ในชาติอดีต...
“เป็นยังไงบ้างจันทร์ พี่ได้ยินข่าวจากแก้วแล้วล่ะ แย่เลย เจอคนชั่ว ๆ แบบนี้ แล้วจันทร์คิดจะแจ้งความสองคนผัวเมียนี้ไหม” คะนึงนิจเอ่ยด้วยความห่วงใย
“มันมีเงินกับเส้นสาย จันทร์จะไปทำอะไรได้ ไอ้ที่มันลวนลามก็ถือว่าให้หมามันกินไป เมียมันก็หมาบ้ามาก เข้ามาตบหน้าจันทร์ต่อหน้าลูกน้องในบริษัท ไม่ถามไม่สืบหาความจริงอะไรเลย จันทร์เลยอยู่ต่อไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ก็เดินออกจากบริษัทมันเลย ไม่กล้ากลับเข้าไปอีก กลัวโดนมันทำร้ายอีกค่ะ”
“เป็นพี่ พี่จะแจ้งความสองคนผัวเมียนี่ไว้ก่อน เพื่อป้องกันตัว อย่างน้อยก็ให้มันรู้ว่าเราสู้กลับ แต่ก็ช่างเถอะ แล้วแต่จันทร์จะตัดสินใจ แล้วโทรมาวันนี้มีอะไรให้พี่ช่วยไหม”
“ตอนนี้จันทร์พยายามหางานใหม่ทำอยู่ค่ะ แต่ก็หายากมากเพราะบริษัทเก่าจันทร์ไปโพนทะนาเรื่องของจันทร์กับบางบริษัทไว้ด้วยค่ะ กลุ้มใจเลย พอดีพี่แก้วบอกจันทร์ว่า สามีพี่นิจกำลังหาเลขาฯ ส่วนตัวอยู่ พี่นิจพอจะช่วยคุยให้จันทร์ได้ไหมคะ จันทร์มีประสบการณ์ด้านนี้มาค่ะ”
“ได้เลยจ้ะ จันทร์ เดี๋ยวพี่จะลองถามพี่ภูให้ ถ้ายังหาคนไม่ได้ พี่จะแนะนำจันทร์ให้ ว่าแต่ช่วยส่งเรซูเม่กับเอกสารวุฒิการศึกษากับเอกสารประจำตัวมาให้พี่ทางอีเมลจะสะดวกไหม พี่จะได้ส่งต่อให้พี่ภูพิจารณาดู”
“พี่นิจ ขอบคุณมากค่ะ จันทร์ดีใจจังเลย เดี๋ยวจันทร์จะรีบส่งให้นะคะ”
หลังจากคะนึงนิจพูดคุยกับภูวินทร์ เธอพยายามอธิบายถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ของจันทร์รวีอย่างตรงไปตรงมา เธอคิดเพียงว่าการช่วยเหลือคนรู้จักที่กำลังลำบากไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ภูวินทร์ฟังเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบรับทันที เขาขอเวลาไตร่ตรองอยู่สองสามวัน ก่อนจะตกลงรับจันทร์รวีเข้าทำงาน
เธอไม่รู้เลยว่า...การยื่นมือช่วยในครั้งนี้จะกลายเป็นการชักนำความวิบัติมาสู่ความสัมพันธ์ของเธอกับภูวินทร์
จากความหวังดีที่อยากช่วยเหลือ กลับกลายเป็นการ เปิดทางให้ผู้หญิงอีกคนได้ยืนเคียงข้างเขา
และในที่สุด สิ่งที่เธอได้รับตอบแทนจากความเมตตา ก็คือ “ความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต”
เธอจำได้ดี ทุกภาพ ทุกเสียง ทุกแววตาในวันนั้นยังคงฝังอยู่ในใจ ภาพของภูวินทร์ที่กอดก่ายผู้หญิงคนนั้น มันคือรอยแผลที่ไม่เคยลบเลือน แม้ผ่านการเกิดใหม่อีกครั้ง
...
