“ยืนมองอะไร มีคนรู้จักเหรอ หรืออยากทานร้านนี้ ถ้าอยากทานร้านนี้เปลี่ยนร้านได้นะคะ” หญิงสาวที่มาด้วยกันเอ่ยถาม เธอเดินไปก่อน เพิ่งย้อนกลับมายืนข้างผม คงเพราะสงสัย ทำไมผมต้องหยุดอยู่ตรงนี้
“เปล่า ไม่มีอะไร” ละสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วเดินออกมาเงียบ ๆ คนตรงหน้าดูยิ้มแย้มมีความสุขดี สายตาที่เธอมองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูเต็มไปด้วยความสุข
เธอเองก็เคยทำแบบนี้กับผม แต่สำหรับผมเราเป็นเพื่อนกัน ความหมายจึงไม่ได้สำคัญเท่ากับคนตรงหน้าเธอตอนนี้
“นึกว่าเจอคนรู้จักซะอีก” หญิงสาวที่มาด้วยกันเดินมาควงแขนผม
“รู้จักกันถึงขั้นที่ต้องควงแขนกันเลยหรือไง” พูดพลางจับมือเธอออก น่ารำคาญเป็นบ้าเลย
“ก็ยังนะ แต่เราก็ทำความรู้จักกันได้ไม่ใช่เหรอ ยังไงซะที่บ้านเราสองคนก็อยากให้เรารู้จักกันแบบสนิทแนบเนื้อได้เลยยิ่งดี”
“ฉันแค่มาตามที่ได้คำสั่งมา ไม่ได้อยากจะรู้จักใคร มีหน้าที่มากินข้าวแล้วก็จบ”
“แหม เย็นชาจังเลยนะ ทีอยู่มหา’ลัยไม่เห็นจะเล่นตัวแบบนี้เลย”
“สืบประวัติฉันเหรอ”
“แน่นอนว่าต้องสืบอยู่แล้ว คนที่จะมาเป็นสามีฉัน ฉันจะไม่สืบประวัติได้ไง สำส่อนไม่เบา ไม่น่าคบหา ฉันไม่รู้เลยว่าเหตุผลอะไรที่พ่อแม่ฉันอยากให้ฉันแต่งงานกับนายขนาดนี้”
“เงินไง มีอะไรเข้าใจยาก หรือที่เธอไม่เข้าใจเพราะเธอไม่มีสมองเหรอ”
“นี่!”
“หรือถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม เลี้ยงแบบถูกถอดสมอง”
“นี่ มันจะมากเกินไปแล้วนะ กล้าดียังไงมาว่าฉันไม่มีสมอง คิดว่าตัวเองฉลาดนักหรือไง”
“ฉันน่าจะฉลาดกว่าคนอย่างเธออยู่นะ”
“...”
“รีบกินรีบกลับ ฉันเบื่อที่จะต้องอยู่กับเธอแล้ว”
“ถ้ามันอึดอัดมากนักก็ไม่ต้องกิน คิดว่าฉันชอบนายหรือไง หน้าตาก็งั้น ๆ ฉันหาได้ดีกว่านายอีกเยอะ”
“อ้อ งั้นก็เชิญกลับได้เลย”
“ดูนายจะสบายใจที่ฉันเป็นฝ่ายทนไม่ได้นะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว นั่นแปลว่าฉันไม่ใช่คนผิดไง ฉันทำตามที่ถูกสั่งมาทุกอย่าง เป็นเธอเองที่ทนไม่ได้ ชิ่งหนีไปก่อน”
“เหอะ งั้นเหรอ งั้นฉันก็ไม่ไปแล้ว ใครจะไปก็ไป ฉันไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกผู้ใหญ่ตำหนิหรอกนะ”
“เออ งั้นก็ไปร้านที่เธอจองไว้สิ รีบทำให้จบ ฉันรำคาญ” นี่ถือว่าพูดดีด้วยแล้ว อารมณ์ในตอนนี้ไม่ด่าก็บุญแค่ไหน
แล้วที่ไม่ด่าผู้หญิงคนนี้ก็เพราะไม่อยากให้คนของที่บ้านจับสังเกตได้ ไม่อยากจะถูกบงการมากไปกว่านี้
แล้วผมก็กินข้าวกับผู้หญิงที่ไม่ได้สนใจแม้แต่ชื่อ ไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องรู้จักหรือใช้ชีวิตอยู่ด้วย
