“นิจ พี่กลับมาแล้วจ้ะ เหนื่อยไหม ลูกเป็นยังไงบ้าง ซนมากหรือเปล่า”
เสียงทุ้มของภูวินทร์ดังขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน
เขาเดินตรงเข้าไปโอบกอดคะนึงนิจและก้มลงหอมแก้มลูกชายตัวน้อยในอ้อมแขนของภรรยา
คะนึงนิจขยับตัวหลบอย่างไม่รู้ตัว ความรู้สึกเคอะเขินและห่างเหินยังไม่คลาย เพราะในใจเธอยังคงมีรอยแผลจากอดีตชาติ...ความแค้นที่เขาเคยนอกใจยังคงฝังลึก
“ไม่เหนื่อยค่ะ ก็เรื่อย ๆ”
เธอตอบเรียบ ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อกับชายตรงหน้า ชีวิตที่ไม่มีเขามานานกว่าสามสิบปี ทำให้วันนี้ภูวินทร์ดูเหมือนคนแปลกหน้ามากกว่าจะเป็นสามี
“มา พี่อุ้มลูกให้ดีกว่า เจ้าหมูน้อยนี่หนักไม่ใช่เล่น เดี๋ยวนิจจะปวดแขนเปล่า ๆ”
ภูวินทร์เอ่ยพลางยื่นมือมาจะรับลูกจากอ้อมแขนของเธอ
แต่คะนึงนิจกลับเบี่ยงตัวหลบอีกครั้ง ความรู้สึกไม่ไว้ใจและรังเกียจแล่นวูบขึ้นมาในอก เธอไม่อยากให้เขาแตะต้องลูกของเธอ...แม้เพียงนิดเดียว
ภูวินทร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยกับท่าทีของภรรยาในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
เธอดูห่างเหิน เหมือนจงใจเว้นระยะห่างระหว่างกัน ทั้งยังพยายามกันเขาไม่ให้เข้าใกล้ลูกชายตัวน้อยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็พยายามปลอบใจตัวเองด้วยเหตุผลที่ฟังขึ้น คะนึงนิจอาจแค่เหนื่อยกับการเลี้ยงลูกตามลำพัง ทั้งยังต้องดูแลบ้านทุกอย่างด้วยตัวเอง
“นิจ พี่มีเรื่องอยากคุยหน่อย”
เขาเอ่ยเสียงนุ่ม พลางมองใบหน้าที่เรียบเฉยของเธอ
“พี่คิดว่า...ถ้าเราจ้างพี่เลี้ยงกับแม่บ้านมาช่วย จะดีกว่านี้นะ อย่างน้อยนิจจะได้พักบ้าง ไม่ต้องเหนื่อยกับงานบ้านหรือเลี้ยงลูกตลอดเวลา”
ในคราแรก คะนึงนิจแทบจะหลุดปากปฏิเสธสิ่งที่ภูวินทร์เสนอทันที
ด้วยทิฐิและความเชื่อฝังใจว่าเธอควรเลี้ยงลูกด้วยมือตัวเอง ไม่ควรปล่อยให้ใครเข้ามาแตะต้องหรือก้าวก่ายหน้าที่ของแม่
เธอไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น...ไม่แม้แต่สามีที่ยืนอยู่ตรงหน้า
แต่ขณะเดียวกัน ความคิดอีกเสียงหนึ่งในใจก็เอื้อมมาดึงรั้งไว้ เตือนให้เธอหยุดคิด
ตอนนี้ เธอยังเป็น “คะนึงนิจ” ผู้เป็นภรรยาของภูวินทร์
ยังไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น
ยังเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งสองคนยังรักกันดีอยู่ มีลูกน้อยเป็นดั่งสายใยผูกพัน
แต่ความทรงจำจากอดีตชาติยังคงฝังแน่นในจิตใจ
เธอจำได้ดีว่า...ชีวิตครั้งนั้น เธอมุ่งแต่จะเลี้ยงลูกและทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
จนละเลยผู้ชายที่เรียกว่าสามี ละเลยความอ่อนโยนที่ควรมีต่อกัน
