ฝนและพรเริ่มเข้ามาทำงานเป็นพี่เลี้ยงและแม่บ้านให้คะนึงนิจภายในสองวันหลังจากที่เธอตัดสินใจเลือก ทั้งหมดดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพราะภูวินทร์เป็นคนจัดการเรื่องเอกสารและการจ้างงานด้วยความรอบคอบและคล่องแคล่วตามแบบฉบับของเขา
ส่วนหนุ่ยและป้าสร้อยนั้น ทั้งสองขอเวลาเก็บข้าวของหนึ่งสัปดาห์ คะนึงนิจจึงมอบหมายให้ฝนกับพรช่วยกันทำความสะอาดห้องพักที่เตรียมไว้สำหรับทั้งสองคน ส่วนภูวินทร์ก็จัดการเรื่องรถไปรับตามวันที่นัดหมายไว้เรียบร้อย
วันที่ป้าสร้อยกับหนุ่ยมาถึงบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น คะนึงนิจรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนหัวใจที่เคยขาดหายไปกลับมาเต็มอีกครั้ง
ภาคินทร์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นทั้งสองคน เด็กน้อยพยายามเดินเขย่งเท้าเข้าหาอย่างทะเล้นเหมือนตั้งใจจะอวดว่า “ตอนนี้ผมเดินได้แล้วนะ!”
เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบห้องอย่างเอ็นดู เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ส่วนป้าสร้อยก็ย่อตัวลงอ้าแขนรับหลานไว้แน่นด้วยความรัก
คะนึงนิจยืนนิ่งมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่พองโต ความสุขเอ่อท่วมในอก จากความสูญเสียในชาติก่อน วันนี้เธอได้ป้าสร้อย และหนุ่ย น้องชายที่รัก กลับมาอยู่เคียงข้างอีกครั้ง
“ยินดีต้อนรับครับป้าสร้อย หนุ่ย” ภูวินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและจริงใจ “ผมกับนิจดีใจมากที่ทั้งป้าและหนุ่ยย้ายมาอยู่ด้วยกัน อยากให้ถือว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของป้ากับหนุ่ย ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นของใช้หรือสิ่งของอะไร ก็บอกผมหรือนิจได้เลยนะครับ”
เขาหันไปมองภรรยาพร้อมยิ้มบางเบาก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเกรงใจ
“เย็นนี้พี่มีนัดทานข้าวกับลูกค้าชาวรัสเซีย คงต้องขอตัวออกไปก่อน ส่วนงานเลี้ยงต้อนรับป้ากับหนุ่ย เราจัดกันเย็นพรุ่งนี้ดีไหมครับ นิจช่วยพี่จัดการหน่อย ถ้ามีอะไรที่ต้องการเพิ่มเติมหรือต้องจัดการด่วน โทรหาวิทยาได้เลย พี่สั่งเขาไว้แล้วว่าให้คอยดูแลทุกเรื่องให้เรียบร้อย”
ภูวินทร์พูดจบก็หันไปยิ้มให้ป้าสร้อยอีกครั้ง
“ฝากดูแลนิจกับเจ้าตัวเล็กด้วยนะครับป้า ผมสบายใจขึ้นมากเลยครับที่มีป้ามาอยู่ด้วย”
…
คะนึงนิจเชื้อเชิญ “แก้ว” รุ่นน้องร่วมคณะ ซึ่งยังเป็นน้องรหัสของเธอด้วยให้มาที่บ้านในวันที่เธอจัดงานเลี้ยงต้อนรับป้าสร้อยกับหนุ่ยพอดี เพราะจังหวะเหมาะกับที่แก้วเพิ่งโทรหาเธอเพื่อพูดคุยถามข่าวคราวกัน แก้วเป็นคนที่ทั้งป้าสร้อยและหนุ่ยรู้จักมานานหลายปีแล้ว
ในอดีตชาติ...คะนึงนิจจำได้ดีถึงน้ำใจของแก้วที่มักจะช่วยหางานอีเว้นท์มาให้เธอเสมอในช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังตกต่ำ ความช่วยเหลือนั้นอาจดูเล็กน้อยในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเธอแล้ว...มันคือแสงไฟสำคัญที่ช่วยพาเธอกลับมายืนได้อีกครั้งหลังหย่าร้าง
