ตอนที่ 5-1

1556 Words
วิวาห์(ไม่)ไร้รัก Writer : Aile'N ตอนที่ 5 "กลับมาแล้วหรอลูก" กว่าจะช่วยพ่อกับแม่ขายของรวมเก็บร้านจนเสร็จและเดินทางกลับมาถึงบ้านอินทรเกษมกุลก็ปาไปสามทุ่มกว่าจวนจะสี่ทุ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่คนที่กำลังเดินลากเท้าด้วยความเหนื่อยล้ากลับต้องแปลกใจที่ภายในบ้านอันเงียบสงบมีร่างหนึ่งของสตรีวัยกลางคนกำลังนั่งรอการกลับมาของเธออยู่ที่โซฟารับแขก "คุณหญิง...เอ่อ คุณแม่ทำไมยังไม่เข้านอนอีกล่ะคะ" เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเดินเข้ามาหาคนถามก็รีบสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหาอย่างรีบร้อนเสียเอง "ยังจ้ะ แม่แค่รู้สึก...เป็นห่วงหนูนิดหน่อยน่ะ กลับมืดค่ำ แล้วดูสิเนี่ย เหนื่อยมากเลยใช่มั้ยหื้ม? " คุณหญิงนาฏยายกยิ้มอ่อนพลางเอื้อมมือมาลูบแก้มใสแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยมองสำรวจร่างกายบางๆ นั้นอย่างละเอียด ยิ่งเห็นเด็กสาวมีท่าทีเหนื่อยล้าเธอก็ยิ่งสงสารและเห็นใจ วันนี้อากาศดูจะร้อนกว่าทุกวันอีกฝ่ายเลยเหงื่อโทรมกายเสียขนาดนี้ "นิดหน่อยค่ะ แต่หนูชินแล้ว" ร่างบางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เพราะถึงจะเหนื่อยก็เหนื่อยเพราะทำเพื่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งกว่าที่ท่านทั้งสองจะเลี้ยงดูให้เธอเติบโตมาได้ถึงยี่สิบกว่าปีพวกท่านก็เหนื่อยกับเธอมาไม่น้อยเลยเหมือนกัน "ให้แม่หาคนไปช่วยแทนดีมั้ย หนูจะได้ไม่เหนื่อย ไหนจะต้องเรียนอีก" คุณหญิงมองเห็นความตั้งใจดีและกตัญญูรู้คุณคนจากคนตรงหน้ามาตลอดหลายวันตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน เธอจึงอยากแสดงความหวังดีตอบแทนความดีของเด็กสาวบ้าง แต่อีอีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับไปง่ายๆ "ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องหรอกนะคะ คุณพ่อคุณแม่มีเมตตากับครอบครัวหนูมากพอแล้ว แค่นี้สบายมากค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ" รินลดาฉีกยิ้มเต็มแก้ม เอ่ยพลางรวบมือนุ่มทั้งสองข้างของผู้มีพระคุณขึ้นมากุมไว้อย่างทะนุถนอม แววตาที่มองสบกันมีแต่ความรักและเทิดทูนจนคนถูกมองรู้สึกเต็มตื้น ปลื้มปริ่มจนหัวใจพองโต ในหัวคิดแต่ว่าเด็กคนนี้ช่างเป็นคนดีจริงๆ เธอกับสามีนับว่าโชคดียิ่งที่ได้อีกฝ่ายมาเป็นสะใภ้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเจ้าลูกชายถึงจะเห็นตรงกันเสียที "ถ้าหนูต้องการแบบนั้นแม่ก็จะไม่ก้าวก่าย แต่ถ้าเหนื่อยจนทนไม่ไหวก็บอกได้ตลอดเลยนะจ๊ะ ไม่ต้องเกรงใจ" คุณหญิงยอมล้าถอย ปล่อยให้เป็นเรื่องของครอบครัวอีกฝ่าย เพียงแต่ถ้าวันใดร่างบางเหนื่อยจนทำต่อไม่ไหวเธอก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเต็มที่ "ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ แต่ตอนนี้ได้เวลาเข้านอนแล้ว คุณแม่ควรพักผ่อนได้แล้วนะคะ หนูไปส่ง" รินลดายิ้มรับความหวังดีที่ผู้ใหญ่ใจดีอย่างคุณนาฏยามอบให้ แต่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าคงไม่มีวันนั้น เธอไม่อยากรบกวนคุณท่านทั้งสองไปมากกว่านี้แล้ว "อ้อ มีอีกเรื่อง" "คะ? " สองเท้าที่กำลังก้าวเดินเคียงคู่กันไปหยุดชะงักตามกัน คนพูดเกริ่นไว้เท่านั้นตามด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานแต่หากแววตากลับดูวิบวับไม่น่าไว้วางใจ.. "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพี่ธันย์จะเป็นคนไปรับไปส่งหนูที่มหา'ลัยทุกวัน มีเรียนกี่โมงหรือเลิกกี่โมงก็บอกพี่เขาไว้เลยนะ" คนพูดฉีกยิ้มเต็มแก้มเมื่อเอ่ยจบ แววตามีความยินดีมากอย่างไม่คิดปิด ทว่าคนฟังกลับเหมือนจะไม่รับรู้อย่างอื่นนอกจากใจความที่ว่าต่อไปใครจะเป็นคนไปรับส่ง "ทะ.. ทำไมล่ะคะ ลุงพรไปส่งหนูเหมือนวันนี้ก็ดีอยู่แล้วนะคะ" ร่างบางอึกอักแทบจะหาเสียงไม่เจอ จากตอนแรกที่ไม่เห็นด้วยที่ต้องให้ลุงพรไปส่ง ตอนนี้พอรู้ว่าวรธันย์จะไปเองกลับเห็นว่าลุงพรดีกว่าเป็นไหนๆ "พี่ธันย์ไปย่อมดีกว่าแน่นอนจ้ะ จะได้สนิทกันไว้ไงจ๊ะ ไม่กี่เดือนหนูก็เรียนจบแล้วนะ สนิทกันให้ไวจะได้รักกันไวๆ ไงจ๊ะ" คุณหญิงตอบเสียงใส แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าความใกล้ชิดจะทำให้ทั้งสองคนรู้สึกดีๆ ต่อกันได้ง่ายขึ้น "...เอางั้นก็ได้ค่ะ" คนฟังฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก ยิ่งเห็นว่าที่แม่สามีแสดงความคาดหวังออกมาอย่างท่วมท้นก็ยิ่งยากที่จะปฏิเสธได้ลง เมื่อส่งคุณหญิงเข้านอนแล้วรินลดาก็กลับเข้าห้องมาด้วยความตึงเครียด เธอมองเห็นอนาคตอย่างแจ่มชัดว่ามันจะต้องไม่ราบรื่นอย่างที่คุณหญิงวาดฝันไว้แน่ๆ แต่ถามว่าทำอะไรได้ไหม ก็ไม่.. อีกอย่างก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะคิดอะไรยุ่งยาก เลยจำต้องปล่อยวาง รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวและเข้านอน กระทั่งหลับไปอย่างรวดเร็ว.. วันต่อมา.. อากาศยามเช้าของวันนี้ไม่ได้ทำให้ร่างบางรู้สึกสดชื่นเท่าที่ควร จิตใจของเธอมีแต่ความเป็นกังวลหลังจากที่ได้รู้ว่าลุงพรจะไม่ได้ไปส่งที่มหาวิทยาลัยเหมือนเมื่อวานแล้ว ซึ่งถ้าวรธันย์เป็นคนไปส่งก็แสดงว่าเมื่อคืนเขาค้างที่นี่ ในห้องถัดไปจากห้องเธอสามห้อง และบนโต๊ะอาหารเช้าก็คงจะเจอหน้ากัน เธอคิดแบบนั้น.. แต่พอลงมาทานข้าวกลับไม่เห็นเขาลงมาร่วมโต๊ะ คุณพ่อคุณแม่ของเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงให้เริ่มทานกันได้โดยไม่ต้องรอ "ฉันจะไปทำงานแล้ว จะไปก็รีบมา" เริ่มทานได้ไม่เท่าไร ร่างสูงในชุดสูทเต็มยศก็เดินมาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ตาคมปรายมองว่าที่ภรรยาเพียงนิดก็หมุนตัวเดินกลับออกไป