เธอเชื่อว่าแค่มีลูก ความรักของสามีภรรยาก็จะมั่นคงไปเอง
แต่ความจริง...มันไม่เคยเป็นเช่นนั้น
ผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่พร้อมจะเปลี่ยนใจได้เสมอ
เพียงแค่ได้กลิ่นใหม่ หรือเห็นแววอบอุ่นจากใครอีกคน เขาก็อาจหันหลังจากไปโดยไม่ลังเล
คะนึงนิจหลุบตาลง เธอต้องดูแลหัวใจของเขาให้มากกว่าที่เคย ช่องว่างเล็ก ๆ ที่เคยทำลายชีวิตคู่ของเธอในชาติที่แล้ว เธอไม่ปรารถนาที่จะเห็นมันเกิดขึ้นอีก
คะนึงนิจนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ สายตาเธอมองลูกชายในอ้อมแขนแล้วค่อยหันกลับมาสบตาภูวินทร์
“พี่ภูพูดมาก็มีเหตุผลค่ะ”
เสียงของเธอแผ่วเบาและอ่อนโยน “บางทีนิจอาจจะเหนื่อยเกินไปจริง ๆ การมีคนมาช่วยบ้างก็คงจะดี”
“ถ้าอย่างนั้น...พี่จะให้วิทยา เลขาฯ ของพี่เริ่มหาแม่บ้านกับพี่เลี้ยงตั้งแต่วันพรุ่งนี้นะ”
ภูวินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม แต่แฝงด้วยความตั้งใจจะทำให้ภรรยาสบายขึ้น
เขาหันกลับมามองคะนึงนิจ พลางยิ้มบาง ๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“อ้อ...พี่ลืมบอกนิจไป พี่เพิ่งรับเลขาฯ ส่วนตัวคนใหม่มาทำงาน ชื่อวิทยา เพิ่งเริ่มงานเมื่อวานนี้เอง หน่วยก้านดีทีเดียว คล่องแคล่ว ขยัน แล้วก็รู้หน้าที่”
เขาหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี “พี่ว่าก็สะดวกดีเหมือนกันนะที่ได้เลขาฯ ผู้ชาย เวลาต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอก มันคล่องตัวกว่าเยอะเลย”
“ไว้วันไหนนิจแวะไปที่บริษัท พี่จะแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับ”
เขาพูดอย่างอบอุ่นและจริงใจ โดยไม่รู้เลยว่า...เพียงประโยคเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ นั้น กลับสั่นสะเทือนบางสิ่งในใจของคะนึงนิจ
กำแพงที่เธอสร้างไว้เพื่อปกป้องหัวใจ พังทลายลงอย่างไม่อาจห้ามได้
ไม่ใช่เพราะความหวานในน้ำเสียงของเขา...
แต่เพราะคำว่า “เลขาฯ คนใหม่” ที่หลุดออกมาจากปากของภูวินทร์ ประโยคนั้นเหมือนสะกิดความทรงจำเก่าจนหัวใจของเธอไหววูบ
เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสน
เหตุการณ์ครั้งนี้แตกต่างจากอดีตชาติอย่างสิ้นเชิง
ในครั้งนั้น ภูวินทร์ไม่มีเลขาฯ ส่วนตัวใหม่เลย...
จนกระทั่ง เธอเอง เป็นคนแนะนำผู้หญิงคนนั้นให้เข้ามาทำงานด้วยความไว้ใจ ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพังพินาศในชีวิตคู่ของเธอ
หัวใจของคะนึงนิจเต้นแรงราวกับถูกย้ำเตือนจากโชคชะตา
หรือว่า...การกลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ จะทำให้เส้นทางของเหตุการณ์เปลี่ยนไปจริง ๆ?
