วกกลับมาปัจจุบัน ตอนนี้ฉันกำลังยืนอยู่ที่งานนิทรรศการภาพถ่ายชื่อดัง สายตากำลังกวาดมองภาพท้องฟ้าที่มีนกโบยบินอยู่เพียงหนึ่งตัว เพราะเพียงแค่เห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกฉันก็ตกอยู่ในภวังค์
มันให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นอิสระ ที่ทั้งชีวิตฉันต้องการมันและตอนนี้กำลังก้าวข้ามออกมาจากเซฟโซนที่เรียกว่า 'บ้าน' มาใช้ชีวิตคนเดียวในโลกภายนอก
จนยืนมองได้สักพัก เสียงพนักงานก็ประกาศเวลาปิดนิทรรศการ ฉันยกแขนขึ้นมาดูเวลาพบว่าเหลืออีก 10 นาที ก็จะถึงเวลาปิด
ฉันมองภาพนั้นอีกครั้งด้วยความสิ้นหวัง ก่อนหมุนตัวหันหลังเตรียมจะเดินออกมาที่ลานทางออก ซึ่งตอนนี้ผู้คนกลับกันหมดแล้ว
"คุณผู้หญิงคะ"
ทว่าตอนที่ฉันกำลังจะเดินออกมากลับมีเสียงเรียกของพนักงานที่คอยดูแลสถานที่ดังขึ้น
พอหันไปมองก็พบกับพนักงานผู้หญิงและถัดไปด้านหลังมีผู้ชายร่างสูงใส่สูทสีดำเซ็ตผมเนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้ายืนอยู่ที่หน้ารูปภาพรูปนั้นและกำลังยืนจ้องมองมาทางฉัน
"คะ?" ฉันละสายตาจากใบหน้าคมเข้มหันมาตอบพนักงาน
"คุณโฮสจะคุยด้วยครับ"
"คุณโฮส? เมดทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ" คิ้วเรียวขมวดงง พลางหันไปมองผู้ชายคนนั้นเขาก็เอาแต่จ้องฉันนิ่ง สีหน้าไม่บ่งบอกว่าต้องการอะไร
"เชิญทางนี้ค่ะ" พนักงานผายมือให้ฉันเดินตามไปที่รูปภาพนั้นอีกครั้ง หรือเขาจะคิดว่าฉันเป็นขโมย?
ซึ่งฉันมองผู้ชายที่ชื่อโฮสอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปเพื่อจะอธิบายว่าไม่ได้มีเจตนาจะขโมยรูปภาพ
"เอ่อ คือว่าฉันไม่ได้คิดจะขโมย..."
"คุณสนใจภาพนี้หรอครับ" ยังไม่ทันอธิบายจบ ชายหนุ่มร่างสูงก็พูดแทรกขึ้นมา
"ค่ะ" ฉันตอบไปตามตรง รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเพราะตอนนี้เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียวที่เป็นผู้ชมในงานศิลปะแห่งนี้
อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องมองมา ทั้งที่ภายในโถงนี้มีคนแค่สามคน
"ผมจะขายรูปนี้ให้คุณ"
"ค่ะ คะ!?"
"คุณจะขายภาพนี้ให้ฉัน?" นิ้วเรียวชี้ไปที่รูปภาพเพื่อย้ำอีกครั้ง
"ครับ"
"คุณเป็นเจ้าของภาพหรอคะ"
"ไม่ครับ"
"หรือว่าเป็นเจ้าของงาน.."
"เอาเป็นว่า คุณจะซื้อหรือเปล่า?"
