บรรยกาศยามเช้าของวันใหม่มักทำให้ผู้คนมีความสุขเสมอ ความสดชื่นที่บ่งบอกว่าเวลาแห่งชีวิตกำลังขยับไปอีกก้าวหนึ่งนั้นทำให้ใครหลายๆ คนต่างรู้ว่าตนมีหน้าที่อะไรบ้าง เช่นเดียวกับสาวน้อยร่างบางที่ลุกขึ้นมานั่งหวีผมอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ เงาที่ส่งสะท้อนทำให้ริมฝีปากอิ่มคลี่รอยยิ้มบางๆ
“สวยเหมือนกันนะเนี่ย”
ว่าแล้วก็ขยิบตาให้กับตัวเองหนึ่งที เมษยา สาวน้อยวัยยี่สิบปี กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจ สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ ใบหน้าเรียวยาวสวยหวานตามแบบฉบับของผู้หญิงไทย มีดวงตาที่กลมโตรับกับจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มนั้นชวนน่ามองน่าหลงใหล ผิวกายนั้นขาวผุดผ่องเป็นยองใย
“เมย์เสร็จหรือยังลูกเดี๋ยวก็ไปเรียนสายหรอก เปิดเทอมวันแรกนะ”
“ค่ะแม่ หนูกำลังจะลงไปค่ะ” เสียงหวานตอบกลับมารดา กวาดตามองความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจหยิบกระเป๋าสะพายสีหวานพร้อมกับหนังสือเรียนประมาณสองสามเล่มเดินออกจากห้องนอน ร่างบางรีบวิ่งลงบันได
ตึกๆ
“โอ๊ย! แม่คู้ณ… จะเดินจะเหินก็ช่วยให้มันเบาๆ หน่อยเถ้อะ” ย่าจันทร์บ่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ไม่ค่อยเบานักของหลานสาว
“แม่น่าจะชินได้แล้วนะจ้ะ” บุตรสาวพูดกลั้วหัวเราะ
“ไอ้ชินมันก็ชินอยู่หรอกนะ แต่ว่าไม่ค่อยปลื้มน่ะสิ”
พูดแล้วเหล่สายตามองแบบให้เจ้าตัวนั้นรู้ว่ากำลังไม่ชอบใจในการกระทำ หลานสาวยิ้มหน้าแป้นแล้นเดินเข้าไปหอมแก้มคนเป็นย่า
ฟอด!
“นี่แหน่ะ! ว่าหนูดีนักขโมยหอมเลย” คนพูดทำจมูกย่น
“เชอะ! คิดว่าหอมแก้มแล้วย่าจะเลิกด่าแกหรือไงยะ” คนสูงวัยยังคงไม่ยอมแพ้
“ถึงไม่เลิกด่า แต่ย่าก็รักหนูใช่ม้า…” หลานสาวลากเสียงยาว พลางเอียงคอมองหน้าคนที่ค่อยๆ ฉีกรอยยิ้ม
“เห็นมะ… ย่ายิ้มแล้ว อิอิ”
“ย่ะๆ แกมันเก่งทำให้ย่ารักได้”
บทสนทนาระหว่างย่ากับหลานเรียกเสียงหัวเราะได้ดีจากคนในครอบครัว
“แล้ววันนี้จะไปมหา’ลัยยังไงล่ะลูก?” เพ็ญรัตน์ ถามบุตรสาว
“เดี๋ยววินมารับจ้ะแม่” ธาวิน คือเพื่อนชายที่เมษยาสนิทด้วยมากที่สุด ซึ่งเด็กหนุ่มคนนี้เพ็ญรัตน์ก็เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เนื่องจากว่าพ่อแม่ของเขาชอบทานขนมไทยเป็นชีวิตจิตใจ จึงเรียกใช้บริการบ้านเธออยู่บ่อยครั้ง
อาชีพหลักของครอบครัวคือขายขนมหวานอันเป็นสูตรต้นตำรับไทยแท้ฉบับชาววัง คุณยายของเมษยาเคยเป็นอดีตข้าหลวงเก่าจึงได้นำวิชาความรู้การทำขนมต่างๆ มาถ่ายทอดให้แก่เพ็ญรัตน์ บุตรสาวเพียงคนเดียว เธอจึงยึดอาชีพนี้หาเลี้ยงปากท้องมาตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่งแต่งงานมีครอบครัว เรียกได้ว่ามีลูกค้าประจำที่ทานกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เลยทีเดียว
“วินนี่เขาเป็นคนดีน้า… ทำไมลูกแม่ไม่ยอมเปิดใจบ้างล่ะ”
“เอาอีกแล้วนะคะ” เธอทำเสียงเหนื่อยใจ ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “หนูบอกแม่หลายครั้งแล้วว่าระหว่างหนูกับวินเราไม่มีอะไรต่อกัน เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกันค่ะ” เมษยาตอบหนักแน่น
“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อหรือเปล้า?”