ภูวินทร์ยิ้มนิด ๆ ตอบรับกับท่าทางประหลาดใจของภรรยา
ในแววตานั้นมีบางสิ่งแปรเปลี่ยน ความอ่อนโยนเจือด้วยความโหยหาอาลัยที่ไม่อาจปิดบังได้
เมื่อคะนึงนิจขอตัวพาลูกชายออกไปเดินเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
เขาเพียงพยักหน้าเงียบ ๆ แต่หัวใจกลับเต้นแรงอย่างประหลาด
เพียงครู่เดียว เขาก็ตัดสินใจเดินตามออกไปอย่างเงียบ ๆ
แสงแดดยามเย็นทอดอุ่นทั่วสวน เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ของลูกชายดังแผ่วพลิ้วไปตามลม
เด็กน้อยก้าวเท้าเล็ก ๆ อย่างระมัดระวัง เขย่งย่องทีละนิด มือเล็กทั้งสองเกาะมือใหญ่ของหญิงสาวไว้แน่น และยิ้มปากกว้างจนน้ำลายไหลเยิ้ม
ภูวินทร์ยืนนิ่งอยู่ห่าง ๆ สายตาไม่อาจละไปจากภาพตรงหน้าได้เลย
ภาพแผ่นหลังของคะนึงนิจในชุดเรียบง่ายกับลูกน้อยที่เพิ่งหัดเดิน...
มันคือภาพในฝันที่เขาเคยอยากเห็นมานานแสนนาน
ความอิ่มเอิบในหัวใจปนกับความเจ็บปวดบางอย่างคลอเคลียอยู่ในอก
น้ำตาซึมขึ้นโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจว่ามันคือความซาบซึ้ง หรือความกลัวว่าจะสูญเสียช่วงเวลานี้ไปอีกครั้ง
…
เช้าวันนี้ อากาศร้อนน้อยกว่าทุกวัน แสงแดดสีทองสาดลอดผ่านม่านบาง เข้ามาแตะผิวโต๊ะอาหาร ทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้น
คะนึงนิจมองสามีที่นั่งทานอาหารเช้าเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
วันนี้ภูวินทร์ดูทานได้มากกว่าทุกวัน โดยเฉพาะข้าวต้มทรงเครื่องที่เธอเพิ่งทำสด ๆ จากครัว
ตามปกติแล้ว เขามักจะแค่ตักชิมสองสามคำแล้ววางช้อน
แต่เช้านี้กลับต่างออกไป เขาทานจนหมดชาม แล้วยังเงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความอ่อนโยน
“นิจ...ตักให้พี่เพิ่มอีกชามได้ไหมครับ”
เธอเลิกคิ้วขึ้นนิด พลางมองเขาด้วยแววตาแปลกใจ “วันนี้พี่ภูหิวมากเหรอคะ?”
ภูวินทร์ยิ้มบาง ๆ ก่อนตอบเรียบ ๆ “พี่มีประชุมทั้งวัน คงไม่มีเวลาทานข้าวเที่ยงเลยกินเผื่อไว้หน่อยก็ดี”
คะนึงนิจหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางยื่นชามข้าวต้มอีกถ้วยให้ “ปกติ พี่ภูจะไม่ชอบข้าวต้มทรงเครื่องนี่คะ”
“วันนี้ ข้าวต้มอร่อยมาก” เขาตอบสั้น ๆ แต่แววตากลับอบอุ่นจนเธอต้องหลบสายตา
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน...ที่บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารดูผ่อนคลายขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย
ภูวินทร์มองชามข้าวต้มที่ว่างเปล่าตรงหน้าอย่างเงียบงัน
กลิ่นหอมของข้าวผสมขิงยังอวลอยู่ในอากาศ กลิ่นที่เขาโหยหามาโดยตลอด
วันนั้น วันที่ความสัมพันธ์ยังรักใคร่กันดีอยู่ เธอก็ทำข้าวต้มให้เขาเหมือนกัน
แต่เขาตักทานเพียงเล็กน้อย
เขาจำได้ดี สีหน้าของเธอตอนนั้นอ่อนโยน น้ำเสียงเหมือนรู้สึกผิดว่า “ถ้าพี่ภูไม่ชอบ ก็ไม่ต้องฝืนกินก็ได้ค่ะ” ยังดังก้องอยู่ในใจเขามาจนถึงวันนี้
เขายกช้อนขึ้นช้า ๆ ราวกับต้องการจดจำรสชาติในปัจจุบันให้แน่ชัดที่สุด
ข้าวต้มทรงเครื่องธรรมดาชามนี้กลับมีรสอุ่นอย่างประหลาด...
