“ได้ยัง?”
“อะไร”
“อ้าว มึงลืมเรื่องที่เราพนันกันไว้แล้วเหรอ?”
“โอ๊ย! มึงจะใจร้อนไปไหนจอย กูเพิ่งรู้จักกับเขาได้ไม่ถึงอาทิตย์เอง”
“ก็เห็นมึงบอกว่าจะไปหาหมอนั่นที่ห้อง”
“กูไปหาจริง แต่กูไปทำงานไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น” เท็นเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ หลังถูกเพื่อนสนิทหรี่ตามองอย่างจับผิด
“แล้วไป …กูก็นึกว่าได้กันแล้ว แต่ยังไม่พูด”
“มันไม่มีเหตุผลไหนเลยจอยที่กูจะไม่พูด” เท็นตอบกลับจอยทันที ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงเพื่ออ่านสไลด์ในแท็บเล็ตของตัวเองต่อ
ชีวิตในรั้วมหา’ ลัยของเท็นไม่ได้แตกต่างไปจากใครเลย แม้ว่าเขาจะเป็นชาวต่างชาติก็ตาม แต่ก็มีความเครียดและความกดดันไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ ในคณะ เพราะอาจารย์ไม่ได้มีเกณฑ์การให้คะแนนแยกเป็นกรณีพิเศษไว้สำหรับชาวต่างชาติที่มาเรียนในเกาหลี
ซึ่งด้วยเพราะเหตุผลนั้น เท็นจึงต้องขยันมากเป็นพิเศษ
เขาตัดสินใจมาเรียนที่นี่ เพราะโอกาสและความฝัน ซึ่งโอกาสที่ว่า… ก็หมายถึงคุณทรัพย์ที่เท็นมี เท็นไม่ใช่เด็กทุนของรัฐบาล เขามาเรียนที่นี่ได้เพราะเงินของทางบ้านทั้งนั้น ส่วนความฝันของเขาก็คือการได้ทำงานในบริษัทสัญชาติเกาหลี ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมบันเทิงของที่นี่
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เท็นตัดสินใจมาเรียนต่อที่เกาหลี แทนที่จะเรียนต่อที่ไทยหรือไปเรียนที่ประเทศอื่นเหมือนอย่างเพื่อน ๆ
“มึง ตัวนี้มันแปลว่าอะไรนะ?” ขณะที่กำลังทำความเข้าใจเนื้อหาก่อนเริ่มเรียน เท็นก็เอ่ยถามจีซูไปด้วย หลังเขาเจอคำศัพท์ระดับสูงของเกาหลี
“อันนี้เหรอ? มันแปลว่าการบริโภคมากเกินไปอะ”
“อ๋อ เค” เท็นพยักหน้ารับ แล้วก้มหน้าลงเพื่อจดคำแปลใส่หน้าสไลด์ของตัวเอง
คณะที่เท็นเรียนอยู่จะมีแค่บางรายวิชาเท่านั้นที่เปิดสอนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็จะสอนเป็นภาษาเกาหลีกันทั้งนั้น ดังนั้นเท็นจึงต้องพยายามเรียนรู้ศัพท์ภาษาเกาหลีใหม่ ๆ อยู่เสมอ เนื่องจากคำศัพท์ในรายวิชาส่วนใหญ่มักจะเป็นศัพท์ระดับสูงหรือไม่ก็ศัพท์เฉพาะกันทั้งนั้น ไม่ใช่คำศัพท์ที่จะสามารถเจอได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน
“มึง ลินมาแล้ว” หลังเขาก้มหน้าลงได้ไม่นาน เท็นก็มีเหตุให้ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เมื่อเขาถูกเพื่อนสะกิดแขนเสียยกใหญ่ เพื่อให้มองคนที่เพิ่งเดินเข้าห้องมาหมาด ๆ โดยทันทีที่เท็นเงยหน้าขึ้นแล้วพบกับลิน ทั้งคู่ก็สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างผละสายตาออกอย่างรวดเร็ว
เพราะภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นผุดขึ้นมาในความคิด
“วันนี้เราจะกินอะไรกันดี? ขอร้านที่ใกล้ ๆ มหา’ลัยนะมึง เพราะเราต้องกลับมาเรียนช่วงบ่ายต่ออะ” เวนดี้พูดขึ้น หลังวิชาภาคเช้าเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปหมาด ๆ
“อืม งั้นร้านแฮมเบอร์เกอร์หลังมอเป็นไง? กูอยากกินร้านนั้นมาหลายวันแล้ว” เยริเสนอ
“ก็โอเคนะ เพราะเราไม่ได้ไปกินร้านนั้นมานานแล้ว” เท็นว่า ซึ่งเมื่อไม่มีใครแย้งอะไรอีก พวกเขาทั้งห้าคนก็เดินไปยังถนนเส้นหลังมหาวิทยาลัยทันที เพราะในย่านนั้นจะเป็นแหล่งช็อปปิ้งและร้านอาหารก็จะตั้งเรียงรายให้เลือกเข้าเป็นแถบ ๆ
“กูเพิ่งบล็อกคาทกมันไปเมื่อคืน เพราะเอะอะก็ชวนไปห้องอย่างเดียว คิดว่ากูโง่มากมั้ง”
“เออ ถ้าเลิกยุ่งกับมันได้ก็ดีแล้วจอย เพราะเวลามึงเดินไปเข้าห้องน้ำ มันชอบทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่กู ...ทุเรศฉิบหาย” ขณะที่กำลังนั่งรออาหาร เสียงบทสนทนาระหว่างจอยกับเยริก็ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ หลังทั้งคู่กำลังคุยเรื่องอดีตแฟนหนุ่มของจอยที่คบหากันได้แค่หนึ่งเดือนกว่า
“จริงเหรอวะ! ทำไมกูไม่เคยรู้มาก่อนเลย ไอ้เวรเอ๊ย”
“ก็จริงน่ะสิ กูจะโกหกมึงทำไม แล้วอีกอย่างนะ…มันเริ่มเล่นหูเล่นตาใส่กู ตั้งแต่ตอนที่มึงเริ่มคุยกับมันแล้ว ตอนแรกกูก็นึกว่าคิดไปเอง แต่ยิ่งหลังจากที่มึงคบกับมันนะ อาการมันยิ่งออก”
“….”
