Ep.5
วันต่อมา
“คุณวี จะรับอาหารเช้าเลยไหมคะ” กรองแก้วรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาเอ่ยถามร่างบางที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนตามคำกำชับของเจ้านายหนุ่ม
“คุณฟิลลิปส์ล่ะคะ?” วีนัสไม่ได้ตอบกลับ แต่เป็นฝ่ายตั้งคำถามแทน เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านเพื่อเสาะหาคนที่เอ่ยชื่อไปเมื่อครู่ ทว่ากลับไม่พบแม้แต่กลิ่นกายอ่อนๆ จากตัวเขาที่เคยได้สัมผัส
“วันนี้คุณเขามีงานด่วนน่ะค่ะเลยออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า คุณวีมีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ”
“แล้วลูกน้องของเขาล่ะคะ ฉันจำได้คร่าวๆ ว่าวันที่เขาพาฉันมา ฉันได้เจอกับลูกน้องของเขาสองคน”
“คงเป็นเอวากับอดัม แต่ตอนนี้อยู่แค่เอวาค่ะ” เด็กสาวเบิกตากว้างในทันทีพร้อมพูดว่า
“เหรอคะ! แล้วเธออยู่ไหนคะ ป้าพาฉันไปหาเธอหน่อยสิ” เธอเดินเข้าไปเขย่าแขนแม่บ้านสาวเร่าๆ แล้วรบเร้าด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝืนความรู้สึกจริงๆ อยู่ไม่น้อยเลย
แผลใจยังไม่หายดี แต่เพียงเพราะแค่อยากจะเจรจากับใครสักคนที่อยู่ใกล้ตัวของมาเฟียหนุ่ม แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญมากพอที่ทำให้เธอสามารถปั้นรอยยิ้มปลอมๆ ที่ยากกว่าการจำหนังสือสอบขึ้นมาได้
“วาน่าจะซ้อมยิงปืนอยู่ด้านหลังคฤหาสน์ ยังไงคุณวีตามป้ามาแล้วกันนะคะ” กรองแก้วยิ้มเจื่อนเล็กน้อย เพราะกลัวว่าจะถูกเจ้านายหนุ่มตำหนิเอาหากรู้เรื่อง เพราะเขากำชับนักหนาว่าวันนี้ต้องทำยังไงก็ได้ให้คนตัวเล็กยอมกินข้าว ก่อนจะจำใจเดินนำเธอออกไปทางหลังบ้าน
“อ๊ะ! นั่นไง ซ้อมยิงปืนอยู่ตรงนั้น ยังไงคุยกับวาเสร็จแล้วคุณวีอย่าลืมสัญญาที่ว่าจะยอมทานข้าวด้วยนะคะ” แม่บ้านสาวย้ำข้อตกลงที่ทำร่วมกับเธอไปเมื่อหนึ่งนาทีก่อนในระหว่างทางที่เดินมา ซึ่งอีกฝ่ายก็หยักหน้าหงึกหงักแทนการเอ่ยปาก เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วจึงยอมหันหลังเดินกลับเข้าไปจัดเตรียมอาหารเอาไว้รอ
“อะ..เอวาคะ..ฉะ..ฉันมีเรื่องอยากคุ..”
“ฉันไปเป็นเพื่อนสนิทของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?” มือซ้ายมาเฟียพูดแทรกขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้หันไปมองทางด้านหลัง แค่ได้ยินเสียงก็พอจะคาดเดาได้ว่าเจ้าของคำทักทายนั้นเป็นคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเธอ ‘ไม่ชอบหน้า’
“..เอ่อ..ขะ..ขอโทษที..คะ..คือฉัน..”