ปัจจุบัน แก้วยังคงทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำแห่งหนึ่ง เธอแต่งงานกับเก่ง เพื่อนชายที่คบหากันตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่มีลูก แม้จะพยายามทำกิฟต์มาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
คะนึงนิจคอยให้กำลังใจแก้วอยู่เสมอ เพราะเธอรู้ดีว่าเบื้องหลังรอยยิ้มสดใสของหญิงสาวคนนั้น มีความอ่อนโยนและความเข้มแข็งซ่อนอยู่มากเพียงใด เธอชื่นชอบในนิสัยตรงไปตรงมาของแก้ว...ผู้หญิงที่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร มีแต่น้ำใจและความเอื้ออารีที่อบอุ่นอย่างแท้จริง
“สวัสดีค่ะ ป้าสร้อย โชคดีจังที่แก้วได้มางานเลี้ยงต้อนรับด้วย ลาภปากเลยค่ะ!” เสียงใสร่าเริงของแก้วทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ
“สวัสดีค่ะ พี่ภู ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ” เธอหันไปทักภูวินทร์ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ตามนิสัยคนพูดเก่ง
ภูวินทร์หัวเราะเบา ๆ “สวัสดีครับ แก้ว พูดแบบนี้พี่เขินเลย”
ทุกคนหัวเราะกันครึกครื้น คะนึงนิจเองก็ยิ้มตามอย่างอารมณ์ดี
“น้องคิน สวัสดีน้าแก้วสิลูก”
หนุ่มน้อยยืนมองแก้วด้วยแววตาใสแจ๋ว ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ แล้วซุกเข้าหาแม่
แก้วหัวเราะเสียงใส “สุดหล่อของน้าแก้ว! ขอน้าอุ้มหน่อยนะครับคนเก่ง”
เธออ้าแขนออกอย่างอ้อน ๆ เจ้าตัวเล็กทำท่าอิดออด ม้วนไปม้วนมาแอบเหล่ตามองอยู่หลายรอบเหมือนจะชั่งใจ จนสุดท้ายก็ยอมโผให้แก้วอุ้มแต่โดยดี
“อุ้ย ตัวแน่นน่าฟัดจังเลย!” แก้วหัวเราะด้วยความเอ็นดู เธอแต่งงานมาได้สามปีแล้วและหวังอยากมีลูกน้อยคล้องใจกับสามีมานานแล้ว แต่ก็พบกับความผิดหวังมาตลอด
“สวัสดีครับ พี่แก้ว” เสียงหนุ่ยดังขึ้นอย่างสุภาพและอบอุ่นทันทีที่เขาเดินมาถึงหน้าบ้าน
แก้วหันไปมอง ก่อนอุทานด้วยความตกใจปนเอ็นดู
“ต๊าย! นี่หนุ่ยเหรอเนี่ย ทำไมตัวสูงขนาดนี้ โอ๊ย...แบบนี้แก้วก็กลายเป็นคนเตี้ยที่สุดในกลุ่มพวกเราไปเลยสิคะเนี่ย!”
ทุกคนรอบตัวหัวเราะออกมาพร้อมกัน เสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กน้อยอย่างภาคินทร์ที่เห็นผู้ใหญ่หัวเราะก็หัวเราะตามไปด้วย ผสมปนกันจนกลายเป็นบรรยากาศแสนอบอุ่นที่อบอวลไปทั่วบ้าน
หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จ สมาชิกทุกคนพากันมานั่งพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น เสียงหัวเราะคุยคละเคล้ากับเสียงของเล่นที่กระทบพื้นเบา ๆ
ฝน พี่เลี้ยงเด็กคนใหม่ กำลังช่วยดูแลภาคินทร์ที่นั่งเล่นตัวต่ออยู่บนพรมอย่างเพลิดเพลิน ส่วนผู้ใหญ่ทั้งห้า คะนึงนิจ ภูวินทร์ ป้าสร้อย แก้วและหนุ่ย ต่างนั่งล้อมวงพูดคุยกันต่ออย่างผ่อนคลาย ระลึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่น
ระหว่างนั้น แก้วเอ่ยขึ้นอย่างนึกขึ้นได้
“อ้อ พี่นิจคะ เมื่อวานนี้แก้วเพิ่งเจอจันทร์มาค่ะ เห็นน้องกำลังวิ่งวุ่นหางานอยู่”
