ตอนที่ 1 #จุดเริ่มต้นของการจากลา (25%)
เรื่อง : ซ้อนกลรัก
ตอนที่ 1 #จุดเริ่มต้นของการจากลา (25%)
โดย : Kwitch (เขียนเป็นภาษาไทยว่า กวิชญ์ (อ่านว่า กะ-วิช (ออกเสียง “เฉอะ”)))
พันธนาการของอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจระโยงระยายอยู่รอบร่างกายของเธอเต็มไปหมด แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้การหายใจของเธอนั้นราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น ลมหายใจของเธอยังคงรวยริน สังเกตได้จากหน้าจอเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจที่สัญญาณชีพนั้นดูอ่อนแรงลงทุกที แม้ว่าเธอจะดูล้าซึ่งกำลังสักเพียงไหน แต่เธอก็ยังพยายามจะสื่อสารกับเขาโดยการดึงเครื่องช่วยหายใจซึ่งครอบอยู่ที่จมูกและปากของเธอออก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดขาวของเธอ จากนั้นเธอจึงหยิบไดอารี่สีขาวเล่มหนาขึ้นมาเพื่อจะส่งให้ชายหนุ่ม
“ตั้งใจไว้ว่าวันหนึ่งจะให้พี่ที แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นวันนี้ ขอบคุณที่อุตส่าห์มานะคะ”
ทีรภณยื่นมือไปรับไดอารี่ พร้อมกับกุมมือเรียวเล็กเธอเอาไว้ ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหยาดน้ำตาก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของเขา ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะเอื้อนเอ่ยกับเธอ อาจเป็นเพราะความเสียใจมันเกาะกุมความรู้สึกทั้งหมดของเขาในตอนนี้
ตัวเลขบนหน้าจอเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจค่อย ๆ ลดลง จาก 80 เป็น 60 เป็น 40 เป็น 25 จนกระทั่ง
‘ติ๊ด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ’ สัญญาณเสียงนั้นดังยาวโดยไม่มีจังหวะคั่น มือเล็กของเธอแน่นิ่ง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว ชายหนุ่มได้ยินแต่เสียงร้องของเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ดังเป็นสัญญาณเตือนด้วยเสียงสูง และเมื่อหันไปมอง ก็เห็นว่าสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจกลายเป็นเส้นตรงแนวนอน ปราศจากการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างเช่นเคย
ทีรภณเขย่าร่างบาง พร้อมกับตะโกนสุดเสียงเท่าที่เคยมี “คี ๆ ตื่นมาคุยกับพี่ก่อน พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ”
ร่างสูงโปร่งเข่าอ่อนทรุดลงไปอยู่กับพื้น และคิดในใจว่านี่หรือคืออาการล้มทั้งยืนอย่างที่เคยได้ยินมา ชายหนุ่มเข้าใจได้ถึงอาการของมันได้ทันทีแม้ว่าเพิ่งเคยเกิดขึ้นกับเขาเป็นครั้งแรกก็ตาม นั่นอาจเป็นเพราะขาทั้งสองนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ไม่มีแม้แต่กำลังที่จะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
นายแพทย์และนางพยาบาลต่างรีบวิ่งเข้ามา เพื่อช่วยยื้อชีวิตร่างที่นอนนิ่ง “ญาติคนไข้ เชิญออกไปก่อนนะคะ คุณหมอต้องช่วยชีวิตคนไข้” พยาบาลนางหนึ่งกล่าวกับทีรภณ
นายแพทย์โน้มตัวลงไปจับหัวไหล่ของร่างแบบบางและเขย่าเบา ๆ เพื่อตรวจสอบว่าเธอยังมีสติอยู่หรือไม่ “คนไข้ครับ ได้ยินผมไหมครับ คนไข้ครับ”
เมื่อไม่มีอาการตอบสนองใด ๆ จากหญิงสาว นายแพทย์จึงปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพให้เธอด้วยการปั๊มหัวใจโดยใช้มือทั้งสองประสานกันและกดไปที่บริเวณหน้าอกของเธออย่างต่อเนื่อง ร่างบางยังคงสงบนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวเช่นเคย
นายแพทย์จึงตัดสินใจทำซีพีอาร์โดยใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า “หนึ่งร้อยห้าสิบจูลครับ”
“หนึ่ง สอง สาม เคลียร์” ตัวปั๊มถูกวางไว้บริเวณหน้าอกของหญิงสาวเพื่อกระตุ้นคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
แต่คลื่นไฟฟ้าหัวใจก็ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ “เพิ่มเป็นสองร้อยจูลครับ”
“สองร้อยจูลค่ะ” นางพยาบาลหมุนปุ่มของเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าเพื่อเพิ่มกำลังตามคำสั่งของแพทย์
“หนึ่ง สอง สาม เคลียร์”
ถึงกระนั้นคลื่นไฟฟ้าหัวใจยังคงแน่นิ่ง ร่างเล็ก...ยังคงหลับใหล ไม่มีแม้แต่การโต้ตอบใด ๆ
.....
