1.ต่อรอง
ไม่รู้เป็นเพราะอากาศในประเทศไทยร้อนระอุเกินไป หรือเป็นเพราะ ‘เขา’ นั่งอยู่ตรงนั้นก็เลยทำให้ ‘เสี่ยฮง’ รู้สึกร้อนจนเหงื่อแตก ฝ่ามือเหี่ยวย่นยกขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากออกก่อนที่จะเปิดปาก
“ผมขอเวลาอีกสักเดือนได้ไหมครับ” แม้เสี่ยฮงจะอายุมากกว่า แต่ก็ต้องทำตัวนอบน้อมเพราะอีกคนมีอำนาจมากกว่าอายุ
“เสี่ยเลื่อนมาหลายเดือนแล้วนะ”
“ครั้งนี้ไม่เลื่อนจริง ๆ ครับ” เสี่ยฮงพูดด้วยน้ำเสียงปนอ้อนวอน “เห็นใจผมเถอะ ลูกสาวผมกำลังเรียนมหา’ลัย ถ้าผมคืนเงินก้อนนี้ ยัยหนูเรียนไม่จบแน่ ๆ”
“ก็เพราะผมเห็นแก่ลูกสาวเสี่ย ก็เลยเลื่อนแล้วเลื่อนอีก” เพราะเขาก็มีน้องสาวกับน้องชายที่กำลังเรียนมหา’ลัยเหมือนกัน ก็เลยนึกเห็นใจเสี่ยฮง แต่ความเห็นใจมันก็มีขีดจำกัด แม้เขาจะไม่ได้ร้อนเงิน แต่ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ คนอื่นก็จะเอาเป็นตัวอย่าง
‘เธียร’ ไม่ได้ปล่อยเงินกู้ ไม่ได้ปล่อยเงินดอก แต่เขาแค่ช่วยเหลือเพื่อนที่เคยร่วมธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ซึ่งมันก็มีไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็มีเสี่ยฮงที่เขาให้ความช่วยเหลือตอนที่อีกฝ่ายกำลังลำบาก
อีกทั้งเสี่ยฮงเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกับพ่อเขามาก่อน ทั้งคู่เป็นคู่ค้าที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาตลอด ก็เลยทำให้เขายอมช่วยมาจนถึงทุกวันนี้
“ขอโอกาสผมอีกสักเดือนเถอะครับ แล้วผมจะหาเงินมาคืนให้”
“เอาแบบนี้ไหมเสี่ย ผมมีข้อเสนอให้”
“ข้อเสนอ?” คนที่มีอายุเยอะกว่ามองหนุ่มรุ่นลูกอย่างสงสัย แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายทำหน้ายังไงเพราะแว่นตาสีดำบดบังดวงตาอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ต่อให้ถอดแว่นออกก็เดาใจผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ดี
“ยกธุรกิจของเสี่ยให้ผม แล้วผมจะยกหนี้ให้”
“แบบนั้นมันเหมือนตัดแขนตัดขาผมเลยนะ” ธุรกิจของเสี่ยฮงก็คือกิจการร้านทองขึ้นชื่อ มีประมาณยี่สิบสาขาภายในประเทศไทย แต่ถึงแม้จะมีเยอะก็หมุนเงินไม่ทันอยู่ดี เพราะเสี่ยฮงไม่ได้ติดหนี้แค่เธียรคนเดียว ยังมีเจ้าหนี้อีกหลายคนที่เขาไปหยิบยืมมา
“เห็นใจผมเถอะ ที่ผมขอร้องคุณก็เพราะคุณเป็นคนเดียวที่ไม่อยากได้ลูกสาวผม ถ้าผมยกกิจการร้านทองให้คุณ ผมจะหาเงินจากไหนเอาไปจ่ายเจ้าอื่น ถ้าผมไม่มี ยัยหนูคง…”
“พ่อมีแขกเหรอคะ” เสียงหวานดังขึ้นในขณะที่เสี่ยฮงกำลังจะเอ่ยประโยคสะเทือนใจ จากที่กำลังตึงเครียดก็ผ่อนความรู้สึกนั้นลงเพราะกลัวลูกสาวเป็นห่วง
“ทำไมเสียมารยาทแบบนี้ พ่อคุยธุระอยู่นะหนูแฮม”
“ธุระอะไรคุยเกือบทุกวัน” คนเป็นลูกทิ้งตัวนั่งลงข้างพ่อตัวเอง สองตากลมโตเหลือบมองผู้ชายใส่สูทที่นั่งเหมือนนายแบบอยู่ต่อหน้า “คุณมาทวงหนี้พ่อหนูอีกล่ะสิ”
“พูดกับคุณเธียรดี ๆ เขาเป็นเจ้าหนี้เรานะ” คนเป็นพ่อเอ็ดลูกสาว
“ทำไมต้องพูดดีด้วย” แล้วเธอก็เบะปากออกมา แน่นอนว่ามันทำให้คิ้วของเธียรกระตุกเข้าหากันได้ “ที่จริงคุณก็มีเงินเยอะ ไม่ได้ร้อนเงินอะไร ก็ผ่อน ๆ ให้หน่อยไม่ได้หรือไง พวกเราไม่ได้หนีสักหน่อย พ่อก็พยายามหามาคืนให้ เห็นใจกันหน่อยสิ”
“ลูกสาวเสี่ยมีคนเดียวเหรอ” เขาไม่ได้สนใจกับคำพูดของเด็กอายุยี่สิบ แต่ดันถามกลับ ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพราะกำลังทดความรู้สึกนั้นไว้ในใจ
“ครับ” เสี่ยฮงเหงื่อแตกมากกว่าเดิม “อย่าถือสายัยหนูเลยนะ แกยังเด็ก”
“ไม่เด็กแล้วสักหน่อย หนูโตแล้ว”
“หนูแฮม!”
“ไม่ต้องดุลูกสาวหรอกเสี่ย ผมไม่ได้ถือสา” เธียรโบกไม้โบกมือไปมาบ่งบอกว่าไม่ได้ถือสาจริง ๆ “เด็กยี่สิบก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ขอโทษแทนยัยหนูอีกครั้งนะครับ”
“ครับ” จากหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มก็ยิ้มออกมา “แล้วตกลงเสี่ยจะคืนเงินผมได้ภายในวันไหน”
“ผมขอเป็นเดือนหน้าเหมือนเดิม…”
“เกรงว่าจะไม่ได้” เขาปรับท่านั่งให้สบายตัวขึ้น มองไปรอบบ้านอย่างพิจารณาก่อนที่จะหันกลับมามองเสี่ยฮงอีกครั้ง “เสี่ยเลือกเอาว่าจะยกอะไรให้ผม ระหว่างกิจการร้านทอง บ้านหลังนี้… หรือลูกสาวเสี่ย”
ประโยคหลังทำให้เสี่ยฮงเหงื่อแตกมากกว่าเดิมหลายเท่า จากที่ร้อนอยู่แล้วก็ร้อนเข้าไปอีก ฝ่ามือเหี่ยวย่นยกขึ้นลูบหน้าเหมือนกำลังคิดหนัก เพราะไม่ว่าจะยกสิ่งไหนเธียร มันก็แย่อยู่ดี
ตอนแรกผู้ชายคนนี้ไม่คิดสนใจลูกสาวของเขา แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงสนใจ อาจเป็นเพราะหนูแฮมโผล่หน้ามาให้เห็น พูดปากไม่มีหูรูดก็เลยทำให้เขาเปลี่ยนใจ เสี่ยฮงเดาใจเจ้าหนี้ตัวเองไม่ออกจริง ๆ