คะนึงนิจสูดลมหายใจเงียบ ๆ ก่อนกลับมาจดจ่อกับปัจจุบัน เสียงปลายสาย...เสียงของผู้หญิงที่เธอเกลียดที่สุดในชีวิต
“พี่นิจคะ”
น้ำเสียงของจันทร์รวีดังขึ้นเบา ๆ แต่ฟังดูสั่นไหวเล็กน้อย
“พี่แก้วบอกว่า ตอนนี้สามีพี่นิจต้องการเลขาฯ ส่วนตัว จันทร์เลยอยากรบกวนพี่นิจช่วยพูดให้หน่อยได้ไหมคะ จันทร์เคยทำงานตำแหน่งเลขานุการผู้บริหารมาก่อน พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง”
คะนึงนิจนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนกดความรู้สึกชิงชังลงไป
“ขอโทษด้วย จันทร์...” เธอตอบเสียงนุ่มแต่เย็นชา “ตำแหน่งนี้ ทางบริษัทรับคนไปเรียบร้อยแล้ว พี่เองก็เพิ่งรู้”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงของจันทร์รวีจะกลับมาอีกครั้ง
“งั้น...พี่นิจพอจะช่วยให้จันทร์ได้งานที่บริษัทสามีพี่ได้ไหมคะ?”
เสียงของหญิงสาวสั่นน้อย ๆ แฝงความหวังอย่างน่าเห็นใจ “ตอนนี้จันทร์สมัครไปหลายที่แล้วค่ะ แต่ยังไม่มีที่ไหนเรียกสัมภาษณ์เลย อาจเพราะบริษัทเก่า...เขาเอาเรื่องของจันทร์ไปพูดเสีย ๆ หาย ๆ ไว้น่ะค่ะ”
คะนึงนิจหลุบตาลง เธอฟังเสียงนั้นเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรทันที ในใจกลับพลุ่งพล่าน ความทรงจำในอดีตชาติผุดขึ้นทีละภาพเหมือนเงาที่ตามไม่ห่าง
คำพูดแบบนี้เอง...
เธอเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่งในชาติที่แล้ว และหลงเชื่อด้วยความรู้สึกสงสาร
ความจริงที่คะนึงนิจรับรู้จากทั้งประสบการณ์ตรงและข่าววงใน คือเรื่องราวของจันทร์รวี...หญิงสาวที่ภายนอกดูอ่อนหวานและนอบน้อม แต่ภายใต้รอยยิ้มหวานนั้นกลับเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานเงียบ ๆ
จันทร์รวีพยายามเข้าหาเจ้าของบริษัทเก่าที่เธอทำงานอยู่ ด้วยความหวังว่าจะได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตที่สุขสบายในฐานะภรรยาลับ
ทว่าแผนการนั้นกลับล้มเหลว เมื่อภรรยาตัวจริงของชายคนนั้นจับได้ทันเวลา ความฝันที่จะได้เกาะเกี่ยวผู้ชายรวยจึงดับวูบลงกลางอากาศ
และตอนนี้...จันทร์รวีกำลังมองหาเหยื่อรายใหม่
ความพยายามของจันทร์รวีที่จะเข้าทำงานในบริษัทของ ภูวินทร์ทำให้คะนึงนิจเดาได้ไม่ยากเลยว่า “เป้าหมายคนใหม่” ของอีกฝ่ายคือใคร
“ภูวินทร์”