เธอพูดพลางเปิดกระเป๋าหยิบซองเอกสารส่งให้ “จันทร์ฝากเรซูเม่มาให้แก้วหลายชุดเลยค่ะ แก้วเลยเอามาเผื่อพี่นิจหนึ่งชุด เผื่อพี่จะช่วยหางานให้น้องได้อีกทางหนึ่ง”
คะนึงนิจชะงักไปเล็กน้อย เพียงแค่ได้ยินชื่อ “จันทร์” หัวใจของเธอก็สะดุดขึ้นมาทันที เธอพยายามนิ่งเฉยปล่อยวางหลังจากรับสายจันทร์รวีเมื่อวันก่อน ด้วยไม่อยากชักนำผู้หญิงคนนี้เข้ามาใกล้เธอกับครอบครัวอีก
แก้วยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงเห็นใจ
“จันทร์น่าสงสารมากเลยค่ะ เห็นว่ายัยเถ้าแก่เนี้ยที่บริษัทเก่าเที่ยวใส่ร้ายเธอไปทั่ว หลายบริษัทที่รู้จักกันเลยไม่กล้ารับจันทร์เข้าทำงาน ตอนนี้ก็เลยลำบากหน่อย แก้วก็กำลังถามเพื่อน ๆ คนรู้จักให้เหมือนกัน เผื่อจะมีตำแหน่งไหนที่พอให้จันทร์ลองสมัครได้บ้าง” เสียงของแก้วยังคงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเมตตา
คะนึงนิจจำใจรับซองจากมือของแก้วมา เพราะแก้วไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงเรื่องราวในอดีตชาติ...เรื่องราวที่จันทร์รวีเคยทำกับเธอไว้
เธอเปิดซองเอกสารออกดูช้า ๆ รูปถ่ายหญิงสาวในชุดสูทเรียบอยู่ตรงหน้า แววตาในภาพนั้นทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันที หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นน้อย ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก เหมือนกำลังรวบรวมสติ แล้วส่งเอกสารนั้นต่อให้ ภูวินทร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“พี่ภูคะ...ที่บริษัทพอจะมีตำแหน่งงานให้จันทร์ลองสมัครไหมคะ” เสียงของเธอนุ่มเรียบแต่แฝงความพยายามควบคุมอารมณ์
“จันทร์เป็นหลานรหัสของนิจ แล้วก็เป็นน้องรหัสของแก้วอีกต่อหนึ่งค่ะ เคยทำงานเป็นเลขานุการผู้บริหารมาก่อน ตอนนี้ตกงาน เห็นว่า...พยายามหางานมาพักหนึ่งแล้ว”
ภูวินทร์รับเอกสารจากมือเธออย่างสุภาพ และวางไว้บนโต๊ะข้างตัวโดยไม่ใส่ใจมากนัก
“ไว้พี่จะลองถามวุฒิดูนะครับ ตอนนี้ในส่วนงานที่พี่รับผิดชอบอยู่ ตำแหน่งเต็มหมดแล้ว”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “แต่เมื่อวานได้ยินว่า วุฒิกำลังหาเลขาฯ ส่วนตัวอยู่พอดี คนเดิมกำลังจะลาออก ไว้พี่จะส่งเอกสารต่อให้วุฒินะครับ ถ้าเขาสนใจก็คงติดต่อกลับหารุ่นน้องคนนี้ของนิจเอง”
คะนึงนิจพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ มือเธอยังสัมผัสความสั่นเบา ๆ ของกระดาษที่เพิ่งส่งต่อให้เขา ความรู้สึกในใจเจือปนไปด้วยความหงุดหงิด เธออยากขว้างเอกสารชุดนั้นทิ้งออกไปไกล ๆ นอกบ้านแต่ก็ข่มอารมณ์ไว้
ภูวินทร์ลุกขึ้นพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน “เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้ป้าพรชงชาอู่หลงที่พี่เพิ่งได้มาจากลูกค้าให้ชิมกันนะครับ เห็นว่าเป็นเกรดพรีเมี่ยม หาซื้อยากมาก แล้วก็มีผลไม้ที่พี่ให้ปอกไว้ พวกเรามาทานกันไปคุยกันไปต่อดีกว่า”
เขาพูดพลางเดินไปทางห้องครัว ทิ้งให้คะนึงนิจนั่งมองซองเอกสารที่เพิ่งถูกวางไว้ตรงโต๊ะ หัวใจของเธอสั่นระริกเบา ๆ ...
