"นึกอยากจะรับข้อเสนอของฉันหรือยัง" คำภาวนาไม่เป็นผลเมื่อออกรถได้ไม่นานใครคนนั้นก็ยิงคำถามเข้าใส่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าพอหันไปมองกลับเจอแต่สายตาเหยียดหยาม วางท่าเหมือนอยู่เหนือกว่าเธอหลายสิบชั้น อยากจะจิ้มตาบอดนัก..
"ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะคะ.. ดูแล้วคุณก็ไม่น่าจะเป็นคนเข้าใจอะไรยาก" รินลดาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ตอบกลับไปเสียงเรียบกว่า ไม่วายแอบเหน็บคนฟังอยู่ในทีจนศรัณที่กำลังทำหน้าที่สารถีขับรถให้ทั้งคู่หลุดยิ้มขำอย่างอดไม่ได้ จะมีก็แต่คนถูกเหน็บที่ไม่รู้สึกขำ เขาคว้ามือไปจับต้นแขนเล็กไว้ก่อนบีบแน่นราวกับต้องการจะบดกระดูกชิ้นเล็กๆ ตรงนั้นให้แหลกคามือ
"อ๊ะ! ? " ความเจ็บทำร่างบางตื่นตระหนก หันกลับไปเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ที่โถมตัวเข้ามาหาด้วยท่าทางคุกคาม เจ็บ.. แต่พยายามจะไม่แสดงออกให้เขาได้ใจ
"รีบๆ ไสหัวออกไปซะ! ฉันไม่มีเวลามาเล่นสงครามประสาทกับเธอหรอกนะ แล้วก็อย่าคิดว่าจะจับฉันได้ง่ายๆ ฉันไม่หลงกลมารยาตื้นๆ ของเธอแน่! " น้ำเสียงกดต่ำตะคอกใส่คนตัวเล็กกว่าอย่างเหลืออด ไม่เพียงคุกคามธรรมดา ร่างทั้งร่างเหมือนจะคร่อมกักตัวเธอไว้กับประตูรถจนมิด ไม่ยอมปล่อยมือจากต้นแขนเล็กซ้ำยังเพิ่มแรงบีบมากขึ้นเรื่อยๆ
"......" รินลดาน้ำตาคลอด้วยความเจ็บ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมปริปากโต้ตอบหรืออ้อนวอนใดๆ เธอทำเพียงนิ่งเงียบ.. จ้องมองดวงตาดุดันของวรธันย์กลับอย่างไม่คิดหลบ
"ทำไม! ฉันพูดแทงใจเข้าหน่อย ถึงกับพูดไม่ออกเลยล่ะสิ! " ร่างสูงเหยียดยิ้มเยาะอย่างได้ใจเมื่อเห็นอีกคนนิ่งเงียบ ดวงตาที่มองสบกันบอกไม่ถูกว่าร่างบางรู้สึกยังไง อาจจะโกรธหรือเกลียดเขา.. ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งมองก็ยิ่งไม่ชอบใจ
"...เปล่าค่ะ ฉันแค่ไม่เห็นประโยชน์จากการพูดคุยกับคนที่เอาแต่ปิดหูปิดตาและถือทิฐิอย่างคุณก็เท่านั้น" รินลดาทำเพียงข่มอารมณ์ กดไว้ให้ลึกสุดใจเพราะต่อให้เลวร้ายยังไงอีกฝ่ายก็คือลูกชายของผู้มีพระคุณ และพวกเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เธอแต่งงานกับเขา เพราะฉะนั้นเธอจะอ่อนแอไม่ได้ ในเมื่อไม่ยอมคุยกันดีๆ ก็คงยากที่จะทำดีด้วย!
