บทที่ 6

2166 Words
ฝนและพรเริ่มเข้ามาทำงานเป็นพี่เลี้ยงและแม่บ้านให้คะนึงนิจภายในสองวันหลังจากที่เธอตัดสินใจเลือก ทั้งหมดดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพราะภูวินทร์เป็นคนจัดการเรื่องเอกสารและการจ้างงานด้วยความรอบคอบและคล่องแคล่วตามแบบฉบับของเขา ส่วนหนุ่ยและป้าสร้อยนั้น ทั้งสองขอเวลาเก็บข้าวของหนึ่งสัปดาห์ คะนึงนิจจึงมอบหมายให้ฝนกับพรช่วยกันทำความสะอาดห้องพักที่เตรียมไว้สำหรับทั้งสองคน ส่วนภูวินทร์ก็จัดการเรื่องรถไปรับตามวันที่นัดหมายไว้เรียบร้อย วันที่ป้าสร้อยกับหนุ่ยมาถึงบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น คะนึงนิจรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนหัวใจที่เคยขาดหายไปกลับมาเต็มอีกครั้ง ภาคินทร์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นทั้งสองคน เด็กน้อยพยายามเดินเขย่งเท้าเข้าหาอย่างทะเล้นเหมือนตั้งใจจะอวดว่า “ตอนนี้ผมเดินได้แล้วนะ!” เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบห้องอย่างเอ็นดู เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก ส่วนป้าสร้อยก็ย่อตัวลงอ้าแขนรับหลานไว้แน่นด้วยความรัก คะนึงนิจยืนนิ่งมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่พองโต ความสุขเอ่อท่วมในอก จากความสูญเสียในชาติก่อน วันนี้เธอได้ป้าสร้อย และหนุ่ย น้องชายที่รัก กลับมาอยู่เคียงข้างอีกครั้ง “ยินดีต้อนรับครับป้าสร้อย หนุ่ย” ภูวินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและจริงใจ “ผมกับนิจดีใจมากที่ทั้งป้าและหนุ่ยย้ายมาอยู่ด้วยกัน อยากให้ถือว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของป้ากับหนุ่ย ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นของใช้หรือสิ่งของอะไร ก็บอกผมหรือนิจได้เลยนะครับ” เขาหันไปมองภรรยาพร้อมยิ้มบางเบาก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเกรงใจ “เย็นนี้พี่มีนัดทานข้าวกับลูกค้าชาวรัสเซีย คงต้องขอตัวออกไปก่อน ส่วนงานเลี้ยงต้อนรับป้ากับหนุ่ย เราจัดกันเย็นพรุ่งนี้ดีไหมครับ นิจช่วยพี่จัดการหน่อย ถ้ามีอะไรที่ต้องการเพิ่มเติมหรือต้องจัดการด่วน โทรหาวิทยาได้เลย พี่สั่งเขาไว้แล้วว่าให้คอยดูแลทุกเรื่องให้เรียบร้อย” ภูวินทร์พูดจบก็หันไปยิ้มให้ป้าสร้อยอีกครั้ง “ฝากดูแลนิจกับเจ้าตัวเล็กด้วยนะครับป้า ผมสบายใจขึ้นมากเลยครับที่มีป้ามาอยู่ด้วย” … คะนึงนิจเชื้อเชิญ “แก้ว” รุ่นน้องร่วมคณะ ซึ่งยังเป็นน้องรหัสของเธอด้วยให้มาที่บ้านในวันที่เธอจัดงานเลี้ยงต้อนรับป้าสร้อยกับหนุ่ยพอดี เพราะจังหวะเหมาะกับที่แก้วเพิ่งโทรหาเธอเพื่อพูดคุยถามข่าวคราวกัน แก้วเป็นคนที่ทั้งป้าสร้อยและหนุ่ยรู้จักมานานหลายปีแล้ว ในอดีตชาติ...คะนึงนิจจำได้ดีถึงน้ำใจของแก้วที่มักจะช่วยหางานอีเว้นท์มาให้เธอเสมอในช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังตกต่ำ ความช่วยเหลือนั้นอาจดูเล็กน้อยในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเธอแล้ว...