บทที่ 01
ผมเป็นเจ้าของบริษัท [3]
อ่านเพลิน บุ๊กช้อป
ตื้อดือ~
สัญญาณที่หน้าประตูดังขึ้นเมื่อยาหยีก้าวผ่านเซนเซอร์ด้านหน้าเข้ามา กวาดสายตามองหา ‘ปั้นแป้ง’ พี่สาวคนสนิทที่โดยปกติแล้วจะนั่งอยู่แถวๆ เคาน์เตอร์ด้านหน้าแต่ไม่รู้ว่าวันนี้หายไปไหน
“อ้าว ลมอะไรหอบมาถึงนี่ล่ะหยี”
ที่แท้เธอก็มุดอยู่ใต้เคาน์เตอร์นี่เอง
ตุ้บ!
ยาหยีทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้รับรองด้านใน ยกมือไหว้พลางถอนหายใจเซ็งๆ
“สวัสดีค่ะพี่แป้ง”
“หน้าตามีปัญหา เป็นอะไรล่ะเรา แล้วนี่มายังไง”
“เดินมาจากที่ทำงานยัยขวัญค่ะ” เพราะบริษัทที่พาขวัญทำงานอยู่กับร้านหนังสือของปั้นแป้งไม่ได้ไกลกันนัก ยาหยีจึงเลือกจะเดินมาตั้งหลักที่นี่
“มาสมัครงานเหรอ”
“ค่ะ มีนัดสอบสัมภาษณ์แต่ฤกษ์ไม่ดี คิดว่าคงไม่ได้แน่ๆ” บ่นพลางถอนหายใจทิ้งซ้ำๆ แต่ความหนักอกกลับไม่ได้ลดทอนลงเลยสักนิด
“เอาน่า ไม่ได้บริษัทนี้ก็หาบริษัทใหม่ คนเก่งอย่างหยี เรื่องแค่นี้สบายอยู่แล้ว” ปั้นแป้งพยายามให้กำลังใจ ไม่คิดจะถามรายละเอียดเพราะกลัวว่าจะยิ่งเป็นการซ้ำเติม
ปั้นแป้งกับยาหยีรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน นอกจากนั้นแล้วปั้นแป้งยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพาขวัญอีกด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ทั้งสามคนยังติดต่อกันมาตลอดแม้จะเรียนจบจนแยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคนแล้วก็ตาม
“เรื่องนั้นหยีก็เข้าใจค่ะ แต่ลุงเจ้าของอะพาร์ตเมนต์คงไม่เข้าใจ”
คิดแล้วยาหยีก็เริ่มเครียด เงินเก็บและเงินที่ได้จากการถูกเลิกจ้างของเธอใกล้จะหมดแล้ว เหลือเพียงแค่พอจ่ายค่าเช่าห้องเดือนนี้เดือนสุดท้าย นั่นหมายความว่าเธอจะต้องรีบหางานให้ทันรับเงินเดือนตอนสิ้นเดือนหน้าเพื่อที่จะมีไว้จ่ายเป็นค่าเช่าต่อไป
“นี่ถ้าพี่รวยนะ พี่จะโอนให้เดี๋ยวนี้เลย”
“แหม พี่แป้งก็พูดไปค่ะ เอาจริงนะคะบอกเลย” ยาหยีแกล้งว่าก่อนจะยิ้มกว้าง แต่ยิ้มได้เพียงครู่หนึ่ง เรื่องราวที่เธอพยายามกลบซ่อนมันเอาไว้ก็เหมือนจะโผล่ขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าหยี หน้าตาเราดูไม่ดี คงไม่ใช่แค่ผิดหวังเรื่องงานหรอกใช่ไหม”
“พี่แป้งเป็นหมอดูเหรอคะ ทำไมแม่นจัง”
“เราไม่ได้รู้จักกันเมื่ออาทิตย์ก่อนสักหน่อยนี่ สรุปว่ามีอะไร เล่ามาสิ เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น” ปั้นแป้งเอ่ยถามพลางหยิบหนังสือออกจากกล่อง ดูเหมือนจะเป็นหนังสือล็อตใหม่ที่เพิ่งจะถูกส่งมาที่ร้าน
“หยีช่วยค่ะ”
“กำลังจะใช้พอดี” แกล้งว่าก่อนจะยื่นคัตเตอร์ให้ยาหยีทันที ช่วยกันทำงานไป คุยกันไปคือสิ่งที่ยาหยีทำทุกครั้งที่มีโอกาสได้แวะมาที่นี่ และอาจรวมพาขวัญด้วยอีกคนหากเธอมาด้วยกัน
“หยีจับได้ว่ากอล์ฟนอกใจค่ะ”
“อ้อ เรื่องนี้นี่เอง”
“ทำไมพี่แป้งดูไม่ตกใจเลยคะ” ยาหยีอดไม่ได้ที่จะหันไปถาม พร้อมกับหยิบหนังสือออกมาเช็กความเรียบร้อยไปพลางๆ “หรือพี่แป้งเคยเจอแต่ไม่บอกหยี”
“ถ้าพี่เจอมีเหรอจะไม่บอก แต่แค่เซนส์มันบอกน่ะ ผู้ชายดีๆ ที่ไหนเขาจะมาขอยืมเงินผู้หญิงไปกินเหล้า”
หมดคำจะแก้ตัว ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นเธอถึงได้หน้ามืดตามัวให้เขาหยิบยืมไปเหมือนกัน
“จริงๆ แล้วเรื่องผู้ชายติดเพื่อนพี่ก็พอเข้าใจนะ แต่ถ้าถึงขนาดในวันที่เราไม่สบายหรือต้องการความช่วยเหลือแล้วเขายังอยู่กับเพื่อน พี่ว่ามันก็ไม่ใช่”
เหมือนกับที่วันนี้เธอโทรบอกให้เขาขับรถมาส่งเธอเพื่อสอบสัมภาษณ์งาน แต่เขากลับบอกว่าไม่ว่าง ทั้งที่ความจริงเขาไม่ว่างสำหรับเธอ แต่ว่างสำหรับคนอื่น
“รู้สึกเหมือนแม่ยังอยู่เลยค่ะ” ยาหยีทำทีเป็นพูดติดตลกเพราะเธอไม่ชอบให้ใครมองเธอด้วยสายตาสงสาร
จริงๆ แล้วแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน แต่คิดว่าหากแม่ของเธอยังอยู่ แม่ของเธอก็คงจะพูดแบบเดียวกันกับที่ปั้นแป้งกำลังพูดแน่ๆ
“ขอโทษถ้าหากว่าพี่พูดแล้วทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจ”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะพี่แป้ง ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าหยีเองไม่รู้สึก แต่แค่ปิดหูปิดตามากกว่า”
“เพราะแบบนั้นพี่ถึงไม่พูดอะไรไงล่ะ อีกอย่างพี่ว่าจริงๆ หยีกับเขาก็ดูไม่เหมือนแฟนกันเท่าไร”
“ไม่เหมือนยังไงเหรอคะ”
“ก็ต่างคนต่างใช้ชีวิต ดูอย่างตอนนี้สิ หยีดูเสียใจก็จริงแต่ไม่ได้ฟูมฟายแบบคนอกหักสักนิด” ปั้นแป้งอธิบายยิ้มๆ แต่กลับทำให้ยาหยีเริ่มทบทวนตัวเอง
“จริงค่ะ หยีรู้สึกเสียใจ แต่ที่ผ่านมาหยีเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาเท่าไร และเขาเองก็ไม่เคยทำให้หยีรู้สึกว่าการมีเขามันสำคัญกับหยีจนหยีขาดเขาไม่ได้” ยาหยีอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง วางหนังสือในมือลงแล้วทุบหน้าอกของตัวเองเบาๆ รู้สึกได้ว่าหัวใจยังคงเต้นอยู่ แต่ทั้งที่เพิ่งอกหัก เธอกลับไม่ได้เจ็บปวดจะเป็นจะตายแบบที่ปั้นแป้งพูดจริงๆ
“หยีรู้มั้ยว่าหยีเป็นคนเก่งมากนะ ฉะนั้นพี่ว่าผู้ชายที่เหมาะกับหยีหรือทำให้หยีรู้สึกว่าขาดเขาไม่ได้ คงหายากน่าดู”
“หมายความว่าหยีจะต้องขึ้นคานใช่มั้ยคะ”
“เปล่า แต่แค่รู้สึกว่าถ้าเราจะมีแฟนทั้งที ก็ควรเลือกที่มีแล้วดีกับชีวิตไปเลยต่างหาก ไม่งั้นก็สู้อยู่ตัวคนเดียว ดูแลตัวเองแค่คนเดียวสบายๆ ไม่ดีกว่าหรือไง”
“ทำไมพี่แป้งมาจบที่เรื่องของตัวเองได้ล่ะคะ”
“ยัยเด็กคนนี้นี่!”
“โอ๊ย ล้อเล่นค่า ฮ่าๆๆ มาค่ะหยีช่วย”
“แป้ง”
ระหว่างที่ยาหยีกับปั้นแป้งกำลังคุยกัน จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาส่งยิ้มหวานทักทายปั้นแป้ง ความหล่อของเขาสะกดสายตาของยาหยีได้ทันที
“ว่างมากเหรอไอ้ตาร์ ไม่มีงานมีการทำหรือไง”
“มี ถึงได้โผล่มานี่ไงล่ะ ว่างปะ มีเรื่องให้ช่วย”
“ฉัน...”
“ไปเลยค่ะ ทางนี้เดี๋ยวหยีจัดการเอง” ยาหยีรีบบอก
แม้เธอจะไม่ค่อยรักการอ่าน แต่ก็มีโอกาสแวะเวียนมาช่วยปั้นแป้งที่ร้านอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงพอรู้ว่าอะไรที่พอจะทำได้ ที่น่าแปลกก็คือทำไมเธอถึงไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อนทั้งที่เขากับปั้นแป้งดูเหมือนจะสนิทกัน สงสัยจะต้องไปหลอกถามหน่วยข่าวกรองอย่างพาขวัญสักหน่อยแล้ว
ตื้ดดด
“แป๊บนะแป้ง”
“ฉันไปรอที่โต๊ะข้างหลังแล้วกัน” ปั้นแป้งแยกเขี้ยวใส่เพื่อนชายหนึ่งทีก่อนจะเดินออกไปรอพูดคุยกับเขาที่โต๊ะซึ่งอยู่อีกโซนหนึ่งของร้าน
ยาหยีได้แต่แอบยิ้ม แม้จะก้มหน้าก้มตาทำทีเป็นจัดหนังสือแต่ก็แอบลอบมองปั้นแป้งอยู่ตลอดเพราะตั้งใจจะเก็บรายละเอียดเอาไว้แซว
“น่าจะอยู่ท้ายรถน่ะครับ แต่ตอนนี้ผมอยู่ร้านหนังสือแป้ง พี่แวะมาเอาได้หรือเปล่า ครับๆ”
ได้ยินแว่วๆ แต่ไม่ได้คิดจะสนใจอีกเหมือนกัน เห็นอีกทีเขาก็วางสายแล้วเดินไปคุยกับปั้นแป้งเสียแล้ว
“หล่อชะมัด” ยาหยีรำพึงรำพันกับตัวเอง ทว่าพอนึกถึงใบหน้าคนหล่อแล้วก็ดันมีหน้าของศรัณย์แวบเข้ามาทำให้เธอพาลหงุดหงิด รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆ
“แต่หล่อแล้วบ้าอำนาจก็ไม่เอาหรอก หยิ่งก็ปานนั้น คิดว่าคนอื่นเขาจะต้องกลัวตัวเองหมดหรือไง ชิ!”
ตื้ดดด
นึกถึงคนหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งโทรมา คนนี้ต่อให้จะหล่อไม่เท่าเจ้าของบริษัท แต่เพียงแค่เห็นชื่อก็ทำให้ระดับความหงุดหงิดของยาหยีพุ่งขึ้นจนแทบทะลุเพดาน
“ฮัลโหล”
[หยี คือว่าฉัน...]
“ฉันให้เวลานายถึงหกโมงเย็น ถ้านายไม่โอนเงินมาคืน พรุ่งนี้ฉันจะไปทวงกับพ่อนาย แล้วระหว่างเราก็ขอให้จบแค่นี้ก็แล้วกันนะกอล์ฟ ที่ผ่านมาฉันจะถือว่ามันเป็นเวรกรรม” ยาหยีเลือกที่จะตัดสัมพันธ์และตัดสายทิ้งทันที
เอาเข้าจริงสิ่งที่ปั้นแป้งพูดมาก็ถูกทั้งหมด ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับกรวิทย์มันไม่ใช่การคบกันแบบที่คุยหรือแชร์ความรู้สึกทุกอย่างกันมาตั้งแต่แรก จะว่าไปแล้วเธอไม่เคยมองเห็นอนาคตร่วมกันกับเขาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายหรือถึงขั้นเจ็บปวดทุรนทุราย มันเป็นความรู้สึกเจ็บใจที่ถูกหักหลังเสียมากกว่า และบางทีอีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะที่ผ่านมาเธอเองก็คงไม่ใช่แฟนที่ดีนักสำหรับเขา
ตื้อดือ~
“อ่านเพลินยินดีต้อนรับค่ะ เฮ่ย!” สองตาของยาหยีเบิกโพลง รอยยิ้มอย่างยินดีต้อนรับหายไปในฉับพลันเมื่อคนที่เดินเข้ามาคือผู้ชายหน้าตาดีที่บ้าอำนาจอย่างศรัณย์
ศรัณย์เองก็ถึงกับอึ้งไป กวาดสายตามองไปด้านในแล้วจึงเห็นคนที่กำลังตามหา รีบยกมือเรียกเพราะอีกฝ่ายก็หันมาเห็นเขาพอดี
“พี่รอแป๊บหนึ่งก็แล้วกัน เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้”
พอจะจับใจความได้ว่าพวกเขาน่าจะเป็นพี่น้องกัน และเท่าที่แอบสังเกต ใบหน้าของพวกเขาก็พอมีส่วนที่คล้ายกันอยู่บ้าง
“หยี หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง พี่จะสั่งก๋วยเตี๋ยว กินด้วยมั้ยจะสั่งเผื่อ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ หยีนึกได้ว่ามีธุระ กลับก่อนนะคะพี่แป้ง เอาไว้จะมากวนใหม่” ยาหยีบอกเร็วๆ พลางคว้ากระเป๋าที่วางทิ้งไว้ด้านหลังขึ้นมาเตรียมตัวกลับ
“อ้าว จะรีบกลับไปไหนล่ะ พี่เพิ่งคุยกับไอ้ตาร์เมื่อกี้ว่าจะฝากเราไปทำงานด้วยน่ะ”
“เหอะ”
เสียงแค่นหัวเราะของคนที่ยืนอยู่แล้วบังเอิญได้ยินทำให้ยาหยีหันไปมองทันที แต่ไม่นานเธอก็ต้องละสายตาออกจากใบหน้าของเขาเพราะไม่ได้อยากจะสนใจ อีกอย่างหากศรัณย์กับเพื่อนของปั้นแป้งเป็นพี่น้องกันแล้วล่ะก็ เธอก็เดาได้ทันทีว่าบริษัทที่ปั้นแป้งกำลังจะฝากเธอเข้าทำงานจะต้องเป็นบริษัทเดียวกันกับที่เธอเพิ่งจะด่าเจ้าของบริษัทมาเมื่อครู่แน่ๆ
“ไม่รบกวนพี่แป้งกับเพื่อนดีกว่าค่ะ หยีไปก่อนนะคะ”
“นี่เหรอน้องคนที่แป้งบอก”
“ใช่ๆ ชื่อยาหยีน่ะ ตัวท็อปของคณะสมัยเรียนเลยนะ ยาหยี นี่ชีตาร์ เพื่อนพี่เอง” ปั้นแป้งรีบแนะนำ
“สวัสดีค่ะ ยาหยีค่ะ แต่...”
“จริงๆ หน่วยก้านดีนะ แล้วนี่ไปเล่นเลอะที่ไหนมา”
คำถามที่มาพร้อมกับสายตาและรอยยิ้มสุภาพทำให้ยาหยีรู้สึกเขินขึ้นมานิดๆ แม้ต้นเหตุของเรื่องมันจะน่าหงุดหงิด แต่น้ำเสียงที่เขาถามออกมาก็ดูไม่ได้ส่อไปในทางจะตำหนิหรือดูถูกเธอแบบที่อีกฝ่ายทำ
“พอดีเมื่อเช้าเจอหมาจะโดนรถชนค่ะ ก็เลยไปช่วยมันไว้ ตัวเองก็เลยซวยชนกับคนถือกาแฟ มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
“แค่กๆๆ” ศรัณย์ที่ยืนอยู่ด้วยถึงกับสำลัก
“ขอบคุณนะคะพี่แป้ง ขอบคุณพี่ชีตาร์ด้วยค่ะ แต่หยีเกรงใจ ไปก่อนแล้วกันนะคะ สวัสดีค่ะ” ยาหยีพูดเร็วปร๋อเพื่อตัดบทพร้อมกับยกมือไหว้ปั้นแป้งกับเพื่อน ทิ้งท้ายด้วยการมองและเมินใส่ศรัณย์ก่อนจะเดินออกไปจากร้านทันที
“อะไรของมัน อกหักจนเพี้ยนหรือไง แล้วไหนคร่ำครวญว่าไม่มีเงินจ่ายค่าห้อง” ปั้นแป้งรำพึงพันเบาๆ
“น่ารักดีนะ”
“จีบปะล่ะ เดี๋ยวติดต่อให้”
“เฮ้อ ไม่พูดดีกว่า อ้าว พี่พูม่ายังจะเอาอะไรที่ท้ายรถผมอีกมั้ยครับ”
“เปล่าๆ เอาแค่ชุดนี้แหละ” ศรัณย์บอกเสียงเข้มพลางยกเอกสารที่น้องชายเพิ่งจะหยิบจากท้ายรถมาให้ขึ้นนิดหน่อย ยิ้มให้ปั้นแป้งเพราะเขากับเธอเองก็รู้จักกันมานานก่อนจะเดินกลับออกมาเงียบๆ แต่เมื่อขึ้นรถมาได้ เขาก็ต้องถอนหายใจเมื่อเหลือบไปเห็นถุงกระดาษใส่รองเท้าของยาหยี
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายังจะเก็บมันมาทำไมทั้งที่เจ้าตัวคงไม่ต้องการมันแล้ว แถมยังกล้าด่าว่าเขาเป็นหมาอีกต่างหาก คิดว่าเขาไม่รู้หรือไงว่าเธอตั้งใจจะด่าเขาน่ะ!
“ยัยเด็กปากดี มันน่าจะเอารองเท้าตีปากเสียจริง”