"ปากดีนักนะ! " คนถูกย้อนคำรามเสียงกร้าวอย่างโมโหร้าย ฝ่ามือที่ใหญ่และแข็งราวคีมเหล็กเปลี่ยนมาบีบคางเล็กไว้แทน สายตาที่มองสบมุ่งร้ายอย่างชัดเจนจนศรัณที่ลอบมองเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นทนไม่ไหว ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยก่อนที่คนตัวเล็กจะบุบสบายไปเสียก่อน
"คุณธันย์ครับ"
"ไม่แส่สักเรื่องจะได้มั้ยวะ! " ด้วยความโมโหบวกถูกขัดจังหวะวรธันย์เลยหันไปตวาดใส่ศรัณด้วยอีกคนจนอีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่มองสบตาร่างบางผ่านกระจกมองหลังด้วยสายตาห่วงใย
รินลดาซาบซึ้งใจและก็เข้าใจว่าเขาพยายามช่วย เธอนึกขอบคุณ แต่นาทีนี้ไม่ว่าใครก็ทำอะไรผีห่าซาตานที่กำลังเข้าสิงวรธันย์ไม่ได้ ซึ่งเธอก็ไม่คิดจะอ้อนวอนอะไร ปล่อยให้เขาระบายอารมณ์จนกว่าจะพอใจ.. จนกลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ทนเล่นสงครามประสาทผ่านสายตาที่มองสบกันตลอดเวลาไม่ไหว ผลักเธอกระแทกใส่ประตูรถอย่างแรง ก่อนกลับไปนั่งหลังตรง ไม่วายสบถคำหยาบออกมาอย่างหัวเสีย
ร่างบางไม่สนใจว่าอีกคนจะเป็นยังไง เธอยกมือกุมแก้มที่ปวดร้าวไม่ต่างจากแผ่นหลังที่ถูกกระแทกใส่ประตูรถ ลมหายใจหอบเหนื่อยติดขัดเหมือนคนจะขาดใจ ทั้งตกใจและหวาดหวั่นมากจนตัวสั่น ไรผมเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่แอร์ในรถเย็นฉ่ำจนกลัวจะเป็นไข้
ยอมรับเลยว่าเธอกลัวเขามาก...แต่พยายามเข้มแข็งเพื่อปกป้องตัวเองไปอย่างนั้น แม้แต่ศรัณที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตลอดยังนับถือในความเข้มแข็งของเธอ โชคดีที่วรธันย์ไม่พูดอะไรอีกนอกจากนั่งทำหน้าทะมึนไปตลอดทางจนถึงมหาวิทยาลัย
ร่างบางรีบเปิดประตูเตรียมจะลง แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าได้ปริ้นท์ตารางเรียนมาให้เขาเอาไว้ดูว่าเธอมีเรียนวันไหนเวลาไหนบ้างเพื่อที่เขาจะได้มารับถูก ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้าเธอก็คงจะยื่นให้เขาดีๆ แต่ก็นั่นแหละ.. ตอนนี้ไม่สะดวกที่จะทำแบบนั้นแล้ว จึงเอาวางไว้บนเบาะที่เคยนั่งก่อนเปิดประตูลงไปอย่างรวดเร็ว
เช้านี้ข่าวลือแปลกๆ ของรินลดายังคงเป็นประเด็นเผ็ดร้อนไม่จางหาย รู้ได้จากสายตาและการจับกลุ่มซุบซิบนินทายามเธอเดินผ่าน แต่นาทีนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจอะไรนอกจากความเจ็บร้าวบนใบหน้าครึ่งล่างที่ยังคงไม่จางหาย.. สองเท้าเล็กเดินหลบหน้าผู้คนเข้าไปหยุดยืนตรงหน้ากระจกบานใหญ่ในห้องน้ำ ไม่ต้องเพ่งสายตาเกินความจำเป็นก็มองเห็นว่าผิวแก้มบริเวณที่ถูกบีบขึ้นสีแดงจัดทั้งสองข้าง เจ็บหนึบราวกับถูกคีมเหล็กไม่ใช่มือคนบีบ ยิ่งเธอมีผิวสีขาวจัดก็ยิ่งเห็นเป็นรอยแดงชัด ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีเลยรีบสาวเท้ายาวๆ เดินก้มหน้าก้มตาไปเซเว่นหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อซื้อหน้ากากอนามัยมาปกปิด แต่ยังไปไม่ถึงไหนก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งเสียก่อน..