“มึงไม่เคยสังเกตเหรอว่าทุกครั้งที่มึงชวนกูไปช็อปปิ้งอะ กูจะถามมึงตลอดเลยว่ามึงเอาแฟนไปด้วยไหม”
“เออว่ะ แต่ทำไมมึงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับกูเลยเยริ”
“ก็กูกลัวมึงไม่เชื่อไงว่าแฟนมึงเหี้ย”
“ขอร้อง ช่วยเติมคำว่าอดีตแฟนเข้าไปให้ด้วยจ้ะ เพราะกูคงไม่กลับคบแล้ว” จอยว่า พลางยกแก้วน้ำขึ้นจิบอย่างเซ็ง ๆ
“เลิกกันได้ก็ดีแล้วล่ะ ยังดีที่คบกันแค่เดือนกว่า ๆ เพราะถ้านานกว่านั้นคงเสียดายเวลาแย่” เท็นพูดขึ้น หลังบทสนทนาระหว่างเพื่อนทั้งสองคนจบลงแล้ว
“ก็จริงของมึง เสียแค่ความรู้สึกก็เกินพอแล้ว” จอยพูดเสียงอ่อน พร้อมกับถอนหายใจออกมาอีกระลอก
“ไหน ๆ มึงก็เลิกกับแฟนเหี้ยแล้ว งั้นวันนี้ออกดีปะ? เพราะพรุ่งนี้ไม่มีเรียนพอดี” เวนดี้เสนอขึ้น
“เออ พูดถึงเรื่องออกแล้ว… สรุปยังไงได้หรือยังคะคุณเท็น ลี?” จีซูที่นั่งอยู่ข้างกัน หันหน้ามาถามราวกับเพิ่งนึกได้
“อ้าว ทำไมวกมาที่กูอะ” เท็นถามกลับทั้งมุ้ยก่อนจะว่าต่อ “พวกมึงนี่เป็นอะไรกัน เมื่อเช้าจอยก็เพิ่งจี้ถามกูไป”
“แล้ว?”
“ก็ยังไม่ได้ไง โอเคไหม” เท็นพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“กูว่านะงานนี้ต้องมีคนได้เปิดโต๊ะแน่เลยว่ะ มึงว่าปะเท็น ลี?” เยริทำทีถามทั้งหน้าซื่อ แล้วกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเพื่อแซว
“ไม่มีทาง กูขอเวลาแค่สองอาทิตย์เท่านั้น …ได้แน่ มันจะยากแค่ไหนกันเชียว” เท็นตอบกลับไปอย่างมั่นใจ ก่อนที่บทสนทนาในกลุ่มจะจบลงแค่เท่านั้น เพราะอาหารถูกนำมาเสิร์ฟพอดี
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือเพราะอะไร… ถึงทำให้หลังจากที่กินข้าวเสร็จ เท็นก็เดินออกมาเจอกับลินและเพื่อนของเจ้าตัวพอดี โดยอีกฝ่ายเองก็น่าจะเพิ่งกินข้าวเสร็จเช่นกัน
ซึ่งทันทีที่พบหน้า ทั้งคู่ก็ได้สบตากันอีกครั้งด้วยความไม่ตั้งใจ ก่อนที่เท็น ลีจะเดินผละออกไป เพื่อซื้อไอศกรีมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักตามคำชักชวนของคิม เยริ
“จริงเหรอ!” หลังซื้อไอศกรีมแบบโคนรสวานิลลาเสร็จ แล้วเห็นว่าลินยังยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอเพื่อน เท็นก็รีบพูดกับเพื่อนของตัวเองเสียงดังทันที โดยมันก็ดังมากพอ จนทำให้คนที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนหันมามองกันเล็กน้อย
ซึ่งทันทีที่เห็นเช่นนั้นเท็นก็ไม่รอช้า เขารีบเลียไอศกรีมรสวานิลลาในมือตัวเองอย่างเชื่องช้าทันที ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับลินราวกับสื่อความนัย
แล้วเพราะเท็นตั้งใจจะสื่อความนัยให้ลินโดยเฉพาะ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะทำให้หนุ่มแว่นที่กำลังยืนมองอยู่ฝั่งตรงข้ามกันขมวดคิ้ว แล้วรีบหันหน้าหนีไปทางอื่นโดยพลัน
โดยสิ่งที่ลินแสดงออกก็ทำเอาคนที่กำลังละเลียดไอศกรีมในมืออยู่ ถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ นึกเอ็นดูความอ่อนหัดของอีกคน
“เป็นอะไร?” เวนดี้ถามขึ้นทั้งคิ้วขมวด หลังจู่ ๆ เท็นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อ๋อ… เปล่า แค่กำลังนึกเรื่องขำ ๆ น่ะ” เท็นตอบกลับเพื่อนทั้งรอยยิ้ม