Episode 1 เปิดตัว
ผ่านมา 2 สัปดาห์แล้วหลังจากซีรีส์เรื่อง ‘หนามกุหลาบ’ ออนแอร์ให้คนทางบ้านได้รับชม ซึ่งตอนนี้ก็ออนแอร์ไป 4 ตอนแล้ว โดยมีนักแสดงหญิงชื่อว่า พรีม พิมพิษา ที่ก่อนหน้านี้เข้าวงการบันเทิงมาด้วยอาชีพนางแบบพึ่งผันตัวมาเป็นนักแสดงได้ไม่นานซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไปได้ดี เมื่อเธอจับงานแสดงงานไหน เรื่องนั้นก็ถือว่าเรตติ้งพุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่เลยดีเดียว คนในวงการต่างก็ให้เธอเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุดแต่ก็อย่างว่าแหละหนา ชีวิตก็คือชีวิต คนเรามีขึ้นมีลง มีวันรุ่งก็ต้องมีวันดับ ยิ่งเธอดังมากเท่าไหร่ยิ่งมีคนให้ความสนใจมากเท่านั้น มีคนรักมากก็ต้องมีคนเกลียดมาก อย่างเช่นสถานการณ์ตอนนี้
“พรีมไม่มีอะไรต้องพูดเลยค่ะ เรื่องในข่าวมันไม่ใช่ความจริง”
พรีมเอ่ยขึ้นต่อหน้าประธานต้นสังกัดโดยมีผู้จัดการที่นั่งคาดคั้นเธออยู่ ในที่นี้ทุกคนต่างก็เคร่งเครียดเมื่ออยู่ ๆ ก็มีข่าวเกาเหลาระหว่างนักแสดงเกิดขึ้น ซีรีส์ที่พึ่งออนแอร์ไปยังไม่ถึงครึ่งเรื่อง ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
พรีมก้มอ่านหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าวเรื่องของเธออยู่ซ้ำ ๆ เธอเองก็งงไม่น้อยว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ยังไง? ...
‘จบเส้นทางดาว นักแสดงหน้าใหม่ตัวย่อ พ. เกาเหลากับนักแสดงรุ่นพี่รุ่นใหญ่ ดาวที่พึ่งสว่างไสวกำลังจะตกหรือเปล่านะ??’
นี่คือประโยคพาดหัวข่าวยิ่งเธออ่านมันยิ่งให้ความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี...
ขำที่ว่าทุกอย่างมันไม่ใช่ความจริง เธอไม่ได้สนิทกับคนที่เป็นข่าวนั้นด้วยซ้ำ อาจจะเคยร่วมงานกันบ้างแต่ไม่ได้สนิทถึงกับคุยกันเรื่องส่วนตัวให้กันฟัง ไม่ได้สนิทแล้วจะทะเลาะกันได้ยังไง
อยากจะร้องไห้กับข่าวก็เป็นเพราะห่วงคนรอบข้าง ทั้งบริษัท ซีรี่ส์ อีกทั้งงานที่เธอรับเป็นพรีเซนเตอร์อีกหลาย ๆ ตัว ‘นี่สินะ วงการบันเทิง’
“พูร์ว่าเราควรจัดแถลงนะคะ ตอนนี้น้องพรีมกำลังรุ่งในวงการเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนคอยจับผิดเธอ”
“แต่นี่ไม่ใช่ข่าวครั้งแรก เธอดูแลกันยังไงให้มีข่าวปวดหัวไม่เว้นแต่ละวันแบบนี้”
ประธานต้นสังกัดพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ใช่! เข้าใจไม่ผิด นี่ไม่ใช่ข่าวแรกของเธอ เพราะพรีมนั้นมีฉายาว่า “เจ้าแม่ข่าวฉาว” มักจะมีมาข่าวให้เธอปวดหัวตลอดแก้ข่าวนี้เสร็จข่าวใหม่ก็มาอีกแล้ว ซึ่งที่เป็นมาทั้งหมดไม่มีความจริงเลยสักข่าว เป็นแบบนี้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องคอยแก้ปัญหาอะไรแบบนี้อยู่ซ้ำ มันน่าเบื่อ ถึงแม้พรีมเองจะรู้คนปั่นกระแสแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคนนั้นเป็นพ่อเธอเอง
@สนามยิงปืน
ปัง!!