พลั่ก!
"ขะ..ขอโทษค่ะ/ขอโทษครับ" คนรูปร่างผอมบางกว่าถูกชนจนล้ม เป็นเหตุให้อีกฝ่ายต้องรีบรุดเข้ามาช่วยพยุงลุกขึ้น
"เจ็บมั้ย อ่าว.. หญิง ขอโทษทีนะ เราไม่ทันระวัง เจ็บมากมั้ย เอ๊ะ.. นั่นแก้มไปโดนอะไรมาอ่ะ" พอได้มองหน้ากันดีๆ ถึงรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือ 'ภีม' เพื่อนต่างสาขาอดีตเพื่อนร่วมสถาบันสมัยเรียนมัธยมปลาย อีกฝ่ายถามไถ่ด้วยความตกใจ และยิ่งช็อกหนักไปอีกเมื่อเห็นรอยแดงยาวบนแก้มใสทั้งสองข้าง จนเผลอเอื้อมมือไปลูบไล้อย่างแผ่วเบา
"เอ่อ.. เรา เรา..แพ้ครีมอ่ะ เลยแดงๆ " รินลดาอ้างออกไปพร้อมกับเบี่ยงใบหน้าหลบสัมผัสนั้นอย่างเนียนๆ
"หืม..หรอ? แล้วกำลังจะไปไหน ทำไมรีบร้อนขนาดนั้น" ภีมรู้สึกติดใจคำบอกนั้นเพียงนิดแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไร เพียงถามเข้าเรื่องอื่นแทน
"ไปเซเว่นน่ะ ไปก่อนนะ" ร่างบางรับรู้ถึงความเคลือบแคลงใจของอีกฝ่าย อีกทั้งไม่แน่ใจว่าตนจะโกหกใครได้อย่างแนบเนียนเลยพยายามพาตัวเองออกห่าง แต่กลับหนีไม่ได้ดั่งใจเมื่อมือใหญ่คว้าจับเข้าที่ข้อมือเสียก่อน
"เราไปด้วยดีกว่า เดี๋ยวเธอไปชนใครเข้าอีก" ไม่มีโอกาสได้ค้านก็ถูกจูงมือพาเดินไปอย่างงงๆ
"เอ่อ ภีม ปล่อยมือเราก่อนเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะมองไม่ดี" ด้วยความไม่ชิน อีกทั้งมีชนักติดหลังเรื่องข่าวลือเสียหาย แม้ไม่ใช่เรื่องจริงแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อร่วมคณะฯ ถูกมองไม่ดีไปด้วย มือบางจึงพยายามขืนออกจากการจับกุม
"อ้อ โทษที" ภีมยอมปล่อยโดยง่าย เพราะลืมตัวเลยไปล่วงเกินคนร่างบางทั้งที่ไม่สมควรเข้า
"ช่วงนี้เรา.. ได้ยินข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับเธอ.. เธอโอเคนะ? " แน่นอนว่าอยู่คณะฯ เดียวกันภีมเองก็รับรู้ถึงเรื่องข่าวลือนั้นเลยอดแสดงความห่วงใยออกมาไม่ได้ เชื่อเลยว่าคนอย่างรินลดาจะไม่ลุกขึ้นมาแก้ข่าวปกป้องตัวเองแน่ เธอคงจะปล่อยผ่านให้มันเจือจางไปตามกาลเวลา แต่กว่าเรื่องจะเงียบ.. เธอจะผ่านมันไปได้ยังไงด้วยตัวคนเดียว
"อื้อ เราไม่คิดอะไรหรอก มันก็แค่ข่าวลือ" เสียงหวานเอ่ยอย่างปลงตก ทำคนฟังแอบดีใจไม่น้อยที่ได้รู้ว่าข่าวลือพวกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง..