"ซื้อโดยไม่ผ่านการประมูลหรอคะ" ฉันถามอย่างไม่เข้าใจ
"......." แต่พอเห็นใบหน้านิ่งเรียบที่มองมา ฉันก็ต้องรีบพูดในสิ่งที่อยากได้ เพราะกลัวคนตรงหน้าจะเปลี่ยนใจ
"ซื้อค่ะ ฉันจะซื้อ" ฉันรีบพูดด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาประกายความดีใจอย่างเห็นได้ชัด
"ภาพนี้ปิดการขายที่ 1ล้านบาทครับ"
"นะ หนึ่งล้าน O_O" ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ถึงจะรู้ว่าภาพนี้ต้องแพงอยู่แล้วแต่ก็อดที่จะตกใจไม่ได้
เพราะว่าเงินจำนวนนั้น มันคือจำนวนครึ่งนึงของเงินที่ฉันมีอยู่
"คือว่า.."
"?"
"ผ่อนจ่ายได้ไหมคะ" คำพูดของฉันทำให้คนตรงหน้ากระตุกยิ้ม แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็กลับมาทำหน้านิ่งตามเดิม
"ผ่อนจ่ายด้วยอะไรครับ" ฉันชะงักกับคำถามเล็กน้อย
"เงินค่ะ ฉันมีเงิน แต่..ฉันมีความจำเป็นต้องใช้ เลยอยากขอทยอยจ่ายได้ไหมคะ"
"อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้านายผม"
"เจ้านาย?"
"ครับ เอาเป็นว่าคุณรับภาพนี้ไป ถ้าเจ้านายผมรับข้อเสนอที่คุณต้องการ ผ่อนจ่าย ผมจะติดต่อกลับไป"
"หมายถึง คุณจะให้ภาพนี้ฉันไปก่อนหรอคะ" บทจะให้ภาพก็ให้มาง่ายๆ อีกทั้งคำว่าผ่อนจ่ายที่ชายหนุ่มตรงหน้าย้ำมันทำให้ฉันเริ่มนึกกังวลขึ้นมา
"ครับ"
"ไม่ใช่ให้ภาพมาแล้วเรียกเก็บดอกเบี้ยย้อนหลังแพงนะคะ"
"หึ เจ้านายผม.. ไม่ได้ต้องเงินหรอกครับ" เขาพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่อยากได้เงินแล้วจะขายภาพให้ฉันทำไม
แต่องค์กรที่จัดนิทรรศการระดับโลกแบบนี้คงไม่มีเรื่องผิดกฏหมายเข้ามาแทรกแซงหรอกมั้ง..
"ตามนี้นะครับ ผมจะให้พนักงานนำภาพไปส่งที่รถของคุณ" ร่างสูงตรงหน้าพูด ก่อนจะพยักหน้าให้พนักงานนำรูปภาพนั้นลงมา
เอิ่ม เหมือนมัดมือชกเลยอ่ะ
"งั้นถ้าเจ้านายของคุณต้องการให้ฉันจ่ายแบบไหน ติดต่อมานะคะ" มือเรียวล้วงเข้าไปในกระเป๋าถือหยิบนามบัตรออกมายื่นให้คนตรงหน้า
"ไว้ผมจะติดต่อกลับไปครับ คุณเมอเมด :) "
"ค่ะ" ฉันตอบแล้วยิ้มกลับให้ผู้ชายตรงหน้า ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกไป
แต่รอยยิ้มนั้น... ยิ่งมองยิ่งดูแปลกยังไงชอบกล หรือสไตล์การยิ้มของเขาจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
........