เสียงปืนดังลั่นลูกกระสุนเคลื่อนไหวเข้าทะลุเป้าตรงกลางพอดี ควันสีขาวออกจากปลายกระบอกปืนสั้นของคาลวิน
“ฟู่ว~”
ชายหนุ่มเป่าควันออกจากปลายกระบอกปืนก่อนจะหันไปมองเควินพี่ชายของตัวเองที่นั่งเช็ดปืนอย่างพิถีพิถันพร้อมยักคิ้วใส่อย่างเหนือกว่า เขาวางปืนเงาขลับลงแล้วถอดแว่นตากันกระสุนไว้โต๊ะข้างหน้าก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ พี่ชาย
วันนี้เป็นวันหยุดที่สองพี่น้องจะมาเจอกันตามนัดหมาย ถึงแม้เควินจะเป็นพี่ชายแต่คาลวินก็เรียกและพูดจาเหมือนเพื่อนกันตลอดเพราะทั้งสองโตมาด้วยกัน ทะเลาะกันบ่อยครั้ง ตีต่อยกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ
เรียกได้ว่าทั้งสองพึ่งตัวห่างกันแบบจริงจังก็ตอนที่คาลวินออกไปทำงานนอกบ้านคือ...คาลวินทำอาชีพทนาย ทั้ง ๆ ที่บ้านก็มีธุรกิจใหญ่โตเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนเควินได้รับตำแหน่งประธานบริษัทเพราะไอ้น้องชายตัวดีนั้นยื่นคำขาดว่า ‘จะไม่ยุ่งกับงานบริษัท มันน่าเบื่อ’
ทั้งที่คนเป็นพ่ออยากดึงตัวคาลวินมาช่วยดูแลบริษัทเพราะนิสัยห่าม ๆ ไม่กลัวใครของเขานั้นเหมาะกับงานธุรกิจเหลือเกิน ก็อย่างที่บอกธุรกิจของครอบครัวคือธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ใสสะอาด แต่ว่าทุกอย่างมีการแข่งขัน ธุรกิจพึ่งการตลาดถึงแม้ภายในบริษัทจะใสสะอาดทว่าการบริหารเบื้องหลังของเควินไม่เคยใสสะอาดเรื่องนี้คนในครอบครัวรู้ดี โดยเฉพาะคาลวินเขารู้ทุกอย่างว่าเควินจัดการหนอนบ่อนไส้ได้ดีอย่างไม่น่าผิดหวัง
เควินไม่เคยไปทำใครก่อนแต่ถ้าใครกล้าเปิดเกมโปรดจงรู้ไว้ว่าแม้แต่ศพก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะเขาจะบดให้เหลือแต่เศษเนื้อมากไปกว่านั้นคือมีแต่ผงเถ้า
“งานมึงเป็นไงบ้าง?” เควินเอ่ยถาม
“ก็ดี...ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่”
คำตอบที่ย้อนแย้งทำเอาคิ้วหนาขมวดเป็นปม คาลวินไหวไหล่ไปหนึ่งทีเพื่อย้ำว่า เขาตอบถูกแล้ว เควินวางปืนที่ตนเช็ดมาแสนนานลงก่อนจะหันหน้าไปมองน้องชายตัวเองอย่างเหนื่อยใจ มีอะไรอยากจะพูดเป็นล้าน ๆ เรื่อง แต่ก็พูดออกไปไม่ได้เพราะคาลวินเกลียดที่จะฟังเรื่องพวกนี้ จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเมื่อมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
“เฮ้ออ”
ทันทีที่เปิดดู เควินก็ถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มีเรื่องให้เขาต้องปวดหัวอีกแล้วสินะ
“ชอบหรอ?”
เจ้าน้องชายชะโงกหน้าไปดูจอโทรศัพท์ของพี่ชายอย่างสอดรู้ก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเควินกำลังอ่านข่าวบันเทิงของนักแสดงสาวที่กำลังเกาเหลากับนักแสดงรุ่นพี่ ซึ่งถือว่าข่าวนี้มาแรงไม่น้อย เดินไปทางไหนก็มีแต่ข่าวนี้ตลอด คาลวินกระตุกยิ้มชอบใจ
“เปล่า แค่เป็นห่วง” เควินตอบกลับเสียงนิ่ง
“เหอะ เป็นห่วงคนอื่นเป็นด้วยหรอ?”
“กูไม่ใช่มึง! คนที่คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองอย่างมึงจะไปมีความรู้สึกได้ไง”
“หรอ ไม่ใช่ว่ามึงแอบชอบยัยดารานั้น?”
“.....”
“ก็สวยดีนะแต่ไม่เข้ากับมึงเท่าไหร่” ยื่นหน้าเข้าไปดูอีกครั้งก่อนจะหันมามองเควิน
“กูดูว่างมากที่จะไปแอบชอบคนอื่นรึไง?”
“เรื่องผู้หญิงมึงเคยขาดที่ไหน”
“พ่อฝากมาย้ำมึง....ท่านยังรอมึงอยู่”
เควินเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่อง ทำเอาสีหน้าของคาลวินเปลี่ยนทันที
“งั้นก็ฝากไปย้ำพ่อด้วยว่า ไม่ มี ทาง!”
คาลวินว่าน้ำเสียงหนักแน่น ซึ่งเป็นคำตอบที่เควินรู้อยู่เต็มอก ถ้าคาลวินมาช่วยงานบริษัทก็ถือเป็นเรื่องดีไม่น้อยแต่ก็คงต้องทำใจในเมื่อเจ้าตัวยืนกรางพูดคำเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเขารู้ว่าน้องชายคนนี้เป็นคนยังไง เด็ดขาด รอบคอบ มีเหตุผล โหดเหี้ยม จิตใจอำมหิต ฆ่าคือฆ่า รอดก็ถือว่ามีบุญ พูดคำไหนคำนั้น หากจะเทียบสำหรับความเหมาะสม แน่นอนว่าคาลวินเหมาะสมที่จะมาทำงานเบื้องหลังบริษัทมากกว่าเควิน ถึงแม้ทั้งสองจะมีนิสัยที่เด็ดขาดเหมือนกันแต่ถ้าให้เทียบความโหดเหี้ยมแล้วคาลวินนั้นชนะขาดลอย
เควิน = โกรธแค่ไหน เกลียดแค่ไหนจะไม่ยอมเอามือตัวเองไปเปื้อนเลือด
คาลวิน = ถ้าทำผิดถึงจะเปื้อนเลือดไปทั้งตัวเขาก็ยอม
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม พ่อ และเควินถึงอยากให้คาลวินกลับมาทำงานที่บริษัทนักหนา ถึงแม้เควินจะทำได้ดีว่าก็ตามแต่สองหัว มันก็ดีกว่าหนึ่งหัวไม่ใช่หรอ??