จันทร์รวี (ข้อความไลน์):
“พี่นิจคะ จันทร์ได้งานที่บริษัทของสามีพี่แล้วค่ะ จันทร์โทรหาพี่หลายรอบแล้ว จะขอบคุณเรื่องงานแต่เหมือนพี่นิจจะไม่ว่างรับสาย จันทร์เลยส่งไลน์มาขอบคุณแทนค่ะ ❤️”
คะนึงนิจมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างขึ้นด้วยข้อความนั้น ดวงตาเธอไล่อ่านตัวอักษรอย่างนิ่งเฉย ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบาง ๆ...รอยยิ้มที่ไร้แววอารมณ์ใด ๆ นอกจากความเหนื่อยหน่ายและความระแวดระวัง เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะช้า ๆ
“พยายามเข้ามาจนได้สินะ”
น้ำเสียงในใจของเธอเยือกเย็นแต่แน่วแน่
“แต่ครั้งนี้ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันจะไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อนแน่...จันทร์รวี”
เธอเงยหน้าขึ้น มองภาพลูกชายตัวน้อยที่กำลังนั่งเล่นของเล่นข้างตัวอย่างมีความสุข รอยยิ้มที่อ่อนโยนแตะแต้มบนริมฝีปาก
“น้องคิน...จะต้องได้รับความสุขและความมั่นคงจากพ่อของเขาอย่างครบถ้วน”
…
หลังจากรายงานตัวกับฝ่ายบุคคลเรียบร้อยแล้ว จันทร์รวีก็ขออนุญาตเข้าพบภูวินทร์ เพื่อแนะนำตัวและกล่าวขอบคุณด้วยตนเองก่อนจะเข้าร่วมการปฐมนิเทศพนักงานใหม่
“สวัสดีค่ะ ดิฉัน จันทร์รวี รุ่นน้องของคุณคะนึงนิจ ภรรยาของคุณภูวินทร์ค่ะ วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มงาน ก็เลยอยากมาสวัสดีและขอบคุณคุณภูวินทร์ด้วยตัวเองค่ะ”
เธอกล่าวกับเลขาฯ หน้าห้องของภูวินทร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พยายามยิ้มอย่างสุภาพ แต่แววตากลับแฝงด้วยประกายความมั่นใจลึก ๆ
จังหวะนั้นเอง ประตูห้องทำงานใหญ่เปิดออก ภูวินทร์ก้าวออกมาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ ข้างกายมีวิทยา เลขานุการส่วนตัว เดินตามมาติด ๆ
เลขานุการหน้าห้องรีบเอ่ยรายงานทันที “คุณจันทร์รวีขออนุญาตเข้าพบค่ะ พอดีท่านติดประชุมกับฝ่าย R&D ดิฉันได้แจ้งไปแล้วว่าให้รอการนัดหมายภายหลัง แต่คุณจันทร์รวียืนยันว่าจะรอพบให้ได้ เพื่อจะขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”
น้ำเสียงของเลขาฯ สาวฟังดูสุภาพแต่แฝงความหวั่นใจ เพราะเธอจำได้ดีว่าเจ้านายเพิ่งกำชับไว้เมื่อเช้าว่า ไม่รับการเข้าพบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้นัดหมาย
ภูวินทร์หยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าเพียงเสี้ยววินาที แววตานิ่งสงบ เยือกเย็นจนยากจะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“อืม...ไม่เป็นไร” เขาพยักหน้าตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะสบตาจันทร์รวี
“ผมรับทราบแล้ว”
จากนั้น ก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองจันทร์รวีแม้แต่น้อย
เสียงส้นรองเท้าหนังของภูวินทร์กระทบพื้นห้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จนประตูห้องทำงานค่อย ๆ ปิดลง
เหลือเพียงจันทร์รวีที่ยืนค้างอยู่ตรงนั้น ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นค่อย ๆ แผ่วลงทีละน้อยจนแทบไม่เหลือเค้าความมั่นใจเดิม มือเรียวกำแน่นแนบลำตัว ดวงตาฉายแววขุ่นมัวและอัดอั้น
เธอสูดลมหายใจลึก พยายามกลืนความขุ่นเคืองที่ตีขึ้นมาในอก...ความรู้สึกอยากจะกรีดร้องให้สุดเสียงถูกบีบเก็บไว้ภายในอย่างเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ดังหวัง