“ฉันไม่ใช่ฟิลลิปส์ที่จะต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานใส่ มีอะไรก็รีบๆ พูดมา ฉันมีงานต้องทำ” ปากว่ามือก็พลันวางปืนกระบอกลง ก่อนจะถอดเครื่องป้องกันที่เรียกว่า ‘ถุงมือ’ ออกวางไว้ข้างๆ กัน พร้อมหันหน้ากลับมาสบตากับคนตัวเล็กกว่า
“....” วีนัสหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำความเข้าใจกับนิสัยที่เถรตรงของมือซ้ายมาเฟีย เธอสัมผัสได้ถึงความชิงชังที่ถูกซ่อนเอาไว้อยู่ในแววตาของอีกฝ่าย ก่อนจะพูดในสิ่งที่ต้องการออกมาอย่างเต็มเสียง “ฉันต้องการบินกลับไปที่เมืองไทย ไม่ทราบว่าคุณพอจะช่วยบอกเรื่องนี้กับฟิลลิปส์ให้ฉันได้หรือไม่?”
“เธอพูดจริงเหรอ!” ดวงตากลมเบิกโพลงจนเกือบจะทอเป็นประกาย เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้คิดเกินเลยกับฟิลลิปส์ ไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่อยากจะไปจากที่นี่ ทว่าไม่นานเธอก็มีท่าทีที่ชะงักไปพลางครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะคนอย่างฟิลลิปส์คงไม่ยอมปล่อยให้เด็กสาวออกจากที่นี่ไปง่ายๆ เป็นแน่
“วะ..ว่ายังไงคะ..คุณพอช่วยฉันได้ไหม?” เมื่อไม่ได้รับคำตอบจึงเอ่ยถามออกไปอีกประโยค
“เดี๋ยวฉันจัดการให้ คืนนี้เธอเตรียมตัวบินได้เลย” มุมปากบางบิดขึ้นเล็กน้อยอย่างชอบใจ แม้จะรู้ดีว่ามาเฟียหนุ่มคงไม่ยอมให้หล่อนหนีไป แต่นั่นมันเป็นในกรณีที่เขารับรู้แล้วเท่านั้น!
หากเธอใช้อำนาจของตัวเองและอดัมที่พอมีจัดการเรื่องนี้แบบเงียบๆ ล่ะ?
กว่าที่เขาจะรู้ตัวอีกฝ่ายก็คงจะถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานั้นเขาคงจะไม่คลุ้มคลั่งหล่อนถึงขนาดบินไปตามตัวกลับมาหรอกนะ...?
“ขอบคุณมากค่ะ ถ้าหากฉันต้องบินก่อนที่เขาจะกลับมา ฝากคุณไปขอบคุณเขาด้วยนะคะที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ หากไม่ได้เขาป่านนี้ฉันอาจจะไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว ฝากบอกเขาอีกอย่างด้วยว่าฉันสัญญาว่าจะกลับมาตอบแทนบุญคุณของเขาอย่างแน่นอน” เอวาขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดในประโยคสุดท้าย จึงพูดไปว่า
“ไม่ต้องกลับมาหรอก เสียเวลาเปล่า”
“บุญคุณยังไงก็ต้องทดแทนค่ะ ยังไงฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่ยอมรับฟังและช่วยเหลือ” ว่าจบก็หันหลังเดินกลับเข้าไปภายในคฤหาสน์ทันที ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยถามหรือโต้ตอบอะไรกลับมาอีก
“วันนึงหนูคงมีโอกาสได้ตอบแทนคุณ” วีนัสพึมพำกับตัวเองเบาๆ ขณะที่กำลังเก็บกวาดห้องนอนใหญ่ที่เธออาศัยอยู่ถึงสองคืนด้วยกัน แม้กรองแก้วจะห้ามปรามว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ แต่สามัญสำนึกกลับไม่ยอมให้ร่างกายหยุดขยับ
การจากไปของเธอในครั้งนี้ไม่ใช่การหลีกหนีแต่อย่างใด แต่เพราะมีครอบครัวที่คอยเป็นห่วงอยู่ทางนั้น แม้บางทีจะไม่ชอบใจในคำพูดและการกระทำของฟิลลิปส์ไปบ้าง แต่ยังไงเสียเขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ผู้มีพระคุณ’ ที่วันหนึ่งเธอต้องหาทางกลับมา ‘ตอบแทน’