำหนดสามวันตามที่รับปากไว้แต่แรก แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาจำต้องปล่อยให้หนุ่มน้อยหน้าหวานกลับไปยังที่ต้องการจะไป
ฉีอันฉีถวายบังคมลาองค์รัชทายาทเจี้ยนกั๋ว และใช้เวลาเดินเท้าจากตำหนักตงหยางมาถึงตำหนักไฉ่หงเพียงครึ่งชั่วยาม เมื่อมาถึงแล้ว เขาไม่รีรอที่จะมุ่งหน้าไปยังเรือนหมู่ตานฮวาเป็นอันดับแรก กะว่าจะไปแอบดูพี่หญิงสักหน่อย ชายร่างเล็กเลือกซ่อนตัวอยู่หลังต้นดอกกุ้ยฮวานั้น ซึ่งต้นไม้ชนิดนี้มีลำต้นที่ใหญ่มาก อายุคงไม่ต่ำกว่าร้อยปีกระมัง
ฉีอันฉีมักใช้ที่แห่งนี้เป็นที่กำบังกายเสมอ เมื่อเขาอยากมาซุ่มดูพี่สาวในที่ไกลๆ
ใบหน้าเรียวเล็กแย้มยิ้ม เขาเห็นแล้ว พี่เยี่ยนฟางอยู่ตรงนั้น นางสวมอาภรณ์สีหวาน นั่งอยู่ตรงระเบียงที่ยื่นออกมาจากตัวเรือน มือสองข้างกำลังหยิบจับดอกไม้กองพะเนินตรงหน้า ซึ่งมองจากระยะไกล ดอกไม้ที่ว่าดูคล้ายดอกเหมยกุ้ยไม่มีผิด
พี่สาวใช้มีดเล็กค่อยเลาะใบและตัดหนามทิ้งไป ก่อนปักไว้ในแจกันใหญ่
เสี่ยวซินคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายนางไม่ห่างเฉกเช่นเคย ฉีอันฉีชะเง้อคอดู แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกนางพูดถึงเรื่องใด เนื่องจากเรือนหมู่ตานฮวานั้น อยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะได้ยินเสียง หนุ่มน้อยเขยิบเข้าใกล้อีกหน่อย คราวนี้เขาเลือกแอบอยู่หลังพุ่มแถวดอกยู่จินเซียง (ดอกทิวลิป) ซึ่งมีทั้งสีเหลือง สีแดง และสีขาว
เขาต้องการได้ยินบทสนทนาของพวกนางให้จงได้
ตรงระเบียงเรือนหมู่ตานฮวา ฉีเยี่ยนฟางในสถานะพระชายาเอกในองค์ชายอิ้งเยว่ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ นางหมุนแจกันไปมาเพื่อตรวจดูว่าดอกไม้ที่จัดนั้นสวยงามเป็นที่น่าพอใจแล้วหรือยัง
เสี่ยวซินคลุมผ้าให้พระชายาจากด้านหลัง พูดว่า “พระชายา หนาวแล้วเพคะ ใช้ผ้าผืนนี้ห่มกายสักหน่อยนะเพคะ”
ฉีเยี่ยนฟางแย้มยิ้ม พยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนยกแจกันขึ้นมาตรวจดูอีกครั้ง
คนที่แอบดูอยู่หลังพุ่มไม้ พลันสังเกตเห็นท่าทีพี่หญิงไม่สู้ดีนัก ร่างกายนางดูทรุดโทรมผ่ายผอมจนผิดตา ฉีอันฉีหมอบอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อดสงสัยไม่ได้ว่าพี่เยี่ยนฟางนั้นป่วยด้วยโรคประจำตัวอีกแล้วหรืออย่างไร? หรืออาจเป็นเพราะเมื่อสองวันก่อน พี่เขยเสด็จมา ทั้งสองอาจร่วมหอหนักเกินไปหรือไม่?
ชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้นขององค์ชายอิ้งเยว่ อย่างเช่น ชื่นชอบกินของสดใหม่ อีกทั้งยังนิยมเกือกกั้วกับนางโลมในหอดอกไม้แดง ชื่อเสียเน่าเหม็นเหล่านี้คงไม่ได้มาด้วยเหตุบังเอิญกระมัง
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็พลันโมโห เผลอกำหมัดแน่นจนข้อขึ้นขาว หากอยู่ใกล้ๆ ฉีอันฉีคิดจะท้าตีท้าต่อยกับพี่เขยตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด ทั้งถือโอกาสนี้ระบายความแค้นให้สาแก่ใจไปเสียเลย โทษฐานที่เจ้าชั่ว! กล้าดียังไงมาใช้งานพี่หญิงของเขาหนักหน่วงถึงขั้นนี้
‘เจ้าชั่วนี่! ช่างไม่รู้จักรักหยก ถนอมบุปผาเอาเสียเลย! อย่าให้ข้าต้องเห็นเจ้านะ!’ เขาขบกรามแน่น คิดจะสั่งสอนพี่เขยให้หนักหน่วงสักครั้ง เอาให้ฟันหักสักซี่สองซี่ยิ่งดี
ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว คนเฝ้าสังเกตการณ์ยังคงอยู่ที่เดิม เขาพินิจพิจารณาปฏิกิริยาของพี่สาวอย่างเงียบๆ บางทีเรื่องทั้งหมดอาจมิได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้ เพราะดูไปแล้ว หากไม่นับร่างกายที่ซูบผอมของพี่หญิง นางก็ดูมีความสุขดีมิใช่หรือ หาได้มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใดไม่ พี่เยี่ยนฟางยิ้มแย้มร่าเริงถึงเพียงนี้ ยิ่งตอนพูดคุยเล่นหัวกับเสี่ยวซินถึงเรื่องสัพเพเหระต่างๆ นานา ก็พิสูจน์ได้แล้วว่า นางไม่มีปัญหาอย่างที่ตนกลัว
“เสี่ยวซิน เจ้าทายสิ... พี่ใหญ่ อันอันน้องชายข้า พวกเขาสองคนจะชอบเสื้อผ้าที่ข้าตั้งใจทำให้หรือไม่”
“พระชายา คิดจะกลับแคว้นฉีหรือเพคะ?”
“รอให้องค์ชายรองสามีข้า ว่างจากราชกิจในวังหลวงก่อนเถอะ เขาต้องรีบพาข้ากลับไปเป็นแน่ เจ้าอย่าลืมสิ เขาต้องทำตามประเพณีนะ”
บทสนทนาธรรมดาทั่วไประหว่างพี่หญิงกับสาวใช้จบลง ก็พิสูจน์ได้ว่าพี่หญิงไม่มีปัญหา เช่นนี้ก็ดี บางทีอาจถึงเวลาเขาควรกลับแคว้นฉีเสียที วังหลวงแห่งนี้มันเป็นนรกเกินไปแล้ว นอกจากทิวทัศน์อันสวยงามในตำหนักไฉ่หง หรือตำหนักตงหยาง ซึ่งทั้งสองแห่งก็ดูงดงามเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน ทว่าที่เหลือ ไม่เห็นมีอะไรดี ผู้คนที่นี่ไม่น่าคบหาสักคน มิสู้กลับไปหาอาถิงเจ้าบ่าวโง่นั่น หาเรื่องสนุกเล่นกับมันไปวันๆ ยังดีเสียกว่า
..เจ็ดวันต่อมา
ในที่สุดฉีอันฉีตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เขาจะหาทางเล็ดลอดกลับออกไปจากวังแห่งนี้ให้เร็วที่สุด ทว่าก่อนจะไป เขาพลันนึกถึงใบหน้าของใครบางคนลอยมาในห้วงความคิด ‘จริงสิ ข้าลืมเขาไปได้อย่างไรกัน ท่านพี่ชุน’
สำหรับท่านพี่ชุนนั้น แตกต่างจากคนอื่น ก่อนจากไปตลอดกาล เขาควรบอกลาพี่ชุนสักคำหรือไม่?