อุ่นพอจะทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปวันที่เขามีความสุข
“อย่างน้อยก็เริ่มต้นเช้าวันใหม่...ด้วยรอยยิ้มของนิจ”
เขาพึมพำในใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองคะนึงนิจที่กำลังเก็บจานชามอย่างตั้งใจ
ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ให้กับภาพตรงหน้า...ภาพที่เขาคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีก
…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแผ่วเบา แต่สำหรับแม่คนหนึ่งที่เพิ่งกล่อมลูกให้หลับได้ คะนึงนิจถึงกับสะดุ้ง เธอรีบเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียง ก่อนกดรับสายแทบจะทันทีด้วยเกรงว่าเสียงเรียกนั้นจะปลุกเจ้าตัวเล็กให้ตื่นขึ้นมา
“ฮัลโหล...” เธอกดเสียงให้เบาที่สุด ขณะเหลียวมองลูกชายที่นอนหายใจสม่ำเสมออยู่บนเตียงข้าง ๆ
วันนี้ลูกน้อยของเธอโยเยมากกว่าทุกวัน
เธอไม่แน่ใจว่าเพราะฟันซี่ใหม่กำลังจะขึ้น หรือเพราะไม่สบายตัวด้วยเหตุอื่น
กว่าจะกล่อมให้หลับได้ ก็เล่นเอาแทบหมดแรง ทั้งร้อง ทั้งอุ้ม ทั้งเดินวนรอบห้องอยู่เกือบชั่วโมง
คะนึงนิจค่อย ๆ เดินออกจากห้องนอนลูกชาย ปิดประตูอย่างแผ่วเบา จนได้ยินเพียงเสียงคลิกเบา ๆ ของกลอนประตู เธอไม่อยากให้เสียงสนทนาของตนไปรบกวนการนอนของลูกน้อยที่เพิ่งหลับสนิท
“พี่นิจ...จันทร์เองค่ะ พอจะสะดวกคุยไหมคะ”
เสียงปลายสายดังขึ้นอย่างสุภาพและเกรงใจ แต่เพียงได้ยินชื่อ...หัวใจของคะนึงนิจก็ชะงักงัน
เธอนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือ
ชื่อที่ปรากฏอยู่บนนั้น ทำให้เลือดในกายเธอเย็นเฉียบทันที
“จันทร์...”
ชื่อที่เธอจำได้ขึ้นใจ แม้ผ่านมากว่าสามสิบปีในชาติที่แล้ว
หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “น้องคนสนิท” ที่เธอไว้ใจที่สุด หญิงสาวที่กลายเป็นต้นเหตุของความพังทลายในชีวิตรักของเธอ
หากเมื่อครู่เธอได้เหลือบดูหน้าจอก่อนรับสาย เธอคงไม่ลังเลที่จะกดตัดสายไปโดยไม่ต้องคิด
คะนึงนิจสูดลมหายใจลึก พยายามบังคับเสียงให้นิ่งที่สุด
“อืม...”
เธอตอบกลับสั้น ๆ อย่างข่มอารมณ์ ทั้งที่ในอกปั่นป่วนไปหมด
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฎขึ้นบนใบหน้า
“จันทร์รวี” หญิงสาวที่ดูอ่อนหวาน สุภาพ น่าสงสาร จนเธอหลงให้ความช่วยเหลือด้วยความจริงใจ
และในที่สุด...ผู้หญิงคนนี้ก็พรากความสุขไปจากเธอ
คะนึงนิจหลับตาแน่นเพียงเสี้ยววินาที
เธอจำได้ดี...โทรศัพท์ครั้งนี้ในชาติที่แล้ว “จันทร์รวี” โทรมาขอให้เธอช่วยหางานให้ทำ
และเพราะเธอมีจิตใจที่เมตตาเกินไป จึงแนะนำให้เข้าทำงานกับภูวินทร์
...จุดเริ่มต้นของหายนะในชีวิตครอบครัวของเธอ