ชายหนุ่มผู้มีทั้งฐานะ หน้าที่การงาน และความอบอุ่นเป็นแฟมิลี่แมนที่ผู้หญิงบางจำพวกเห็นแล้วก็อยากวิ่งเข้าหา
แม้จันทร์รวีจะรู้ดีว่าเขามีครอบครัวแล้ว
แต่สำหรับผู้หญิงแบบเธอ...การมีครอบครัวแล้วไม่ใช่อุปสรรค หากเป็นเพียง “กำแพงที่รอวันปีนข้าม”
คะนึงนิจหลับตาลงช้า ๆ ราวกับพยายามกักเก็บอารมณ์ทุกอย่างไว้ข้างใน ชาตินี้ เธอไม่มีวันยอมเดินซ้ำรอยเดิมอีกต่อไปในเมื่อมีโอกาสกลับมาอีกครั้ง เธอจะแก้ไขให้โชคชะตาของลูกเธอดีขึ้นและได้รับประโยชน์จากการเป็นลูกของภูวินทร์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
“ไว้จะลองถามให้ดูนะ ว่ามีตำแหน่งว่างหรือเปล่า ขอคุยแค่นี้ก่อนนะ ต้องไปดูลูกแล้ว”
น้ำเสียงของคะนึงนิจเรียบเฉย ไร้แววสนใจ
“ได้ค่ะ พี่นิจ ยังไงจันทร์ก็ขอขอบคุณพี่นิจล่วงหน้าสำหรับความช่วยเหลือครั้งนี้ ถ้าได้งานที่บริษัทของสามีพี่นิจ จันทร์สัญญาว่าจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ”
ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงขอบคุณและมีความหวังอย่างเต็มที่
คะนึงนิจตัดสายทันทีด้วยท่าทีรังเกียจ
“ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่งั้นเหรอ...พูดออกมาได้” เธอพึมพำอย่างเย้ยหยัน
คะนึงนิจเดินกลับเข้าห้องนอนลูกด้วยฝีเท้าเบาแทบไร้เสียง
หญิงสาวนั่งนิ่งข้างเตียง มองลูกชายที่หลับสนิท ดวงตาเธอทอดต่ำลงด้วยความคิดคำนึง
เธอไม่คิดจะเสนองานในบริษัทของภูวินทร์ให้ผู้หญิงคนนี้แน่นอน ตัดโอกาสไม่ให้ทั้งคู่ได้เจอะเจอกัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คะนึงนิจเหลือบมองลูกชายตัวน้อยที่หลับอยู่ เห็นเขาขยับเอียงตัวเล็กน้อย ริมฝีปากเล็กขยับนิด ๆ ราวกับกำลังฝันดี
เธอยืนมองอยู่นิ่ง ๆ ความอบอุ่นค่อย ๆ แผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจ เมื่อได้เห็นลูกนอนหลับอย่างสงบ ใบหน้าเล็กสะอาด อ่อนเยาว์ และไร้เดียงสา มือจิ๋วขยับเบา ๆ ใต้ผ้าห่ม ก่อนจะนิ่งสนิทอีกครั้งในนิทราอันแสนสงบ
เธอถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งใจ แล้วโน้มตัวลงไปใกล้ ก้มลงหอมเบา ๆ ที่แก้มของลูกชาย
“แม่รักลูกนะคะ”
เธอกระซิบเบา ๆ ด้วยกลัวจะรบกวนเจ้าตัวเล็ก
คะนึงนิจค่อย ๆ นั่งลงข้างเตียงลูก คิดถึงเรื่องเก่าก่อนต่อ
...
ในอดีตชาติ...