“นี่คุณ ไม่คิดจะให้โอกาสคนอื่นบ้างเลยหรือไง” เสียงหวานดังขึ้นท่ามกลางความเครียด เธอไม่ได้นึกตกใจเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหนี้พูดแบบนี้ เพียงแค่นึกโมโหที่อีกฝ่ายไม่ให้เวลาหาเงินซะเลย แต่ความโมโหนั้นก็ยังมีความรู้สึกอื่นปะปนซ่อนอยู่ แต่เธอก็พยายามฝังมันไว้ให้ลึกสุดใจเพราะกลัวอีกฝ่ายจะรู้
“เอาเป็นว่าผมยกบ้านให้คุณก็แล้วกัน” เพราะกลัวว่าลูกสาวจะทำพังไปมากกว่านี้ก็รีบพูดขึ้น แม้จะรักและมีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ แต่ก็ต้องยอมยกให้อีกฝ่าย เขาไม่สามารถยกธุรกิจกับลูกสาวให้ใครได้จริง ๆ
“ตกลงตามนั้น”
“ไม่ตกลง แบบนี้ไม่โอเคเลย” หนูแฮมพูดขึ้นเสียงดังพร้อมมองหน้าเธียรเขม็ง “คุณไม่เห็นใจคนไม่มีบ้านอยู่หรือไง ถ้าพ่อยกบ้านให้คุณ แล้วพวกเราจะไปอยู่ไหน”
“งั้นเธอก็มาอยู่กับฉันสิเด็กน้อย ทั้งบ้านและธุรกิจของพ่อเธอจะได้อยู่เหมือนเดิม” เธียรไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำพูดนั้น เขายังอยู่ในท่าทีสบาย ๆ เหมือนเดิม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยกอะไรให้ เขาก็มีแต่ได้กับได้อยู่ดี
“อยู่แล้วได้อะไร คุ้มหรือเปล่า” คำถามของหนูแฮมทำให้เจ้าหนี้นึกขัน มีเพียงเสี่ยฮงที่กำลังสั่นเทาด้วยความกลัว
“อย่าใส่ใจยัยหนูเลยครับ” พูดกับเธียรแค่นั้นแล้วก็หันไปมองลูกสาว “ขึ้นห้องไป นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“หนูกำลังช่วยพ่ออยู่นะ บ้านเราติดหนี้ตั้งกี่ล้าน แถมไม่ได้มีแค่เจ้าเดียว มีเป็นสิบ ต่อให้พ่อยกบ้านให้คุณคนนี้ คนอื่นก็มายึดอย่างอื่นอยู่ดี สุดท้ายก็ไม่พ้นหนู”
คำพูดของลูกสาวไม่สามารถทำให้เสี่ยฮงเถียงได้เพราะมันคือเรื่องจริง ในอนาคตข้างหน้า ถ้าหาเงินมาคืนเจ้าหนี้ไม่ได้ หนูแฮมก็คงจะเป็นรายต่อไป และเขาไม่รู้เลยว่าลูกสาวจะตกไปอยู่กับใคร
“เอาไงดี” คนที่ไม่รู้สึกรู้สากับเรื่องนี้ถามขึ้นท่ามกลางความเงียบและความตึงเครียดของบ้าน “แบบที่ลูกสาวเสนอก็ดีนะเสี่ย ไม่ต้องเสียอะไร ต่อให้เสี่ยยกลูกสาวให้ผม เธอก็ยังเป็นลูกเสี่ยอยู่ดี”
“ตกลง หนูยกตัวเองให้คุณ” และนี่คือเสียงของหนูแฮมที่เอ่ยยกตัวเองให้เจ้าหนี้ แน่นอนว่าคำพูดของเธอทำให้เธียรนึกขำ ต่างจากคนเป็นพ่ออย่างชัดเจน
ถ้าเสี่ยฮงเป็นโรคหัวใจ ป่านนี้ก็คงจะหัวใจวายตายไปแล้ว