@ คอนโด
"รู้สึกดีจัง"
ฉันยืนเหม่อมองภาพบนฝาผนังห้องนอน ที่พึ่งให้ช่างมาติดไปหมาดๆ และถึงแม้ราคามันจะเหยียบล้านฉันก็ไม่เคยนึกเสียดายเงินเลยที่ซื้อมันมา
ห้องที่ฉันอยู่เป็นคอนโดของเพื่อน ชื่อ เพทาย มันเป็นลูกเจ้าของบริษัทส่งออกรถยนต์ซูเปอร์คาร์ และทำกิจการเกี่ยวกับรถยนต์ครบวงจร ตานี่เป็นเพื่อนกับฉันตั้งแต่ยังเด็กเลยสนิทและไว้ใจกันพอสมควร
มันให้ฉันเข้ามาอยู่ฟรีๆ แต่ค่าน้ำค่าไฟจ่ายเอง เป็นคอนโดใกล้มหาลัยด้วยล่ะ จึงสะดวกกับการเดินทางไปเรียนมาก
และไม่ต้องห่วงว่าเพทายมันจะไปนอนไหน หมอนี่มันไม่อยู่กับที่หรอก ชอบไปวางไข่ไว้ทั่วและถึงมันจะมานอนที่นี่ก็มีตั้งสองห้อง
ปกติตอนอยู่ไทยเวลามันกลับมา เบื่อสาวๆ มันก็ชอบมาขลุกอยู่คอนโดฉัน อ้อ ลืมบอกเพื่อนฉันมีผู้หญิงอีกคนชื่อเหม่ยหลิน สองคนนี้คือเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก จึงสนิทและไว้ใจกันมากจนนอนเตียงเดียวกันได้
ครืดดด ครืดดด~
ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น พบว่าเพทายกับหลินวิดีโอคลอกลุ่มในไลน์มา
(เพทาย : ไม่ทราบว่าน้องเมอเมดไปรายงานตัวหรือยังคะ)
"ตอแหลมาก"
(หลิน : ฮ่าๆๆ)
ฉันเเบะปากใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้ ที่มันชอบล้อแบบนี้ก็เพราะว่าฉันซิ่วมาเรียนปีหนึ่งใหม่ ส่วนพวกมันสองคนอยู่ปีสองแล้ว ตอนนี้ฉันเลยเหมือนเป็นรุ่นน้องพวกมัน
(เพทาย : พูดกับเฮียเพราะๆ หน่อย เดี๋ยววันรับน้องเฮียแกล้งหนักนะ)
"ก็ลองดู ได้ข่าวว่าสับรางเด็กคณะบัญชีกับคณะบริหารอยู่นิ หรือกูจะส่งรูปให้น้องเขาดูดีน้าาา"
(เพทาย : มึงรู้ได้ไง ฮุ่ยหลินมึงบอกมันหรอ? -_-^)
(หลิน : เออ หมั่นไส้ แล้วก็เลิกเรียกกูแบบนี้สักทีเถอะ) เพทายทำหน้าหงิกก่อนที่ฉันจะสังเกตสีหน้ายัยหลินในวิดีโอคลอดูไม่ค่อยดีนัก
"เป็นไรวะหลิน หน้าตาดูเครียดๆ"
(หลิน : มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ คลับกันมั้ย?)
"หาแต่เรื่องเสียเงิน" ฉันตอบเพื่อนไป ไม่ใช่ไรนะ ภาพที่เด่นอยู่ตรงหน้ามันค้ำคอ คอยเตือนให้ฉันประหยัดเงิน T^T
(หลิน : กลัวไร เพทายมันเลี้ยง)
(เพทาย : ถามกูยัง?)
(หลิน : ก็ถามอยู่นี่ไงคะเพื่อน)
(เพทาย : คำถามมึงมัดมือชกมาก -_-)
"สรุปเลี้ยงมั้ยคะ เฮียเพทายยย" ฉันถามเสียงออดอ้อน
(เพทาย : เออ! เลี้ยงก็เลี้ยง มึงนี่เหมือนเมียเก็บกูเลยว่ะ คอนโดก็ให้อยู่ นี่ยังต้องคอยเลี้ยงเหล้าอีก)
(หลิน : บ่นอะไรนึกถึงตอนที่พวกกูคอยไปตามล้างตามเช็ดเด็กที่มึงไปไข่ไว้เรื่อยราดด้วย)
คำพูดของหลินทำให้ฉันหัวเราะออกมาลั่นห้อง ก่อนที่พวกเราจะด่ากันไปอีกสองสามประโยค ก็แยกย้ายกันไปแต่งตัว
ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว พวกเรานัดกันที่คอนโดฉัน โดยที่เพทายจะวนรถไปรับหลินก่อน ฉันแต่งตัวเสร็จจึงมายืนรอเพื่อนที่ด้านล่างจะได้ไม่เสียเวลา
และก่อนออกไปจากห้องฉันก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองรูปภาพและยืนยิ้มให้ อย่างกับคนบ้ายังไงยังงั้น
"เป็นเอามากนะเรา"
ฉันหัวเราะตัวเอง จากนั้นก็ก้าวเท้าออกมาจากห้องลงลิฟท์มายังชั้นล่างสุด พลางกดเข้าดูไลน์กลุ่มพบว่าเพทายกำลังไปรับหลิน และคอนโดที่หลินอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก จึงตัดสินใจเดินออกมารอที่สวนสาธารณะด้านหน้าคอนโด
สองเท้าก้าวมาหยุดอยู่ที่ริมฟุตบาทตรงทางม้าลาย มองซ้ายมองขวาไม่มีรถจึงจะเดินข้ามไปอีกฝั่ง
ปรื้นนน ปรื้นนน!
