“ไอ้สอง!” คารมตวาดลั่นพร้อมผุดลุกจังก้า ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างตกใจจนคุณมาริสาจำต้องปรามเสียงเข้ม
“พอแล้ว!!” ท่านมองลูกชายคนโตด้วยแววตาคมปลาบ ฝ่ายนั้นฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนนั่งลง พรทิพารีบจับแขนสามีแล้วปลอบเขาด้วยสายตา
คงไคยดวงตากร้าวจัดยามมองพี่ชายด้วยความรู้สึกเสียใจที่อีกฝ่ายเห็นคนอื่นดีกว่าน้อง คุณมาริสาส่ายหน้า พลางสูดลมหายใจยาวแล้วผ่อนออกเพื่อสงบจิตสงบใจ
คนเป็นแม่สบตาปรามลูกชายคนโตที่กำลังจะกล่าวบางอย่างออกมาเพื่อปกป้องภรรยาของตนเอง ท่านไม่อยากให้พี่น้องที่รักใคร่กันมาโดยตลอดต้องมาแตกคอเพราะเรื่องนี้
“อร บอกแม่มาซิ ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนั้น”
น้ำเสียงที่ไม่กระด้างแต่ก็ไม่อ่อนโยนทำให้อรจิราเงยหน้าที่แดงก่ำเพราะร้องไห้อย่างเสียขวัญขึ้นมองท่าน พรทิพาเหลือบตามองคงไคยด้วยความโกรธเคืองก่อนจะเอ่ยกับน้องสาว
“พูดออกมาเถอะอร ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
คงไคยตวัดสายตามองพรทิพาด้วยแววตาวาววับ มือใหญ่กำแน่น อีกฝ่ายก็ต่อสายตาไม่ยอมหลบเช่นกัน คนอย่างคงไคยควรได้รับบทเรียน
อรจิราก้มหน้างุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแต่ก็ต้องใจกระตุกวาบเมื่อสบตาคมกริบที่มองมาอย่างอาฆาตแค้น แต่เมื่อสบตาของพี่สาวกับคารมหัวใจที่ถูกบีบคั้นรุนแรงก็ราวกับได้รับความอบอุ่น
“เมื่อคืน ตอนที่คุณแม่บอกให้อรกลับไปนอน อรได้เจอกับคุณสองที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม คุณสองเรียกอรเข้าไปชงเหล้าให้” หญิงสาวหลบสายตาคมกริบที่มองมา คุณมาริสามองลูกชายคนเล็กนิ่งก่อนเอ่ย
“พูดต่อเถอะ”
สาวน้อยเม้มปาก มือทั้งสองชื้นไปด้วยเหงื่อ
“ตอนนั้นคุณสองเมาแล้วค่ะ หนูเลยขอตัวไปนอนเพราะดึกมากแล้ว แต่คุณสองไม่ยอม” หญิงสาวหลุบตาลง ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดที่เขาพูดกับหล่อนให้เจ็บช้ำน้ำใจออกมา “อรเลยตัดสินใจกลับขึ้นห้อง คุณสองคงโกรธ”
“แล้วเรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหน” คุณมาริสาเอ่ยถาม พลางมองลูกชายที่มีทีท่าไม่พอใจชัดเจน ท่านรู้ว่าลูกชายไม่เคยชอบหน้าสองพี่น้องคู่นี้ เจอหน้าอรจิราเมื่อไรคงไคยเป็นต้องแกล้ง ท่านจึงพยายามให้ทั้งสองอยู่ห่างกันเอาไว้แต่ก็ยังพลาดจนได้
อรจิราขบเม้มริมฝีปากเอาไว้ ทั้งอับอายและเสียใจ
“อร...อรไม่ทราบค่ะ”
คำตอบของเด็กสาวทำให้ทุกคนนิ่งงัน ขณะที่คงไคยกระตุกยิ้มด้วยความรู้สึกสมเพช
“หนูจะบอกแม่ว่าหนูไม่รู้ว่าพี่สองเข้าไปอยู่ในห้องกับหนูได้ยังไงใช่ไหม”
คำถามของท่านทำให้หญิงสาวก้มหน้าลงอย่างอับอายพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ทำให้คุณมาริสาและบุตรชายคนโตถึงกับถอนหายใจออกมา
“จริงไหมสอง ที่บังคับให้อรชงเหล้าให้”
คำก็น้องสองคำก็น้อง เขาไม่เคยมีน้องสักหน่อย เวลานั้นเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ดวงตาคมใหญ่จึงวาววับยามมองไปยังอรจิรา
“จริงครับ ก็แค่ชงเหล้า” เขาเถียงข้างๆ คูๆ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” คุณมาริสายังซักถาม “ทำไมถึงเข้าไปอยู่ในห้องของอรได้”
คงไคยตวัดสายตามองไปยังสองพี่น้อง เขายังปักใจเชื่อว่าคนที่ทำให้เกิดเรื่องนี้หากไม่ใช่อรจิราก็ต้องเป็นพรทิพาแน่นอน เพราะภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือตอนที่เขาคิดว่าจะดื่มอีกแก้วแล้วกลับขึ้นห้อง ก่อนฟุบลงกับเคาน์เตอร์ แต่สติของเขาเพียงพร่าเบลอจึงยังรับรู้ได้ว่ามีใครสักคนบอกกับเขาว่าจะพาไปส่งที่ห้อง แต่สิ่งสุดท้ายที่รับรู้ก็คือเขาล้มตัวลงบนเตียงนุ่มแล้วสติก็ดับลงไปนับตั้งแต่ตอนนั้น มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกรุมล้อมในเช้าของวันใหม่