น้ำเสียงล้อเลียนของ ชานนท์ ดังแทรกขึ้น หญิงสาวหันขวับส่งสายตาอัมหิตไปยังน้องชายตัวแสบ
“ชอบชงดีนักนะนายนนท์ ระวังเถอะฉันจะเอาความลับของนายมาบอกแม่ให้หมดเลย” เธอขู่
“โหรัยเนี่ย… น้องแซวนิดแซวหน่อยทำเป็นโหดไปได้”
ชายหนุ่มเบ้ปากใส่พี่สาว เขาเดินเข้าไปกอดร่างท้วมกลมของผู้อาวุโสที่นอนเอนหลังอยู่บนม้าโยกตัวเก่ง ใบหน้าหล่อใสสไตล์เด็กมอปลายซบลงบนตักของย่าจันทร์
“ย่าจ๋า… วันก่อนเจ๊เมย์หักค่าขนมของนนท์ออกไปตั้งครึ่งแหน่ะ” เขาฟ้อง แสร้งทำน้ำเสียงเศร้าสร้อย
เมษายาค้อนขวับเข้าให้…
“น้อยๆ หน่อย หักไปแค่ห้าร้อยเองนะ”
“นั่นแหละ! หายไปตั้งครึ่งหนึ่งกินข้าวได้ไม่ครบทุกมื้อหรอกนะ” คนเป็นน้องว่า
“ช่วยไม่ได้ อยากเอาเงินไปไร้สาระกับพวกหนังสือการ์ตูนเองทำไมล่ะ” พี่สาวยักไหล่
“ย่าก็เห็นด้วยกับพี่เขานะ เงินทองมันของหายาก จะใช้จะสอยก็ให้มันประหยัดๆ หน่อย ไอ้เรื่องที่ไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งไปซื้อมันเลย” คนเป็นย่าผสมโรงไปกับหลานสาวคนโต
หลานชายคนเล็กจึงได้แต่ทำหน้าง้ำหน้างอหุนหันขึ้นห้องไปอย่างงอนๆ กิริยาของน้องชายทำให้เมษาถึงกับส่ายหน้าเบาๆ
“ดูทำเข้า นึกว่าตัวเองเป็นเด็กสามขวบหรือไงจ้ะพ่อหนุ่ม” เธอตะโกนไล่หลังน้องชาย
“เมย์ไม่เอา อย่าแกล้งน้องสิลูก” เพ็ญรัตน์เอ็ดลูกสาวแต่ตัวเองก็อดขำไม่ได้
“ว่าแต่นี่กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย ทำไมวินยังไม่มาอีกนะ”
น้ำเสียงหงุดหงิดพลางกับยกข้อมือที่ข้างที่สวมนาฬิกาขึ้นดูเวลา พูดไม่ทันขาดคำทุกคนก็ได้ยินเสียงรถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจอดภายในรั้วบ้าน ผู้เป็นเจ้ารถพาเรือนร่างสูงโปร่งดูดีลงมาทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“สวัสดีครับคุณย่า สวัสดีครับคุณน้า”
เขายกมือไหว้ผู้อาวุโสทั้งสองอย่างนอบน้อม เมษายาทำหน้ามุ่ยลุกขึ้นเดินเข้าไปกระทุ้งศอกใส่เพื่อนชาย
“นี่แหน่ะ! มาสายไปตั้งห้านาที”
“โหเมย์… ตีเข้ามาได้เจ็บนะ”
ธาวินทำหน้าตาโอเว่อร์เกินความเป็นจริง เมษยาย่นจมูกเชิดใบหน้าขึ้นแบบไม่สนใจอาการเจ็บปวดปางตายของเขา
“สมน้ำหน้า อยากมาสายเองทำไมล่ะ”
“ใครอยากมาสายกัน แต่ว่าเมื่อเช้าพอดีท้องเสียนิดหน่อยอะ” ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ ยกมือเกาศีรษะแก้เขิน เมษยาสมน้ำหน้าเพื่อนชายอีกรอบเมื่อได้ฟังเหตุผลที่แท้จริง ธาวินทำปากติดจมูกในท่าทีงอนคนข้างๆ
“แล้วทานข้าวเช้ามาหรือยังลูก?” เพ็ญรัตน์เอ่ยถาม
“ทานแล้วครับ” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“แม่ไม่ต้องไปห่วงอีตานี่หรอกค่ะ กะเพาะควายไม่ตายง่ายๆ หรอก ฮ่าๆ” เมษายาระเบิดเสียงหัวเราะแบบไม่เกรงใจใคร ร่างท้วมของผู้เป็นย่าถึงกับต้องถอนหายใจเหนื่อยหน่ายไปกับความแก่นเฟี้ยวของหลานสาว
“ให้มันได้อย่างนี้สิ… หลานฉัน”
ระหว่างทางที่นั่งรถมาด้วยกันธาวินก็ไม่ได้พูดอะไรกับเมษยาเลยสักคำ จนกระทั่งชายหนุ่มหักพวงมาลัยรถเลี้ยวเข้าร้านอาหารสุดหรูแห่งหนึ่ง ความแปลกใจจึงบังเกิดขึ้น