"เฮ้ยยย กรี๊ดดดด!"
ทว่า เมื่อฉันก้าวไปอยู่กลางถนนกลับมีรถพุ่งเฉี่ยวมาที่ฉันอย่างรวดเร็ว ทำให้ฉันตกใจเสียหลักหงายหลังล้มลงกับพื้น
ตุ้บ!
"โอ๊ยย ขับรถภาษาไรวะ!" ฉันร้องโอดโอยหลังจากที่ก้นจ้ำเบ้ากับพื้น ถอดรองเท้าส้นสูงออกรีบพยุงตัวลุกเดินไปนั่งบนฟุตบาท พลางหันไปมองรถคันนั้นที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
ไม่นานก็มีผู้ชายหุ่นสูงเปิดประตูรถออกมาจากด้านข้างคนขับ พร้อมกับแผ่นกระดาษในมือ
ฉันขมวดคิ้วมองลักษณะการแต่งตัวของคนที่กำลังเดินมา มันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออกและตอนนี้ฉันกำลังอารมณ์เสียและเจ็บแผลที่หัวเข่ามาก
"ค่ารักษา" พอเดินมาถึง ผู้ชายคนนั้นก็ยื่นกระดาษมาตรงหน้า ซึ่งทำให้ฉันรู้ว่ามันเป็นเช็คเงินสด
เหอะ! แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้สินะคนรวย คำขอโทษสักคำก็ไม่มี
ฉันแค่นหัวเราะ หันไปมองอีกฝั่งพบว่ารถของเพทายกำลังมาจอดตรงฉันพอดี
"เฮ้ย! เมดเป็นไรวะ" เสียงของเพทายและหลินดังมา ฉันจึงพยุงตัวลุกขึ้นยืนหันไปมองผู้ชายคนดังกล่าวและปลายตาไปที่รถหรูกระจกทึบ
เซ้นส์ฉันบอกว่าต้องมีคนนั่งอยู่ในนั้น
"เอาไปตัดแว่นใส่กันเถอะค่ะ หรือไม่ก็ซื้อน้ำผลไม้บำรุงสายตากิน จะได้มองทางม้าลายได้ชัดขึ้น" ฉันพูดแค่นั้นก็เดินกะเผลกไปหาเพทายและหลินที่กำลังวิ่งมา
"รถเฉี่ยวหรอวะ"
"เออดิ หงุดหงิดชิบหาย"
"แล้วมันเอาไง ขอโทษมั้ย รับผิดชอบรึเปล่า" หลินถามอย่างเป็นห่วงแต่ฉันดึงพวกมันไปที่รถ ไม่อยากจะเสวนากับคนพวกนั้น
"ไปเหอะ กูไม่เป็นอะไรมาก" ฉันหันไปมองรถคันนั้นอีกรอบพบว่ายังจอดนิ่งอยู่ที่เดิม จึงลดกระจกลงแล้วชูนิ้วกลางออกไปให้เป็นของแถม
บรื้นนนนนน~
จากนั้นเพทายก็เร่งรถออกไปในที่สุด