ก็แค่มาตามคำสั่ง แล้วจากนั้นก็แยกย้าย ส่วนใหญ่ระยะหลังมานี้ก็เป็นแบบนี้ตลอด ทำยังไงก็ได้ให้ฝ่ายหญิงเป็นคนไม่พอใจ จากนั้นคนที่สั่งผมได้ก็จะไม่มายุ่งกับผมไปสักพักใหญ่
แต่มิวสิคมันทำไมถึงต้องหลอกผมด้วย ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงได้สนิทกับมันขนาดนั้น
หรือว่านั่นจะเป็นคนที่มันชอบงั้นเหรอ ก็ไหนบอกว่าจะไม่มีใคร แต่แม่ง คำพูดของมันเชื่อไม่ได้อยู่แล้ว ผมเชื่อใจมันได้ที่ไหนล่ะ เราน่ะเป็นแค่เพื่อนกัน ที่มิวสิคมันยอมมีอะไรด้วยก็เพราะผมจ่ายเงินให้มัน ถ้าผมไม่มีเงินมีเหรอที่มันจะยอมนอนกับผม
แม่งไม่ได้รักผมเลย อยู่กันมาตั้งเท่าไร มันไม่เคยรู้สึกกับผมเลยหรือไงวะ
หรือว่าคนที่ไม่ใช่ พยายามทำแค่ไหนก็ยังไม่ใช่อยู่ดี
มันบอกอยู่ตลอดว่าที่เรามีอะไรกันก็เพราะความต้องการของเราทั้งคู่ พูดอยู่บ่อย ๆ จนผมไม่กล้าที่จะพูดความรู้สึกกับมัน
ผมกลัวว่าถ้าพูดว่ารักมันออกไป แม้แต่เพื่อนเราก็เป็นไม่ได้ และเพราะกลัวว่ามันจะรู้ความรู้สึกที่แท้จริง ผมถึงได้พยายามพูดย้ำอยู่เสมอว่าเราคือเพื่อนกัน
เมื่อย้ำคำนี้บ่อย ๆ มิวสิคมันก็จะไม่ไปจากผม เราจะยังอยู่ด้วยกัน
แต่ก่อนเป็นแบบนั้น แต่ว่าเดี๋ยวนี้ตั้งแต่ฝึกงานเราก็เริ่มห่างกัน ผมก็ไม่รู้ว่าระหว่างที่เราไม่ได้เจอกันมิวสิคมันแอบทำอะไรบ้าง ไม่รู้เลยว่ามันซื่อสัตย์ไหม มีผมคนเดียวอย่างที่รับปากหรือเปล่า
ก่อนหน้านี้แค่กังวล ทว่าวันนี้ได้เห็นกับตา ความกังวลเริ่มเปลี่ยนเป็นความแน่ใจ
มิวสิคมันกำลังมีคนอื่นจริง ๆ เมื่อคืนมันก็ไม่กลับห้อง บอกว่าไปนอนบ้านพี่ ผมก็เชื่อสนิทใจ ถ้าวันนี้ไม่บังเอิญมาเจอผมก็คงเป็นไอ้โง่อยู่อย่างนี้
ทำไมไม่เดินเข้าไปถามตรง ๆ มาคิดเองเออเองแบบนี้ทำไม หนึ่งเลยนะผมจะชอบมิวสิคแล้วให้คนรู้ไม่ได้ว่าผมชอบเธอ เมื่อไรที่มีคนรู้ เมื่อนั้นมิวสิคจะไม่ปลอดภัย
และสอง เหตุผลที่สำคัญที่สุด จะให้เข้าไปโวยวายในฐานะอะไร ถ้าเข้าไปถามแล้วเขาเป็นแฟนกัน ผมจะทำอะไรได้ ในเมื่อผมกับมิวสิคอยู่ในสถานะเพื่อนกันเท่านั้น
พูดแล้วก็เซ็งฉิบหาย
กินข้าวเสร็จผมแยกกับผู้หญิงคนนั้น น่าจะไม่ได้เจอกันอีก ก็นะ นี่ไม่ใช่คนแรกสักหน่อยที่เจออะไรแบบนี้
ไม่นานก็จะมีคนโทรเข้ามาหาผม เรียกว่าโทรเข้ามาด่า
ครืด ครืด
นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ โทรเข้ามาแล้ว
“ว่า”
(พูดกับแม่แกไม่คิดจะพูดให้มันดีหน่อยหรือไง)
“มีอะไรก็พูดมา ขับรถอยู่”
