ตอนเที่ยงวัน
โรงอาหารมหาวิทยาลัยแน่นขนัดไปด้วยนักศึกษาใหม่ รวมทั้งรุ่นพี่ปีสามที่พักงานเตรียมของรับน้องมาทานข้าวด้วย
ตอนนี้บรรยากาศกำลังคึกคัก อิงอิงหันมาถามพร้อมรอยยิ้มสดใส
“น้ำขิงจะกินอะไร เดี๋ยวอิงอิงเลี้ยงเอง ถือว่าไถ่โทษเรื่องพี่สิงห์ชนเมื่อเช้านะ”
คนตัวเล็กสะดุ้งเล็กน้อย
ยังไม่ชินกับการที่ใครสักคนทำดีด้วย
“อะ…อื้อ ขอบคุณนะ กินเหมือนอิงอิงเลยก็ได้”
“โอเค! ป้าคะ ข้าวผัดสองจานค่ะ น้ำเปล่าสองขวด ลงบัญชีพี่สิงห์เลยนะคะ!”
ป้าร้านข้าวหัวเราะเอ็นดู
“ได้เลยจ้าคนสวย”
ขณะเดียวกัน
พริ้มเพราและพร้อมแก๊งคุณหนูที่ตามหลังมา
มองภาพนั้นด้วยความไม่พอใจนิด ๆ
แต่เลือกเงียบ เพราะไม่อยากเปิดศึกต่อหน้าใคร
เมื่อได้ข้าวแล้ว
ทั้งหมดก็เดินไปยังโต๊ะที่เห็นว่างอยู่
ทว่า
โต๊ะนั้นนั่งได้แค่หกคน
แต่พวกเธอมีเจ็ดคนพอดี
อิงอิงชะงัก มองโต๊ะแล้วก็หัวเราะแห้ง ๆ
ก่อนพูดอย่างสบาย ๆ แต่แฝงความเอื้อเฟื้อที่ทำให้ทุกคนอึ้ง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันนั่งโต๊ะข้าง ๆ เอง
นี่พริ้มเพรา…นั่งกับเพื่อน ๆ ไปเถอะ”
ไม่รอให้ใครทัก เธอนั่งลงที่โต๊ะอีกตัวถัดมา
แล้วดึงเก้าอี้ให้น้ำขิงนั่งด้วย
ปึก!
คุณหนูตระกูลดังวางจานข้าว แล้วนั่งแหมะ หยิบช้อนขึ้นมา แล้วตักข้าวเข้าปาก
ทันทีที่ตักข้าวคำแรกเข้าปาก
เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“แหนะ… กินอะไรกันไม่รอพี่เลยนะอิงอิง
สมัยอนุบาลติดพี่จะตาย ต้องให้พี่ป้อนถึงจะยอมกิน”
อิงอิงแทบจะสำลักข้าว
“หยุดเลยพี่สิงห์! อย่าเอาเรื่องน่าอายมาพูดต่อหน้าคนอื่นนะ!”