ภีมไม่กล้าชวนคุยอะไรมากเมื่อเห็นคนข้างกายตั้งหน้าตั้งตาเดินโดยไม่สนใจใคร พอดีกับเมื่อไปถึงเซเว่นเขาก็ดันบังเอิญไปเจอเพื่อนสนิทในระยะไกลๆ เข้า เลยจำต้องบอกลาร่างบางอย่างไม่มีทางเลือก เพราะขืนแสดงตัวว่าอยู่กับสาวสวยพวกมันต้องแซวไม่เลิกแน่ ตัวเขานั้นไม่ได้อายหรือถือสาพวกมัน แค่ไม่อยากให้รินลดาต้องรู้สึกไม่ดีไปกับคำพูดสนุกปากของคนอื่นอย่างเช่นข่าวลือที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เท่านั้น
หลังจากได้หน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพิ่มความมั่นใจแล้ว รินลดาก็กลับเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเข้าเรียนตามปกติ...จะมีก็แต่บรรยากาศของผู้คนรอบข้างนี่แหละที่ไม่ปกติ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการมาเรียนมันจะยากเย็นขนาดนี้ ยิ่งเรื่องซุบซิบสมัยนี้ไปไวกว่าตอนที่ยังไม่มีสื่อโซเชียลมิเดียมาก แม้จะไม่ใช่คนดังแต่ข่าวลือก็ทำให้คนๆ นั้นดังได้ภายในชั่วพริบตาเดียว และส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ใช่ข่าวดีเสียด้วย ช่างน่ากลัวจริงๆ ...
ผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งวันเต็มที่ร่างบางต้องทนนั่งเรียนท่ามกลางความกดดันจากผู้คนรอบข้าง แต่จู่ๆ เรื่องราวก็ตาลปัตรเมื่อสามสาว ฟิล์ม บี และต้นอ้อ พุ่งเข้าหาเธออีกครั้ง ภายในมือถือโทรศัพท์ซึ่งปรากฏรูปภาพที่แนบมากับเนื้อหาข่าวกอสซิบของเหล่าไฮโซ ไม่พอยังพยายามแย่งกันยิงคำถามใส่เธอพร้อมกันอย่างเซ็งแซ่.. จากนั้นไม่นานโทรศัพท์เครื่องหรูก็ถูกส่งต่อมาให้เพื่อที่ร่างบางจะได้เห็นเนื้อหาของข่าวและรูปนั้นอย่างชัดๆ
"ไม่น่าเชื่อ! นี่แกเป็นคู่หมั้นของคุณธันย์จริงๆ หรอ เป็นไปได้ยังไงอ่ะ แกกับเขานี่คนละชั้นกันเลยนะ! "
ไม่ทันได้หายงงกับสิ่งที่เห็นฟิล์มก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงดูแคลน.. รูปที่ว่าถูกถ่ายด้วยใครรินลดาก็ไม่อาจทราบได้ แต่คนๆ นั้นช่างอุกอาจเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ไกลจากประตูบ้านอินทรเกษมกุล จังหวะหวานแหวชวนจั๊กจี้หัวใจที่เคยเห็นในละครทีวีบ่อยๆ เธอชนคนอื่นและลอยละลิ่วไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายที่กำลังเป็นที่จับตาต้องใจของผู้หญิงค่อนประเทศ.. ทุกคนที่เห็นข่าวต่างรู้จักเขา แต่เธอคือหญิงสาวปริศนาที่แสนจะโชคดี (ในความคิดของคนอื่น)
ไม่เพียงแค่รูปนั้นที่เป็นที่สงสัยสำหรับร่างบางจากมุมที่ถูกแอบถ่าย ยังมีอีกหลายๆ ภาพที่ถูกตามถ่ายจากตอนที่ร่างสูงมาส่งเธอเข้าเรียนเมื่อตอนเช้า แม้เขาจะไม่ได้ลงจากรถมาให้คนถ่ายจับภาพได้โดยตรง แต่ยี่ห้อรถยนต์และป้ายทะเบียนก็ชี้มาที่เขาอย่างดิ้นไม่หลุด เนื้อหาข่าวก็น่าฉงนไม่แพ้กัน.. คนเขียนข่าวทำเหมือนรู้จักเธอและเขาอย่างลึกซึ้ง รู้กระทั่งว่าเราเป็นคู่หมั้นกัน ทั้งที่เรื่องนี้รู้กันแค่ภายในครอบครัวของเธอและเขา ยังไม่มีการป่าวประกาศหรือทำการจัดงานจริงจังออกสื่อใดๆ ทั้งสิ้น
แล้ว.. คนอื่นรู้ได้ยังไงกัน?
น่าแปลกมาก..
"พวกฉันก็คิดว่าแกมีเสี่ยเลี้ยง ชีวิตถึงได้ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ที่แท้ก็ได้ผัวดีนี่เอง ตกลงเรื่องจริงใช่มั้ยวะ ฉันไม่อยากจะเชื่ออ่ะ! "
"จริง! ถ้าฉันไม่เห็นรูปที่แกกับเขากอดกันกลมแบบนี้ ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด! "
น้ำเสียงเล็กแหลมจากสามสาวที่ยังไม่หยุดแย่งกันพูดเรียกสติของรินลดากลับมาอีกครั้ง พวกหล่อนต่างหวีดร้องแสดงความอิจฉาที่มีต่อเธอ แต่หาได้รู้ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับชายหนุ่มผู้เป็นที่หมายปองคนนั้น มันไม่ได้หวานชื่นอย่างที่เห็นในข่าวเลยสักนิด..
คนตัวเล็กเพียงยิ้มบางและพยักหน้ารับอย่างปลงๆ เมื่อถูกถามว่าข่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เธอไม่คิดจะปิดบังอะไรในเมื่อเนื้อหาในข่าวมันเป็นความจริงแทบทุกประการ และในอีกไม่กี่เดือนหลังเรียนจบข่าวเรื่องการแต่งงานของเธอกับเขาก็คงจะมีให้ทุกคนเห็นอย่างไม่ต้องสงสัย..
เมื่อมีข่าวใหม่ ข่าวเก่าก่อนหน้าก็ถูกปัดตกไปอย่างง่ายดาย กลายเป็นว่าเรื่องที่รินลดาตกถังข่าวสารได้หมั้นหมายกับทายาทนักธุรกิจหมื่นล้านทำให้เธอกลายเป็นคนดังและเป็นที่อิจฉาคนอื่นมากกว่าเดิมเสียอีก!
แน่นอนว่าข่าวดังเช่นนี้ย่อมเป็นที่น่าสนใจและลุกลามไวยิ่งกว่าไฟไหม้ป่า ในเวลาเดียวกันอีกฝากหนึ่งของเมืองหลวง หญิงสาวร่างเพรียวเจ้าของใบหน้าสวยเฉี่ยวสุดเย้ายวนใจชายกำลังนั่งอ่านข่าวเดียวกันนั้นด้วยความตื่นตระหนกระคนโกรธเคือง มือเรียวบีบโทรศัพท์เครื่องหรูในมือแน่นราวกับต้องการจะให้มันแหละคามือ ทั้งรูปและข้อมูลในข่าวไม่อาจทำให้เกวลินอยู่เฉยได้ เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ในร้านอาหารชื่อดังที่มานั่งทานกับเพื่อนชายคนสนิท.. และเดินออกจากร้านไปอย่างรีบร้อน ไม่แม้แต่จะสนใจเสียงเรียกของเพื่อนร่วมโต๊ะเพราะโกรธจัดจนไม่ได้ยินอะไร ใบหน้าสวยบิดเบี้ยว.. ภายในใจร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมอก คิดแต่ว่าจะต้องไปให้ถึงที่หมายโดยไว ก่อนที่เธอจะอกแตกตายเสียก่อน!