ณ คอนโดมิเนียมของทีรภณ
ทีรภณเดินออกมายืนที่ระเบียงหน้าห้องนอน ซึ่งอยู่ในคอนโดหรูสูงตระหง่านห้าสิบชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ชายหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ท้องฟ้าในคืนนี้ช่างมืดสนิท ไร้ซึ่งแสงประกายระยิบระยับจากดวงดาวเฉกเช่นเคย ในเวลานี้หากมีเครื่องมือวัดระดับอัตราความมืดมิด ก็ไม่อาจตอบได้อย่างแน่ชัดนักว่า ท้องฟ้า หรือหัวใจของเขากันแน่ ที่มันมืดมิดมากกว่ากัน
สายลมพัดโชยผ่านใบหน้าคม ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันช่างเย็นยะเยือก ไม่สดชื่นอย่างเช่นเคย เขาก้มหน้าลงมองไปยังมือซึ่งถือไดอารี่อยู่ แล้วบรรจงเปิดมันอ่านอย่างตั้งใจ ตัวหนังสือดูจะค่อย ๆ เลือนราง แล้วสายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวทีละนิด อาจเป็นเพราะม่านน้ำตามาบดบังทัศนวิสัยในการมองเห็นก็เป็นได้ เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจอันยิ่งใหญ่ของเธอ “คีตา สัตยธนะวงศ์” หัวใจที่เขาไม่อาจรักษาให้มันกลับคืนมาเป็นดังเดิมได้อีกต่อไป ความพยายามอย่างต่อเนื่องถึงสิบหกปีของเธอ ชายหนุ่มก็เพิ่งรับรู้ได้ในวันนี้ ว่าความยาวนานและการเดินทางของเวลาสำหรับคนที่รอคอยเพียงข้างเดียวนั้นมันช่างยาวนานเกินกว่าที่อีกคนจะเข้าใจ อย่างนี้สินะ ถึงได้มีคำพูดที่ว่า “เวลาของเราไม่เท่ากัน”
ทีรภณถอนหายใจยาว มองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย ชายหนุ่มไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นเขายิ่งไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงไม่รักคีตา ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เธอจมอยู่กับความเจ็บปวดตลอดมา เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเขารักเธอตั้งแต่ตอนนั้น เรื่องก็คงไม่จบลง...แบบในวันนี้
.....
หนึ่งปีก่อนหน้านี้
‘อะไรนะคะ หมั้นเหรอคะ’ หญิงสาวขึ้นเสียงดังพร้อมกับลุกขึ้นยืน เนื่องจากร้อนรนจนไม่สามารถที่จะนั่งนิ่งเฉยกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
หญิงชราพยักหน้าหนึ่งครั้ง ‘ใช่จ้ะ...หมั้น’
‘กับใครเหรอคะ’ ใบหน้าพริ้มเพราหันไปถามหญิงชรา พร้อมกับถลึงตาใส่ราวกับจะคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ในบัดนั้น
‘เดี๋ยววันนี้คีก็เจอเขา เพราะเขาจะมารับคีไปทานข้าว เพื่อทำความรู้จักกัน’ หญิงชรายังคงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
‘แต่...คุณย่าคะ นี่มันยุคสมัยไหนแล้วคะ หมดยุคคลุมถุงชนแล้วนะคะ’ คีตายังคงพูดเสียงสูงใส่หญิงชรา
หญิงชรานั่งนิ่ง ไม่มีแม้แต่คำอธิบายที่เหมาะสมให้กับคีตา ผู้ที่ยืนรอคอยสิ่งที่เธออยากจะได้ยินอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อคาดการณ์ได้ด้วยตนเองว่า หญิงชราไม่น่าจะมีคำพูดเอื้อนเอ่ยไปมากกว่านี้ เธอจึงตัดสินใจที่จะกล่าวในสิ่งที่เธอคิดว่ามันควรจะเป็น ‘หนูน่าจะมีสิทธิเลือกคนที่หนูรักด้วยตัวเองนะคะ’
หญิงชราหันไปมองดวงหน้างาม พร้อมกับแค่นยิ้มเล็ก ๆ ให้กับเธอ ‘เลือกเองแล้วเป็นยังไงล่ะ...มีความสุขดีใช่มั้ย’
ใบหน้าสลวยนิ่งอึ้งกับคำพูดที่ทิ่มแทงบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ จนระบบการตอบโต้นั้นเสียศูนย์ลงชั่วคราว
‘เขาเป็นคนที่เหมาะสมกับคี และดูแลคีได้ ย่ามั่นใจ’ แม้น้ำเสียงนั้นจะยังคงราบเรียบ แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น
‘แต่...’ ระบบการตอบโต้ของคีตาเริ่มทำงานอีกครั้ง
‘ไม่มี “แต่”...รีบไปแต่งตัวได้แล้ว ประมาณสิบเอ็ดโมง ว่าที่คู่หมั้นจะมารับคีจ้ะ’
หญิงสาวจำต้องนิ่ง แต่ในใจนั้นกำลังไตร่ตรองเพื่อหาทางจบเรื่องนี้ให้ได้อย่างสวยงาม
‘ค่ะ’