เธอยกมือห้ามอย่างแรงจนเพื่อนในกลุ่มหัวเราะคิกคัก
สิงห์หัวเราะมุมปาก
ก่อนหันไปพูดกับกลุ่มเพื่อนที่ตามเขามา คือกาย บูม เบส
“ไปพวกมึง ไปซื้อข้าว
วันนี้นั่งโต๊ะเดียวกับน้องกูแหละ”
ทั้งสามพยักหน้าอย่างรู้งาน
แล้วเดินแยกไปซื้ออาหารทันที
สิงห์นั่งลงตรงข้ามอิงอิง
ท่าทางผ่อนคลายเหมือนเจ้าบ้าน
แต่ดวงตาคมกริบของเขา…
เลื่อนไปหยุดที่น้ำขิงอย่างไม่พอใจนัก
เขาไม่ได้พูดอะไร
ไม่ได้ไล่เหมือนเมื่อเช้า
แต่สายตาที่มองเธอนั้น…
เย็นชาและเต็มไปด้วยอคติที่น้ำขิงไม่เข้าใจ
น้ำขิงก้มหน้าทันที
หัวใจเต้นแรงด้วยความกดดัน
เธอชินกับสายตาแบบนี้อยู่แล้ว
แต่การต้องนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่เกลียดเธอ…
มันอึดอัดกว่าเดิมหลายเท่า
สิงห์ไม่พูด ไม่สบตา
แต่การ “ไม่พูดอะไร” ของเขา
กลับทำให้อารมณ์รอบโต๊ะหนักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
และนี่…
เป็นมื้อกลางวันครั้งแรกของน้ำขิงในมหาลัย
ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากอิงอิง
และความเย็นชาจากสิงห์ในเวลาเดียวกัน
ในขณะนั้นเอง เสียงหวานแผ่วก็ดังขึ้นจากด้านข้างโต๊ะ
“พี่สิงห์คะ”
สิงห์เลิกคิ้วมองต้นเสียงอย่างเฉยชา
“หืม?”
พริ้มเพรา ลูกสาวผู้สมัครเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี และว่าที่คู่หมั้นตามที่ผู้ใหญ่หมายตาไว้
ยื่นรอยยิ้มหวานมาให้ ก่อนเอียงหน้าเล็กน้อยอย่างตั้งใจ
“พริ้มลืมซื้อน้ำค่ะ ฝากพี่ซื้อหน่อยได้ไหมคะ”
ขณะที่พูด เธอก็ดันขวดน้ำเปล่าบนโต๊ะไปให้มายด์ที่นั่งข้าง ๆ
เหมือนส่งสัญญาณความสนิทสนมให้ทุกคนเห็นแบบชัด ๆ
สิงห์พยักหน้า
น้ำเสียงเรียบจนอ่านอารมณ์ไม่ออก
“อ๋อ ได้สิ”
เขาลุกขึ้นทันที แบบไม่คิดมาก
เดินตรงไปยังร้านข้าวที่คุ้นเคย
พริ้มเพรายิ้มอ่อน
พูดเสียงหวานตามหลังเขา
“ขอบคุณนะคะ พี่สิงห์”
คำว่า พี่สิงห์ ของเธอเต็มไปด้วยความเป็นเจ้าของ
และแน่นอน…มันชัดเจนจนทุกคนแถวนั้นเห็น
ในขณะสิงห์เดินไปซื้อของ
เสียงกรี๊ดกร๊าดเบา ๆ ดังขึ้นทันทีที่ร่างสูงเดินผ่านโซนโรงอาหาร
“หล่ออะ!”
“นั่นพี่สิงห์วิศวะป้ะ?”
“ตัวจริงโคตรเท่!”
“มองหนูบ้างค่าาาา!”