“เฮ้ย! ไม่ไปมหา’ลัยอ่ะวิน?” หญิงสาวถามเพื่อนชาย ธาวินยิ้มแหยๆ
“วินหิวข้าวอ่ะ”
“เอ้า! แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่กินที่บ้านล่ะ แล้วไหนบอกว่ากินข้าวมาแล้วไง” เมษายาค้อนเข้าให้
“ก็บ้านเมย์ชอบทำอาหารรสจัดนี่น่า เมย์ก็รู้ว่าวินกินเผ็ดไม่ได้ ตั้งแต่เช้าตื่นมาก็ท้องเสียข้าวสักเม็ดยังไม่ตกถึงท้องเลยน้า…” ชายหนุ่มทำน้ำเสียงกระเส่าให้คนฟังรู้สึกสงสารมาก ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อเมษยายอมจำนนเปิดประตูรถลงก่อนเป็นคนแรก เป็นสัญญาณบอกว่าเธอยอมให้เขาแวะทานอาหารเช้าได้
“เยส!” ธาวินยิ้มกว้างเมื่อแผนการทานข้าวตามลำพังกับหญิงสาวสำเร็จ ร่างสูงรีบลงจากรถตามมาติดๆ ทั้งสองพากันเดินเข้าร้านอาหารสุดหรู เมษายาแค่มองบรรดาเมนูทั้งหลายก็ถึงกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
แพงแสนแพงกลืนกันลงได้ไงนะ!
“เมย์… กินอะไรสักหน่อยไหม?”
ธาวินถามเพื่อนสาวที่นั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนถูกถามรีบส่ายหน้าโบกไม้โบกมือพัลวัน
“โนๆ เชิญคุณธาวินเลยค่ะ” ธาวินอมยิ้มให้กับคำพูดและน้ำเสียงทะเล้นของเธอ ชายหนุ่มจัดการสั่งอาหารประมาณสองสามอย่างก่อนจะส่งเมนูคืนให้กับพนักงาน
“วินสั่งน้ำส้มคั้นให้เมย์แก้วหนึ่งนะ”
“ราคาเท่าไหร่อ่ะ?” หญิงสาวรีบถาม
“ก็หนึ่งร้อยห้าสิบบาทน่ะ ทำไมเหรอ?”
“โห! ตั้งหนึ่งร้อยห้าสิบบาทกินข้าวกลางวันที่มอได้ตั้งสามมื้อเลยนะนั่น” คนเสียดายเงินว่าทันที ทำเอาธาวินถึงกลับกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่ เมษายามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโตก็จะมีนิสัยใช้สอยเงินทองอย่างประหยัดมาโดยตลอด
บางทีก็เข้าขั้น… ขี้งก เลยทีเดียว
“ขำไร?” หญิงสาวหงุดหงิด
“ก็ขำเมย์นั่นแหละ จะอะไรนักหนากัน วินเป็นคนออกเงินนะไม่ใช่เมย์สักหน่อย อย่าซีเรียสนักเลยน่า” ธาวินพูดแบบไม่คิดอะไรมากมาย ต่างกับเมษยาที่นั่งทำหน้าหงิกหน้างอไม่รับแขก
“เงินทองหายากจะตายไป ถึงวินจะเป็นคนออกเงินก็เถอะแต่เมย์ก็เกรงใจวินนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ” ธาวินยิ้มหวาน
“ใช่ เราเป็นเพื่อนกัน แต่เมย์แค่ไม่ชอบเวลาที่มีใครเที่ยวไปพูดว่าเมย์คบกับวินเพราะเห็นว่าวินรวย ทุกคนเอาแต่บอกว่าเมย์กำลังทำตัวเป็นปลิงเกาะวินกิน ฟังแล้วโมโหชะมัด!”
คนพูดทำหน้าตาเคียดแค้นแสดงถึงอารมณ์โกรธที่ถูกซ่อนอยู่ข้างใน ธาวินเองที่ได้ยินเรื่องราวทำนองนี้ก็แอบไม่พอใจอยู่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะไม่พูดหรือด่าทอให้หญิงสาวฟังแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่โกรธ เขาโกรธทุกคนที่พูดจาดูถูกเมษยา
ทั้งสองคุยนั่นนี่กันไปสักพักไม่นานอาหารที่ธาวินสั่งเอาไว้ก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ธาวินพยายามคะยั้นคะยอให้เมษยาทานกับตนแต่สาวเจ้าก็ไม่ยอมท่าเดียว โดยเหตุผลที่เธออ้างก็คือ มันแพงมากจนไม่สามารถกระเดือกลง!