พอว่างจากงานในครัว เจ้าแสนซนใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ ก็เดินทางมาถึงตำหนักเย็นร้างแล้ว ที่แห่งนี้ลับตาผู้คน เขารีบรวบชายกระโปรงขึ้นสูงเหนือเข่า เพื่อสะดวกในการก้าวเดิน ตัวเล็กมุดรั้วลวดหนามเข้าไปข้างในทันที ชักเท้าก้าวย่างอย่างองอาจและสบายอารมณ์บนทางเท้านั้น เขาไม่จำเป็นต้องระวังท่าทีเฉกเช่นยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น
‘ปลอดคน! จริงสิ ข้าลืมไปอีกแล้ว’
คนขี้ลืมใช้กำปั้นทุบหัวตัวเองเบาๆ ท่านพี่ชุนของเขาเป็นทหารยาม ย่อมมีหน้าที่เฝ้ายาม ไฉนจะมีเวลามาวิ่งเล่นได้เล่า ทว่าเมื่อมาถึงแล้ว ก็จงเข้าไปดูสักหน่อยก็ไม่มีอะไรต้องเสียหายนี่ หรือไม่ก็... หาอะไรพอจะใช้ขีดๆ เขียนๆ ทิ้งข้อความบอกลาไว้ข้างผนังน่าจะเป็นการดี วันหน้าหากท่านพี่ชุนมา เขาคงเห็นตัวอักษรข้างฝาเองนั่นแหละ
หนุ่มน้อยมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ในเวลาอันสั้น ‘เฮ๋! ดาลประตูถูกดึงสลักออกแล้วนี่ หรือว่า...’
“ท่านพี่ชุนมาที่นี่! โอว์...สวรรค์ ท่านช่างรู้ใจข้า” ร่างเล็กรีบเบียดกายเข้าไปข้างในนั้น ไม่ลืมหับบานประตูหนักอึ้งกลับไว้ดังเดิม “ท่านพี่ชุน ท่านอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
หลังจากแหกปากตะโกนก้อง พลางเหลียวซ้ายแลขวาตรวจดูจนรอบ ฉีอันฉีเห็นร่างหนึ่งบนตั่งนั่น “ท่านพี่ชุน!”
ร่างกายท่านพี่ชุนกำลังบิดมวนไปมาอย่างทรมาน “อ๊าห์..”
“ท่านพี่ชุน นั่นท่านเป็นอะไรไปน่ะ?” เขาเอียงคอดู “เอ๋! ไฉนท่านดูทรมานเพียงนี้”
ร่างสูงกระสับกระส่ายบนตั่งนั้น แหงะหน้าชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อมองมาเช่นกัน เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องทักมา สองดวงตาคมปลาบนั้นบัดนี้ลอยเคว้ง มีหยาดน้ำใสๆ ไหลออกมาทางหางตา
“จะ...เจ้าลิงน้อย เป็นเจ้า... เจ้าอย่าได้เข้ามาใกล้ ขะ...ข้า เป็นอันขาด...” น้ำเสียงสั่นเครือแหบแห้งทั้งขาดๆ หายๆ ของอิ้งเยว่ กระท่อนกระแท่นแทบไม่เป็นคำ ร้องห้ามเจ้าลิงน้อยของเขาที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในเวลาที่ไม่เหมาะสมทันที
“หา!” พอถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ หนุ่มน้อยกลับยิ่งอยากทำสิ่งตรงข้ามเข้าไปใหญ่ เห็นๆ อยู่ว่าท่านพี่ชุนกำลังมีปัญหา มิอาจแก้ไขได้ในเวลานี้ ไฉนยังห้ามเขาเข้าใกล้อีกเล่า... ให้เขายืนดูเฉยๆ ในที่ไกลขนาดนี้จะมีประโยชน์อะไร? เช่นนั้น มีสหายไว้เพื่ออะไรกัน...
เจ้าคนดื้นรั้นไม่มัวลังเล รีบวิ่งตึงตังขึ้นบันไดสองขึ้น ตรงเข้าหาสหายต่างวัยของเขาทันที “ท่านพี่ชุน! เกิดอะไรขึ้นกับท่านกันแน่! ไฉนท่านมีสภาพเยี่ยงนี้เล่า?”