น้องปีหนึ่งหลายคนที่เพิ่งเห็นเขาเป็นครั้งแรก
ถึงกับสะกิดเพื่อนตัวเองรัว ๆ
เหมือนกำลังเห็นเซเลบเดินผ่าน
แต่ท่ามกลางเสียงวี้ดว้าย
ยังมีเสียงซุบซิบอีกแบบดังขึ้นเหมือนกัน
โดยเฉพาะผู้หญิงบางกลุ่มที่เห็นฉากเมื่อครู่ชัดเต็มตา
“พริ้มเพราให้พี่สิงห์ไปซื้อของให้…”
“โห นี่ประกาศว่าเป็นเจ้าของชัดเลยนะ”
“เป็นว่าที่คู่หมั้นปะ เขาทั้งคู่เหมาะกันจะตาย”
“คุณหนูไฮโซ + ทายาทตระกูลกิตติวรกุลพ่วงด้วยตระกูลมหิธรานนท์นะเว้ย ใครจะไปสู้ได้…”
หลายคนพยักหน้าตาม
มีทั้งอิจฉา ทั้งชื่นชม ทั้งอยากเป็นพริ้มเพราเอง
แต่มีคนหนึ่งที่นั่งนิ่ง…
น้ำขิง
ยิ่งฟัง…ยิ่งเจ็บแปลก ๆ ขึ้นมาในใจ
ทั้งที่เธอไม่มีสิทธิ์รู้สึกอะไรเลย
เพราะผู้ชายคนนั้น
คือ “ตัวปัญหา” ที่เกือบชนเธอ
และคือคนที่มองเธอด้วยสายตาเหมือนขยะเมื่อเช้า
เธอไม่ควรรู้สึกอะไรทั้งนั้น
แต่หัวใจกลับสะดุ้งนิด ๆ โดยไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด…หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาดีกับทุกคน แต่เกลียดแค่เธอคนเดียว
อีกด้านหนึ่ง
โต๊ะของกลุ่มปั้น มี แบงค์ แดน วิน
“ไอ้ปั้น มึงยังชอบพริ้มเพราอยู่เหรอวะ”
เสียงของ แบงค์ เพื่อนสนิทดังขึ้น
เพราะตั้งแต่เมื่อกี้ ไอ้ปั้นเอาแต่มองไปทางโต๊ะสิงห์ไม่หยุด
แดนก็ขยับเข้ามาเสริม
“เออ กูว่ามึงยังไม่ลืมว่ะ ยังติดอยู่ในใจแน่เลย”
ปั้นหันขวับมาทันที
ทำหน้าเหมือนโดนด่าแรงกว่าตอนโดนอาจารย์เฉ่งงานกลุ่ม
“ไม่ใช่โว้ยไอ้ห่า!”
เขาสวนกลับแบบหัวเสีย
ก่อนชี้คางไปยังโต๊ะของอิงอิงอย่างไม่ปิดบัง
“กูมองผู้หญิงคนนั้นต่างหาก”
เพื่อนสองคนหันไปตามสายตาทันที
ตรงนั้น…
คือน้ำขิงที่นั่งเงียบ ๆ กินข้าวข้างอิงอิง
หน้ากลม ๆ แบบเด็ก มองครั้งแรกเหมือนซาลาเปาไส้ครีม
ดวงตาโตใสจนเหมือนลูกหมาน้อย
นั่งนิ่ง ๆ ไม่พูดไม่จา
แต่กลับสะดุดสายตาเขาจนหยุดหายใจ
ปั้นยักคิ้ว ย้ำเสียงชัด
“หน้ากลม ๆ เหมือนซาลาเปา ตาโต ๆ คนนั้นน่ะ…น่ารักชิบหาย”
“หาาาาาาา!?”
ทั้งแดนและแบงค์ประสานเสียงอุทานพร้อมกัน
เหมือนโดนฟ้าผ่ากลางโรงอาหาร
ปั้นกลอกตา
“ไม่ต้องหา! กูเจอแล้ว นั่นแหละคนที่กูหมายตา”
เขายักไหล่อย่างไม่แคร์โลก
“กูจีบแน่”
เพื่อนทั้งสองอ้าปากค้าง
เพราะรู้ดีว่าไอ้ปั้นคือตัวตื้ออันดับหนึ่ง
ขยันจีบ ขยันตาม
และไม่เคยถอยสักนิดเมื่อมีเป้าหมาย
แต่ครั้งนี้…
ดันเป็นผู้หญิงที่นั่งข้างน้องสาวของ “ไอ้สิงห์”
พี่ว้ากปีสามสุดเฮี้ยบของคณะ
งานนี้ไม่ใช่แค่จีบง่าย ๆ แล้วล่ะ
มันคือการประกาศสงครามเงียบกับปีศาจทั้งเป็น
เพื่อนมองหน้ากันแล้วพึมพำพร้อมกันเบา ๆ
“มึงเลือกคนจีบผิดชีวิตเปลี่ยนแน่ไอ้ปั้น…”