(ทำไมแกทำมารยาททรามแบบนั้น ก่อนหน้านี้ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมให้พูดกับหนูเมย์ดี ๆ ไม่รู้เหรอว่าพ่อเขาเป็นคนใหญ่คนโต ถ้าได้ดองกันจะช่วยให้เรามั่นคงกว่าเดิม)
“โทษที ลืม”
(ไอ้อิน แกนี่มันไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริง ๆ แกเกิดมาเป็นลูกของฉันได้ยังไง ดื้อด้าน)
“อ่า”
(นี่! ไอ้ลูกบ้า แกจะปล่อยให้ฉันพูดอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง ตอบบ้าง)
“พูดจบแล้วก็วางเลยนะ ขับรถอยู่”
ผมโยนโทรศัพท์ไว้ที่เบาะข้างคนขับ ปลายสายจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดไป ได้ระบายแล้วเดี๋ยวก็วางไปเอง
รู้ว่าเป็นคำด่า ไม่จำเป็นที่เราต้องฟัง รำคาญ
เวลาต่อมาผมก็กลับมาถึงห้อง เปิดห้องเข้ามามิวสิคกลับมาแล้ว มันนั่งอยู่ที่โซฟา เปิดทีวีทิ้งไว้ เห็นว่าผมเปิดประตูเข้ามามิวสิคมันก็ลุกเดินมาหาผม
เดินเข้ามากอดแล้วเอ่ย “เป็นไงบ้าง ไม่สบายหรือเปล่า ตอนมึงโทรมาเสียงไม่ดีเลย”
“ไม่ได้เป็นไร กูแค่คิดถึงมึง” แม้รู้ว่ามิวมันโกหก แต่ผมก็ยังยินดีที่จะโอบกอด เพราะว่าผมรักมัน ยังอยากให้มันอยู่กับผมแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ขอแค่มิวสิคยังอยู่ข้าง ๆ มันอยากได้อะไรผมจะหาให้ ขอแค่อย่าทรยศผมก็พอ
“กินข้าวไหม อยากกินอะไรเดี๋ยวทำให้” มิวสิคผละกอดออก เงยหน้ามอง ส่งยิ้มให้ผม
เราเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่มิวสิคมันไม่เคยรู้เรื่องพ่อแม่ผม ผมไม่ได้เล่าให้ฟัง แน่นอนว่าเรื่องที่ผมไปดูตัวมันจึงไม่เคยรู้
มันเป็นเรื่องยุ่งยาก ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเล่าให้ฟัง
แค่วันไหนเหนื่อย ๆ เซ็ง ๆ ได้กอด ได้อยู่ใกล้ก็พอแล้ว
“อะไรก็ได้ มึงทำมากูกินได้หมด”
“ได้เลย” มิวสิคเขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มผม จากนั้นมันก็ตรงไปที่ครัว
ถึงผมจะรู้สึกอิ่ม ไม่อยากจะกิน อยากจะหาเรื่อง อยากจะถามว่าไปไหนมาบ้าง
ถึงเมื่อก่อนผมจะใจกล้าบ้าบิ่น กล้าด่ากล้าอาละวาด ผมเคยทำแล้ว เคยวางอำนาจ เคยกดขี่จนทำให้มิวสิคมันหนีไป สุดท้ายครั้งนั้นก็เป็นผมที่จะเป็นบ้า ตามหามันเหมือนคนบ้าเลยล่ะ
ตอนนี้ผมกลับไม่กล้าทำแบบนั้น ผมกลัวว่าถ้าทำมิวสิคมันอาจจะทิ้งผมไปจริง ๆ ครั้งนี้มันก็แค่เรื่องบังเอิญ ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรมาก อย่าคิดมากอินดี้
“แล้วเป็นไงบ้าง ไปค้างบ้านพี่สนุกไหม” ถึงจะบอกตัวเองให้ใจเย็น
ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่า ที่จริงแล้วได้ไปค้างกับพี่ชายพี่สะใภ้ของมันจริงไหม
หรือที่จริงแล้วมันไปค้างบ้านคนอื่น เพียงแค่เอาพี่ชายมาอ้าง