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวกับเหตุการณ์ในอดีต เป็นเวลาเดียวกับที่คารมซอยเท้าลงมาจากชั้นบน ร่างสูงสันทัดชะลอฝีเท้าเมื่อเห็นน้องชายยังคงนั่งเอ้อระเหยอยู่หน้าเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม
“นอนไม่หลับใช่ไหม”
คงไคยหันไปมองเจ้าของเสียง ใบหน้าคมคายเจือยิ้มอ่อน
“ครับ”
คนเป็นพี่ก้าวมาหยุดลงตรงหน้าคนที่นั่งบนเก้าอี้ทรงสูง เขาสำรวจน้องชายด้วยสายตาชื่นชม จากเด็กหนุ่มที่มุทะลุได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เคร่งขรึม แต่น้องก็ยังคงเป็นน้องเสมอ
“คิดอะไรอยู่” คารมขยับตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกันกับน้องชาย ฝ่ายนั้นยกแก้วเป็นเชิงชวนพี่ชายดื่ม ทว่าคารมกลับส่ายหน้าเบาๆ คงไคยจึงยกแก้วขึ้นดื่มก่อนวางลงตามเดิม
“เรื่อยเปื่อย” เขาตอบแกนๆ คนเป็นพี่ยังคงมองน้องชายด้วยสายตาค้นคว้า กระทั่งอีกฝ่ายสบตาตอบ เขาจึงยิ้มให้ “พี่หนึ่งมีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่า”
เขาสบตาพี่ชายอย่างสงสัยในท่าทีของอีกฝ่าย
“ก็ เรื่องเก่าๆ อันที่จริงพี่ไม่อยากจะพูดให้นายรู้สึกแย่อีก แต่แค่อยากจะบอกให้นายสบายใจ”
คนฟังขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะผ่อนคลายสีหน้าของตนเองลงเมื่อพี่ชายทำท่าราวอ้ำอึ้ง
“บอกมาเถอะครับ”
“ฉันกลัวนายหงุดหงิดจนลุกขึ้นมาต่อยน่ะสิ”
คำพูดของพี่ชายทำให้คนฟังหัวเราะพรืดพลางส่ายหัวเบาๆ
“ผมไม่ใช่เด็กอารมณ์ร้อนเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ แก่ๆ กันแล้ว” เขายอมรับว่าเมื่ออายุมากขึ้นอารมณ์จึงไม่ได้อยู่เหนือเหตุผลอีกต่อไป
คนฟังพยักหน้า รู้สึกเบาใจลงเล็กน้อยก่อนบอก
“อรไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ถ้านายกำลังคิดเรื่องนี้อยู่พี่ก็อยากให้สบายใจ”
คิ้วสีเข้มที่เรียงเป็นระเบียบน่าดูย่นเข้าหากันก่อนจะคลายออกตามเดิม แล้วหันไปดื่มวิสกี้อีกครั้งราวจะไม่ใส่ใจเรื่องที่เพิ่งรับรู้ โดยเฉพาะแววตาที่ราบเรียบจนคนเป็นพี่อ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“นายไม่ถามเหรอว่าอรออกไปจากที่นี่ตอนไหน”
คนเป็นน้องสบตาคนถามนิ่ง พี่เขาต้องการอะไรถึงได้มานั่งตั้งคำถามถึงผู้หญิงที่เขาไม่อยากได้ยินชื่อมากที่สุดขึ้นมาอีก
“ทำไมผมถึงจะต้องอยากรู้เรื่องของคนที่ผมไม่อยากแม้แต่จะได้ยินชื่อล่ะ”
คำถามของน้องชายทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับนิ่งงันลงไป
“ก็จริงของนายนะ” เขาเปรยพลางสบตาคงไคยนิ่งอยู่อึดใจ “พี่ไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน”
คารมลุกขึ้นยืน พลางยกมือขึ้นตบไหล่น้องชายเบาๆ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะน้องชาย”
คงไคยยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อพี่ชายกล่าวและเดินจากไป พลางหลุบตามองน้ำสีอำพันจากแก้วที่อยู่ในมือของตนเองด้วยแววตาไร้จุดหมายที่แน่นอน แต่ในใจนึกก่นด่าคารมอยู่เหมือนกัน
มาเกริ่นให้อยากรู้แล้วมันก็หนีขึ้นห้อง ให้มันได้อย่างนี้สิ
ชายหนุ่มส่ายหัวพลางบอกกับตัวเองว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องไปรับรู้เรื่องราวของอรจิราอีกต่อไป ป่านนี้คงมีลูกมีผัวไปแล้วกระมัง ตอนเกิดเรื่องนั้นเขาอายุเพียงยี่สิบห้า หล่อนสิบแปด ตอนนี้เขาสามสิบห้าหล่อนก็ยี่สิบแปดปีเข้าไปแล้ว คงไม่ปล่อยให้ตัวเองเหี่ยวแห้งจนหยากไย่เกาะเพราะรอเขาเพียงคนเดียวหรอกกระมัง...