มันคือแสงไฟสำคัญที่ช่วยพาเธอกลับมายืนได้อีกครั้งหลังหย่าร้าง ปัจจุบัน แก้วยังคงทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำแห่งหนึ่ง เธอแต่งงานกับเก่ง เพื่อนชายที่คบหากันตั้งแต่ช่วงมหาวิทยาลัย แต่ยังไม่มีลูก แม้จะพยายามทำกิฟต์มาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ คะนึงนิจคอยให้กำลังใจแก้วอยู่เสมอ เพราะเธอรู้ดีว่าเบื้องหลังรอยยิ้มสดใสของหญิงสาวคนนั้น มีความอ่อนโยนและความเข้มแข็งซ่อนอยู่มากเพียงใด เธอชื่นชอบในนิสัยตรงไปตรงมาของแก้ว...ผู้หญิงที่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร มีแต่น้ำใจและความเอื้ออารีที่อบอุ่นอย่างแท้จริง “สวัสดีค่ะ ป้าสร้อย โชคดีจังที่แก้วได้มางานเลี้ยงต้อนรับด้วย ลาภปากเลยค่ะ!” เสียงใสร่าเริงของแก้วทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ “สวัสดีค่ะ พี่ภู ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะคะ” เธอหันไปทักภูวินทร์ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ ตามนิสัยคนพูดเก่ง ภูวินทร์หัวเราะเบา ๆ “สวัสดีครับ แก้ว พูดแบบนี้พี่เขินเลย” ทุกคนหัวเราะกันครึกครื้น คะนึงนิจเองก็ยิ้มตามอย่างอารมณ์ดี “น้องคิน สวัสดีน้าแก้วสิลูก” หนุ่มน้อยยืนมองแก้วด้วยแววตาใสแจ๋ว ก่อนจะยิ้มเขิน ๆ แล้วซุกเข้าหาแม่ แก้วหัวเราะเสียงใส “สุดหล่อของน้าแก้ว! ขอน้าอุ้มหน่อยนะครับคนเก่ง” เธออ้าแขนออกอย่างอ้อน ๆ เจ้าตัวเล็กทำท่าอิดออด ม้วนไปม้วนมาแอบเหล่ตามองอยู่หลายรอบเหมือนจะชั่งใจ จนสุดท้ายก็ยอมโผให้แก้วอุ้มแต่โดยดี “อุ้ย ตัวแน่นน่าฟัดจังเลย!” แก้วหัวเราะด้วยความเอ็นดู เธอแต่งงานมาได้สามปีแล้วและหวังอยากมีลูกน้อยคล้องใจกับสามีมานานแล้ว แต่ก็พบกับความผิดหวังมาตลอด “สวัสดีครับ พี่แก้ว” เสียงหนุ่ยดังขึ้นอย่างสุภาพและอบอุ่นทันทีที่เขาเดินมาถึงหน้าบ้าน แก้วหันไปมอง ก่อนอุทานด้วยความตกใจปนเอ็นดู “ต๊าย! นี่หนุ่ยเหรอเนี่ย ทำไมตัวสูงขนาดนี้ โอ๊ย...แบบนี้แก้วก็กลายเป็นคนเตี้ยที่สุดในกลุ่มพวกเราไปเลยสิคะเนี่ย!” ทุกคนรอบตัวหัวเราะออกมาพร้อมกัน เสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กน้อยอย่างภาคินทร์ที่เห็นผู้ใหญ่หัวเราะก็หัวเราะตามไปด้วย ผสมปนกันจนกลายเป็นบรรยากาศแสนอบอุ่นที่อบอวลไปทั่วบ้าน หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จ สมาชิกทุกคนพากันมานั่งพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น เสียงหัวเราะคุยคละเคล้ากับเสียงของเล่นที่กระทบพื้นเบา ๆ ฝน พี่เลี้ยงเด็กคนใหม่ กำลังช่วยดูแลภาคินทร์ที่นั่งเล่นตัวต่ออยู่บนพรมอย่างเพลิดเพลิน ส่วนผู้ใหญ่ทั้งห้า คะนึงนิจ ภูวินทร์ ป้าสร้อย แก้วและหนุ่ย ต่างนั่งล้อมวงพูดคุยกันต่ออย่างผ่อนคลาย ระลึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่ทำให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ระหว่างนั้น แก้วเอ่ยขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ “อ้อ พี่นิจคะ เมื่อวานนี้แก้วเพิ่งเจอจันทร์มาค่ะ เห็นน้องกำลังวิ่งวุ่นหางานอยู่” เธอพูดพลางเปิดกระเป๋าหยิบซองเอกสารส่งให้ “จันทร์ฝากเรซูเม่มาให้แก้วหลายชุดเลยค่ะ แก้วเลยเอามาเผื่อพี่นิจหนึ่งชุด เผื่อพี่จะช่วยหางานให้น้องได้อีกทางหนึ่ง” คะนึงนิจชะงักไปเล็กน้อย