คนที่ยังไม่ทันได้ทานข้าวอิ่มถึงกับนั่งอึ้งมึนงงไปชั่วขณะ พอตั้งสติได้ก็รีบกุลีกุจอเก็บของ ไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วตามออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่พ้นสายตาไปไม่กี่วินาทีใครคนนั้นก็เดินทิ้งระยะห่างออกไปไกลจนเธอต้องเร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน พลั่ก! แต่เพราะรีบเสียจนไม่ทันระวังรอบข้างให้ดีรินลดาจึงเดินไปชนเข้ากับสาวใช้คนหนึ่งที่เดินเลี้ยวออกมาจากทางเดินอีกด้าน ช่างน่าแปลก.. แรงปะทะไม่ได้ทำให้เธอเซไปด้านข้างยังพื้นที่ว่างที่ไม่มีใครอยู่.. แต่กลับพุ่งไปด้านหน้าหาคนตัวสูงราวกับถูกใครสักคนบงการไว้ ทำให้ทิศทางมันผิดธรรมชาติไปจากที่ควรจะเป็น ร่างบางเล็กปะทะเข้ากับอกแกร่งที่หันมาหาเนื่องจากได้ยินเสียงเธอกับคู่กรณีอุทานเสียงหลงออกมาพร้อมกันพอดี และด้วยสัญชาติญาณก็ทำให้วรธันย์ตวัดแขนคว้าเอวบางเอาไว้ไม่ให้อีกคนล้มกลิ้งไปไหน รินลดาเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความตกใจ และพอดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันในระยะลมหายใจเป่ารดก็เหมือนเวลาได้ถูกช่วงชิงไป ทุกสิ่งรอบกายหยุดนิ่ง ไร้การเคลื่อนไหวดั่งเช่นเธอกับเขาในยามนี้.. กลิ่นกายหอมอ่อนกับดวงตาคู่สวยรบกวนจิตใจคนมองไม่ใช่น้อย แต่ด้วยความไม่ชอบในตัวอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้นทำให้สิ่งรบเร้าเหล่าถูกปัดตก วรธันย์ได้สติก่อนปั้นหน้าขรึมพร้อมกับปล่อยร่างที่กอดอยู่ลงพื้นอย่างไม่ไยดี มือหนาปัดป่ายเนื้อผ้าชุดสูทหรูเหมือนกลัวติดอะไรจากอีกคนมา ไม่แน่ก็อาจจะเป็นสิ่งเร้าที่บอกไปในตอนต้นก็เป็นได้.. "สกปรก! " เขาเหน็บเสียงรอดไรฟันทั้งที่กลิ่นหอมอ่อนจากสาวเจ้ายังคงติดจมูก.. รินลดากัดฟันแน่น เจ็บทั้งกายและใจแต่ไม่คิดโต้ตอบ เธอฝืนทนลุกตามร่างสูงมาที่รถ ทว่าก็ทำเพียงยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะขึ้นไปนั่งตรงไหนดีในเมื่อว่าที่สามีเปิดประตูเบาะหลังขึ้นไปก่อนแล้ว แถมปิดประตูใส่หน้าเธออีกต่างหาก หรือเป็นสัญญาณกรายๆ ว่าให้เธอไปนั่งข้างหน้า? "ยืนโง่อยู่ทำไม ขึ้นรถ! " พอมัวแต่ลังเลไม่ทันใจเจ้าของรถก็เปิดกระจกตะโกนด่าเสียงดัง ทำให้ต้องสลัดความลังเลทิ้งไปแล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งเบาะหลังคู่กัน ใจจริงอยากนั่งหน้ามากกว่าเพราะคุณคนขับรถคนใหม่ที่ไม่เคยเจอหน้าน่าคบกว่าคนข้างๆ ที่เอาแต่นั่งทำหน้าทะมึนเหมือนเมฆฝนตั้งเค้าเตรียมเทถล่มเสียอีก ความอึดอัดทำคนตัวเล็กนั่งเกร็งและเอาแต่มองออกนอกกระจกรถ เฝ้าภาวนาในใจขออย่าให้เขานึกอยากพูดอะไรด้วยเลยเพราะคงจะมีแต่เรื่องไม่ดีแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD