บทที่ 02
คุณภาพชีวิต [1]
“เออๆ ขอบใจมากนะแก”
[เอาไว้...]
“พอๆ ฉันรู้ว่าแกพยายามเต็มที่แล้ว แต่มันผิดที่ฉันเองนั่นแหละที่ทำได้ไม่ดี แกไม่ต้องโทษตัวเองหรอก แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ ฉันสู้กับหมาในซอยก่อน บาย” ยาหยีตัดบทพลางรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเพราะเมื่อครู่หางตาเธอเหลือบไปเห็นเจ้าถิ่นเข้าพอดี เฮ้อ ทำไมมันจะต้องมีหมาเจ้าถิ่นคอยขู่ให้ตกใจแบบนี้ทุกซอยเลยก็ไม่รู้
“โฮ่ง!”
“ไปเลยนะไอ้หมานิสัยไม่ดี”
“โฮ่งๆ!”
“แน่จริงเข้ามาดิ” ยาหยีท้าทายพลางทำทีเป็นจะเดินเข้าไปสู้กับหมาจรจัดอย่างทุกที นึกแปลกใจว่าเธอก็เดินเข้าเดินออกซอยนี้อยู่บ่อยๆ แต่ทำไมมันถึงไม่คุ้นหน้าเธอสักที เจอกี่รอบ มันก็เห่าทุกรอบเหมือนเป็นเจ้ากรรมนายเวร แต่พอเธอทำท่าจะสู้มันก็เผ่นแน่บเหมือนแค่วิ่งมาเห่าให้ตกใจเล่น
“ไอ้หมาประสาทเสีย” บ่นอุบพลางถอนหายใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ
จุดหมายปลายทางของเธอคือบ้านหลังเล็กๆ ท้ายซอยที่พ่อของเธออาศัยอยู่กับพี่ชาย พอเดินมาถึงบ้านเธอก็ผลักประตูรั้วเข้าไปอย่างคุ้นเคยเพราะมันไม่ได้ล็อก โดยปกติแล้วเธอจะแวะมาเยี่ยมพ่อกับพี่ชายอาทิตย์ละครั้งสองครั้งตามแต่โอกาส
ความจริงแล้วอะพาร์ตเมนต์ที่เธอพักอยู่กับบ้านหลังนี้ก็อยู่ไม่ไกลกันมากนัก แต่เหตุผลที่เธอต้องย้ายออกไปอยู่ข้างนอกก็เพื่อความสบายใจของพี่ชาย ซึ่งหากมองให้ลึกลงไปแล้วก็คือเพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง
“เมาแต่หัววันเลยนะพ่อ”
เอ่ยถามพลางถอนหายใจอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย วางกระเป๋าสะพายลงได้ก็ยกมือขึ้นกอดอกมองพ่อขี้เมาของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเลยเข้าไปในครัวเพราะคงป่วยการที่จะบ่นหรือโน้มน้าวให้พ่อของเธอเลิกดื่มเหล้าสักที
ทุกครั้งที่ยาหยีแวะมาที่นี่ เหตุผลหลักๆ ก็เพื่อจะมาช่วยดูแลเรื่องความสะอาดของบ้าน เพราะพี่ชายของเธอเองก็ต้องทำงานข้างนอกด้วย บวกกับเป็นผู้ชายจึงไม่ค่อยสันทัดนัก
“อีหยี”
“อะไรพ่อ เมาก็ไปนอน”
“มึงมีผัวรึยัง”
ได้ยินคำถามแล้วยาหยีถึงกับกลอกตาไปมา ก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วได้แต่ภาวนาขอให้พี่ชายของเธอกลับมาถึงสักที
“ยัง”
“ถ้าจะมีทั้งทีก็หาที่มันรวยๆ นะ กูจะได้ไม่ลำบาก”
“หยีไม่ได้หาผัวมาเลี้ยงพ่อสักหน่อย ถ้าพ่อไม่อยากลำบาก ทำไมไม่รู้จักทำมาหากินเองล่ะ”
“เอ๊ะอีนี่ ปากดีเหมือนแม่มึงไม่มีผิด”
ยาหยีถอนหายใจทิ้งอีกรอบ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านในเพื่อหยิบจานข้าวของพ่อที่เธอเห็นว่าวางทิ้งไว้บนโต๊ะมาล้าง เดี๋ยวถ้าพี่ชายของเธอกลับมาก็จะได้กินข้าวด้วยกันเลยจากนั้นเธอก็จะกลับ
หมับ!
“ปล่อยพ่อ หยีจะเอาจานไปล้าง”
“มองไปมองมามึงนี่ก็สวยเหมือนเมียเก่ากูเหมือนกันนะ”
“พ่อ หยีบอกให้ปล่อยหยี!”
“ไหนขอดูใกล้ๆ หน่อยว่าเหมือนแค่ไหน”
“พ่อ!! ช่วย...อุ้ก”
หัวใจของยาหยีตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อถูกผู้ชายที่เป็นพ่อแท้ๆ ของเธอฉุดกระชากออกมาจากในครัว ทั้งยังชกเข้าที่ท้องของเธอสุดแรงเมื่อเธอพยายามดิ้น
ตุ้บ!
เธอถูกผลักจนล้มลงบนโซฟาตัวเก่า จากนั้นคนเมาที่เธอเรียกว่าพ่อก็ขึ้นคร่อมร่างของเธอเอาไว้ก่อนจะจ้องมองด้วยสายตาน่ารังเกียจ
“พ่อ หยีเป็นลูกพ่อนะ” เธอพยายามจะเตือนสติเขา น้ำตาไหลเป็นสายเพราะความกลัวสุดขั้วหัวใจ
“เพราะแบบนั้นมึงก็ต้องเชื่อฟังกู”
“พ่อปล่อยหยี!”
เพียะ!
ใบหน้าของเธอชาวาบเมื่อถูกสัตว์ร้ายตรงหน้าสะบัดฝ่ามือใส่ มันจ้องเธอด้วยสายตาหื่นกระหายราวกับสัตว์ป่า จากนั้นเพียงเสี้ยววินาที มันก็แสยะยิ้มร้ายแล้วโน้มลงมาใกล้จนเธอต้องรีบหลับตาปี๋
“เฮ่ย! พ่อ ปล่อยไอ้หยีเดี๋ยวนี้นะ!”
ตุ้บ!
ไม่ทันได้ทำเกินไปกว่านั้นร่างของคนเมาก็ถูกกระชากแล้วเหวี่ยงออกไปกระแทกกับผนังอีกด้าน ยาหยีรีบลุกขึ้นนั่งแล้วร้องไห้อย่างหนักด้วยความหวาดกลัว แม้จะจุกที่ท้องจนไม่อยากขยับแต่เธอก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสลุกขึ้นมามากกว่า
“ไอ้ลูกเวร กูเป็นพ่อมึงนะ มึงกล้าทำแบบนี้กับกูเหรอ”
“มีพ่อชั่วๆ แบบนี้สู้อย่ามีเสียดีกว่า! ไปหยี ไปเดี๋ยวนี้”
“ไอ้ลูกทรพี มึงจะพาน้องมึงไปไหน กูจะเอามันทำเมีย”
“อย่าไปฟังนะหยี ไม่ต้องกลัว พี่มาช่วยแล้ว ไม่ต้องกลัว” พี่ชายคว้ากระเป๋าของเธอพร้อมกับอุ้มเธอขึ้นจากโซฟาก่อนจะพาเธอเดินออกมาขึ้นรถแล้วขับออกมาจากบ้านหลังนั้นทันที
ยาหยีร้องไห้มาตลอดทาง สีหน้าตื่นตระหนก ริมฝีปากซีดขาว แต่ใบหน้าด้านข้างกลับแดงจัด ประกอบกับที่มุมปากมีเลือดซึมออกมา เห็นแบบนั้นแล้ว ‘ยะหยา’ ผู้เป็นพี่ถึงกับกำพวงมาลัยแน่น นึกอยากจะต่อว่าเธอที่กลับมาโดยไม่โทรบอก ทั้งที่เคยตกลงกันแล้วว่าห้ามมาเวลาที่เขาไม่อยู่ แต่ก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายตกใจมากกว่าเดิม
---
ร่ำรวยอะพาร์ตเมนต์
ไม่ถึงสิบนาทียะหยาก็จอดรถที่หน้าอะพาร์ตเมนต์ที่เธอพักอาศัย หันกลับไปมองน้องสาวของตัวเองแล้วก็ทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวเธอเพื่อปลอบประโลม
ยาหยีพยายามบอกให้ตัวเองตั้งสติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอรู้สึกหวาดกลัวทุกครั้งที่จะกลับไปที่นั่น แต่อีกด้านหนึ่งเธอก็ยังอยากได้พ่อคนเดิมของเธอกลับมา อยากกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อและพี่ชายของเธออีกครั้งเหมือนในวันที่แม่ยังอยู่เท่านั้นเอง
“พี่ขอโทษนะหยี”
“ไม่ใช่ความผิดของพี่หยาหรอกค่ะ หยีผิดเอง”
“หยีไม่ผิดเลย พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลหยีให้ดีมากกว่านี้ สักวันเราจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันสองคนพี่น้องนะหยีนะ อดทนอีกนิดนะหยี” ยะหยาย้ำพลางลูบหัวน้องสาวด้วยความรัก เธอส่งยิ้มให้เขา พยักหน้าทั้งที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด
“เจ็บมากไหมหยี”
“ไม่เป็นไรค่ะ หยีจะอดทน” เธอย้ำคำนั้นพร้อมกับฝืนยิ้ม
ยะหยาจ้องมองรอยยิ้มของน้องสาวด้วยความเจ็บปวดหัวใจ เขาอยากจะดูแลเธอให้ได้มากกว่านี้แต่เพราะพื้นฐานครอบครัวเริ่มจากติดลบ นั่นทำให้เขารู้ดีว่ามันไม่ง่ายเลย ความจนมันไม่ใช่แค่เรื่องของเงินทอง แต่มันคือพื้นฐานของการเริ่มทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องของสังคม หรือแม้แต่โอกาสที่หากใครไม่เคยได้สัมผัส คงไม่มีทางเข้าใจ
“พี่หยารีบกลับบ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวถ้าพ่ออาละวาด จะเดือดร้อนคนอื่น”
“เดี๋ยวพี่ขึ้นไปส่งหยีก่อนแล้วค่อยกลับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้หยีก็ปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวคืนนี้หยีจะโทรหานะคะ” ยาหยีพยายามบอกอย่างเข้มแข็งทั้งที่เสียงสั่นไปหมด พูดจบเธอก็เปิดประตูรถแล้วรีบก้าวลงมาทันทีเพราะกลัวว่าจะหยุดร้องไห้ไม่ได้ ทว่ายะหยากลับเปิดประตูแล้วก้าวตามลงมาเพื่อยื่นบางอย่างให้เธอ
“วันนี้เงินเดือนพี่ออก หยีเก็บไว้ใช้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่หยาเก็บไว้เถอะ”
“หยีนั่นแหละเก็บไว้ แล้วก็ไปซื้อยามาทาด้วยล่ะ เดือนหน้าพี่จะทำโอทีเยอะหน่อย แล้วต่อไปนี้ก็อย่ากลับไปที่บ้านอีกเข้าใจหรือเปล่า”
มันฟังดูเหมือนตลกร้ายเพราะคงไม่มีคนในครอบครัวที่ไหนพูดกันว่าอย่ากลับไปที่บ้านหรอก
“ขอบคุณนะคะ หยีรักพี่หยาที่สุดเลยค่ะ” ยาหยีสะอื้นทั้งน้ำตาก่อนจะเดินตรงเข้าไปกอดพี่ชายของเธอเอาไว้
“อดทนนะหยี ขอเวลาพี่อีกนิด พี่จะไม่ให้หยีต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวแบบนี้อีก” ยะหยาย้ำก่อนจะก้มจูบหัวน้องสาวอีกครั้ง เธอยิ้มให้เขาก่อนจะแยกกันเพราะการปล่อยคนเมาไว้ที่บ้านคนเดียวไม่ใช่เรื่องที่ปลอดภัย
ก่อนหน้านี้พ่อของทั้งคู่เคยอาละวาดจนมีเรื่องกับเพื่อนบ้านมาแล้ว เดือดร้อนต้องใช้เงินสดแทนคำขอโทษไปก้อนใหญ่ คนละแวกนั้นต่างพากันเอือมระอา แม้จะสงสารทั้งสองคนพี่น้องก็ตาม
บรื้นนน
รอจนยะหยาขับรถออกไปยาหยีจึงเดินกลับขึ้นตึก ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเพราะจะร้องไห้นานไม่ได้ ถ้าเธอร้องไห้ พี่ชายของเธอจะยิ่งเป็นห่วง
ตึก!
แต่แล้วระหว่างที่เธอกำลังเดินขึ้นบันไดก็เหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง รู้ได้ทันทีว่าจะต้องมีคนเดินตามมาอย่างแน่นอน ทว่าเมื่อหันกลับไปมองเธอกลับไม่พบใครเลยสักคน
ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงขึ้นในฉับพลัน เธอไม่ได้กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น แต่กลัวสิ่งที่มองเห็นแต่ตั้งใจหลบเพื่อให้เธอมองไม่เห็นต่างหาก ในสมองมีภาพของพ่อขี้เมาที่พยายามจะขืนใจเธอเมื่อครู่แวบเข้ามาโดยอัตโนมัติ
สัญชาตญาณสั่งให้เธอรีบหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเพื่อโทรหาพี่ชายที่น่าจะยังขับรถออกไปได้ไม่ไกล เปลี่ยนเป้าหมายจากห้องตัวเองเป็นเดินตรงไปที่ห้องของใครสักคนที่คิดว่าสามารถจะเคาะประตูเพื่อขอความช่วยเหลือได้ทันทีตึก
ตึก
ตึก
ระหว่างนั้นก็ยังคงได้ยินฝีเท้าคู่นั้นที่เดินตามเธอมาเรื่อยๆ เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ก่อนจะตัดสินใจหยุดเดินที่หน้าห้องห้องหนึ่งแล้วทำทีเป็นเปิดกระเป๋าเพื่อหากุญแจ แต่เมื่อหางตาเหลือบเห็นเงาบางอย่างเธอจึงรีบหันไปมอง
“นาย!”