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านจ้ะ นิจ”
ป้าสร้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ก่อนจะกอดคะนึงนิจและลูกชายที่เดินเข้ามาในบ้านสวนหลังเก่า
บ้านหลังนี้...บ้านที่คะนึงนิจอาศัยอยู่ตั้งแต่วันที่แม่จากไป บ้านที่เธอเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักและการดูแลของป้าสร้อย บ้านที่กลายเป็นที่พักใจในวันที่พ่อเลือกจะมีผู้หญิงคนใหม่หลังแม่เสียชีวิต และไม่เหลียวแลเธอกับน้องชายอีกเลย
พ่อของเธอยังคงเป็นคนเดิม ผู้ชายที่มีผู้หญิงใหม่เข้ามาในชีวิตไม่ขาดสาย และดูเหมือนว่าแต่ละคนจะอายุน้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งข่าวล่าสุดที่เธอได้ยิน...ผู้หญิงคนใหม่ของพ่อ อายุน้อยกว่าเธอเสียอีก
“ป้าสร้อย สวัสดีค่ะ” คะนึงนิจเอ่ยพลางไหว้ก้มศีรษะเล็กน้อยด้วยความเกรงใจ
“น้องคิน ธุคุณยายจ้ะลูก”
เธอย่อตัวลงคุยกับลูกชายพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“น้องคินค่ะป้า...เคยเจอกันตอนยังเป็นเด็กแบเบาะ ตอนนี้สามขวบแล้วค่ะ วิ่งเก่งมากด้วยนะคะ”
ป้าสร้อยยิ้มกว้าง ลูบหัวหลานชายอย่างเอ็นดู
เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดังขึ้นเมื่อโดนลูบหัวและกอดเบา ๆ
“แล้วหนุ่ยออกไปทำงานแล้วใช่ไหมคะ” คะนึงนิจเอ่ยถามถึงน้องชายของเธอ ผู้เพิ่งสำเร็จการศึกษา และกำลังเริ่มงานในบริษัทใหม่ในตำแหน่งวิศวกรไฟฟ้า
“ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ” ป้าสร้อยตอบพลางพยักหน้า “เห็นบอกว่าวันนี้มีงานวิ่งรอก ดูหน้างานบริษัทลูกค้าสามที่” เธอเสริมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย
“ช่วงนี้ เจ้าหนุ่ยงานหนักนะ เห็นบอกว่าเจ้านายชอบใช้งานเพราะดูแลลูกค้าได้ละเอียดรอบคอบ มีแต่คำชมจากลูกค้า แล้วลูกค้าก็เรียกร้องให้หนุ่ยไปตรวจงานเป็นประจำด้วย ดีแล้วล่ะ”
คะนึงนิจยิ้มดีใจและรู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จของน้องชาย
“แล้วข้าวของของนิจกับน้องคินมีเยอะมากไหม? ตอนนี้หยิบเอาเฉพาะส่วนที่ต้องใช้มาก่อนก็ได้ รอช่วงเย็นตอนที่เจ้าหนุ่ยกลับมา ค่อยให้ช่วยขนทีเดียว”
ป้าสร้อยเอ่ยขึ้นพลางจูงมือเด็กน้อยเดินเข้าตัวบ้าน ข้างหลังมีคะนึงนิจเดินตามอย่างเงียบงัน
“นิจกับลูกไปพักผ่อนก่อนเถอะ ห้องเดิมของนิจ ป้ายังคอยทำความสะอาดให้เรื่อย ๆ พาน้องคินไปนอนก่อน ดูท่าทางน่าจะง่วงแล้วซิ”
“เป็นช่วงใกล้นอนกลางวันแล้วค่ะ เดี๋ยวนิจป้อนข้าวกับนมให้น้องคินก่อน แล้วพาเขาไปนอนค่ะ”
คะนึงนิจตอบพลางยกมือลูกศีรษะของลูกน้อยเบา ๆ
“ฝากป้าดูแลน้องคินแป๊บนึงนะคะ ขอนิจไปหยิบของที่น้องคินต้องใช้จากรถก่อน”
“มา น้องคิน ไปกับยาย ไปดูห้องของหนูกับแม่กันว่าชอบไหม”
ป้าสร้อยยิ้มแล้วจับจูงมือเด็กน้อย เดินไปทางห้องนอนเก่าของคะนึงนิจ
คะนึงนิจมองตามสองยายหลานที่เดินจากไปพร้อมกัน รอยยิ้มบางคลี่บนริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
ก่อนหน้านี้ เธอยังอดกังวลเรื่องภาคินทร์ไม่ได้ กลัวว่าลูกจะงอแงเมื่อต้องย้ายออกจากบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด
แต่วันนี้...เธอโล่งใจแล้ว เมื่อเห็นว่าลูกชายตัวน้อยไม่ดื้อ ไม่งอแง ราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของแม่ และคอยเป็นกำลังใจให้เธออย่างเงียบ ๆ
เธอจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง พร้อมเลี้ยงดูลูกให้ดีที่สุดเท่าที่คนเป็นแม่คนหนึ่งจะทำได้