เพียงแค่ได้ยินชื่อ “จันทร์” หัวใจของเธอก็สะดุดขึ้นมาทันที เธอพยายามนิ่งเฉยปล่อยวางหลังจากรับสายจันทร์รวีเมื่อวันก่อน ด้วยไม่อยากชักนำผู้หญิงคนนี้เข้ามาใกล้เธอกับครอบครัวอีก แก้วยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “จันทร์น่าสงสารมากเลยค่ะ เห็นว่ายัยเถ้าแก่เนี้ยที่บริษัทเก่าเที่ยวใส่ร้ายเธอไปทั่ว หลายบริษัทที่รู้จักกันเลยไม่กล้ารับจันทร์เข้าทำงาน ตอนนี้ก็เลยลำบากหน่อย แก้วก็กำลังถามเพื่อน ๆ คนรู้จักให้เหมือนกัน เผื่อจะมีตำแหน่งไหนที่พอให้จันทร์ลองสมัครได้บ้าง” เสียงของแก้วยังคงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเมตตา คะนึงนิจจำใจรับซองจากมือของแก้วมา เพราะแก้วไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงเรื่องราวในอดีตชาติ...เรื่องราวที่จันทร์รวีเคยทำกับเธอไว้ เธอเปิดซองเอกสารออกดูช้า ๆ รูปถ่ายหญิงสาวในชุดสูทเรียบอยู่ตรงหน้า แววตาในภาพนั้นทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันที หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นน้อย ๆ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก เหมือนกำลังรวบรวมสติ แล้วส่งเอกสารนั้นต่อให้ ภูวินทร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “พี่ภูคะ...ที่บริษัทพอจะมีตำแหน่งงานให้จันทร์ลองสมัครไหมคะ” เสียงของเธอนุ่มเรียบแต่แฝงความพยายามควบคุมอารมณ์ “จันทร์เป็นหลานรหัสของนิจ แล้วก็เป็นน้องรหัสของแก้วอีกต่อหนึ่งค่ะ เคยทำงานเป็นเลขานุการผู้บริหารมาก่อน ตอนนี้ตกงาน เห็นว่า...พยายามหางานมาพักหนึ่งแล้ว” ภูวินทร์รับเอกสารจากมือเธออย่างสุภาพ และวางไว้บนโต๊ะข้างตัวโดยไม่ใส่ใจมากนัก “ไว้พี่จะลองถามวุฒิดูนะครับ ตอนนี้ในส่วนงานที่พี่รับผิดชอบอยู่ ตำแหน่งเต็มหมดแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ พลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “แต่เมื่อวานได้ยินว่า วุฒิกำลังหาเลขาฯ ส่วนตัวอยู่พอดี คนเดิมกำลังจะลาออก ไว้พี่จะส่งเอกสารต่อให้วุฒินะครับ ถ้าเขาสนใจก็คงติดต่อกลับหารุ่นน้องคนนี้ของนิจเอง” คะนึงนิจพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ มือเธอยังสัมผัสความสั่นเบา ๆ ของกระดาษที่เพิ่งส่งต่อให้เขา ความรู้สึกในใจเจือปนไปด้วยความหงุดหงิด เธออยากขว้างเอกสารชุดนั้นทิ้งออกไปไกล ๆ นอกบ้านแต่ก็ข่มอารมณ์ไว้ ภูวินทร์ลุกขึ้นพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน “เดี๋ยวพี่ไปสั่งให้ป้าพรชงชาอู่หลงที่พี่เพิ่งได้มาจากลูกค้าให้ชิมกันนะครับ เห็นว่าเป็นเกรดพรีเมี่ยม หาซื้อยากมาก แล้วก็มีผลไม้ที่พี่ให้ปอกไว้ พวกเรามาทานกันไปคุยกันไปต่อดีกว่า” เขาพูดพลางเดินไปทางห้องครัว ทิ้งให้คะนึงนิจนั่งมองซองเอกสารที่เพิ่งถูกวางไว้ตรงโต๊ะ หัวใจของเธอสั่นระริกเบา ๆ ... จันทร์รวี (ข้อความไลน์): “พี่นิจคะ จันทร์ได้งานที่บริษัทของสามีพี่แล้วค่ะ จันทร์โทรหาพี่หลายรอบแล้ว จะขอบคุณเรื่องงานแต่เหมือนพี่นิจจะไม่ว่างรับสาย จันทร์เลยส่งไลน์มาขอบคุณแทนค่ะ ❤️” คะนึงนิจมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างขึ้นด้วยข้อความนั้น ดวงตาเธอไล่อ่านตัวอักษรอย่างนิ่งเฉย ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มบาง ๆ...รอยยิ้มที่ไร้แววอารมณ์ใด ๆ นอกจากความเหนื่อยหน่ายและความระแวดระวัง เธอวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะช้า ๆ “พยายามเข้ามาจนได้สินะ” น้ำเสียงในใจของเธอเยือกเย็นแต่แน่วแน่ “แต่ครั้งนี้ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันจะไม่ง่ายเหมือนครั้งก่อนแน่...จันทร์รวี” เธอเงยหน้าขึ้น มองภาพลูกชายตัวน้อยที่กำลังนั่งเล่นของเล่นข้างตัวอย่างมีความสุข รอยยิ้มที่อ่อนโยนแตะแต้มบนริมฝีปาก “น้องคิน...จะต้องได้รับความสุขและความมั่นคงจากพ่อของเขาอย่างครบถ้วน” … หลังจากรายงานตัวกับฝ่ายบุคคลเรียบร้อยแล้ว จันทร์รวีก็ขออนุญาตเข้าพบภูวินทร์ เพื่อแนะนำตัวและกล่าวขอบคุณด้วยตนเองก่อนจะเข้าร่วมการปฐมนิเทศพนักงานใหม่ “สวัสดีค่ะ ดิฉัน จันทร์รวี รุ่นน้องของคุณคะนึงนิจ ภรรยาของคุณภูวินทร์ค่ะ วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มงาน ก็เลยอยากมาสวัสดีและขอบคุณคุณภูวินทร์ด้วยตัวเองค่ะ” เธอกล่าวกับเลขาฯ หน้าห้องของภูวินทร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน พยายามยิ้มอย่างสุภาพ แต่แววตากลับแฝงด้วยประกายความมั่นใจลึก ๆ จังหวะนั้นเอง ประตูห้องทำงานใหญ่เปิดออก ภูวินทร์ก้าวออกมาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ ข้างกายมีวิทยา เลขานุการส่วนตัว เดินตามมาติด ๆ เลขานุการหน้าห้องรีบเอ่ยรายงานทันที “คุณจันทร์รวีขออนุญาตเข้าพบค่ะ พอดีท่านติดประชุมกับฝ่าย R&D ดิฉันได้แจ้งไปแล้วว่าให้รอการนัดหมายภายหลัง แต่คุณจันทร์รวียืนยันว่าจะรอพบให้ได้ เพื่อจะขอบคุณท่านด้วยตัวเอง” น้ำเสียงของเลขาฯ สาวฟังดูสุภาพแต่แฝงความหวั่นใจ เพราะเธอจำได้ดีว่าเจ้านายเพิ่งกำชับไว้เมื่อเช้าว่า ไม่รับการเข้าพบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้นัดหมาย ภูวินทร์หยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้าเพียงเสี้ยววินาที แววตานิ่งสงบ เยือกเย็นจนยากจะคาดเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ “อืม...ไม่เป็นไร” เขาพยักหน้าตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะสบตาจันทร์รวี “ผมรับทราบแล้ว” จากนั้น ก็หันหลังกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามองจันทร์รวีแม้แต่น้อย เสียงส้นรองเท้าหนังของภูวินทร์กระทบพื้นห้องเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จนประตูห้องทำงานค่อย ๆ ปิดลง เหลือเพียงจันทร์รวีที่ยืนค้างอยู่ตรงนั้น ใบหน้ายังประดับด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นค่อย ๆ แผ่วลงทีละน้อยจนแทบไม่เหลือเค้าความมั่นใจเดิม มือเรียวกำแน่นแนบลำตัว ดวงตาฉายแววขุ่นมัวและอัดอั้น เธอสูดลมหายใจลึก พยายามกลืนความขุ่นเคืองที่ตีขึ้นมาในอก...ความรู้สึกอยากจะกรีดร้องให้สุดเสียงถูกบีบเก็บไว้ภายในอย่างเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ดังหวัง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD