เสียงนาฬิกาปลุกดังตั้งแต่ตีสี่ แต่ลินาตื่นมาก่อนหน้านั้นนานแล้ว
เธอแต่งตัวเรียบง่ายในเสื้อกันหนาวสีครีม ผ้าพันคอถักฝีมือแม่ และกระเป๋าเดินทางสีเงินที่ลากออกมาจากห้องเช่า
อากาศยามเช้าของกรุงเทพฯ เย็นเล็กน้อย แต่หัวใจเธอร้อนรุ่มด้วยความตื่นเต้น
สนามบินสุวรรณภูมิเต็มไปด้วยผู้โดยสารที่เร่งเดินไปตามเกต เสียงประกาศเที่ยวบินเป็นระยะดังผสมกับเสียงล้อกระเป๋าลากครืดคราด
ลินามองไปรอบ ๆ อย่างรู้สึกว่าตัวเองเล็กลงท่ามกลางความกว้างใหญ่ของที่นี่
พ่อกับแม่มายืนรอส่ง พร้อมถุงขนมไทยที่แม่ยัดใส่มาให้เต็ม“เอาไว้กินยามคิดถึงบ้าน” แม่บอก พร้อมลูบแก้มลูกสาวอย่างอ่อนโยน
เพื่อนสนิทอย่างมิลานก็มาโบกมือยิ้มกว้าง พูดแซวว่า “อย่าลืมส่งรูปหนุ่มฝรั่งเศสหล่อ ๆ มาด้วย”
“รู้แล้วน่า” ลินาหัวเราะทั้งน้ำตา พยายามจดจำทุกใบหน้า ทุกคำพูด ทุกสัมผัสก่อนต้องห่างกัน
เมื่อเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องดัง ลินาโบกมือลาอีกครั้ง น้ำตาซึมแต่รอยยิ้มกลับชัดเจนกว่าเดิม
หัวใจเธอรู้ว่าต่อให้คิดถึงบ้านแค่ไหน วันนี้คือวันที่ต้องเดินไปข้างหน้า
บนเครื่องบิน
เธอนั่งริมหน้าต่าง มองทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ
เมื่อเครื่องทะยานขึ้นเหนือเมฆ ท้องฟ้ากลายเป็นผืนสีฟ้าอ่อน แสงแดดสาดเข้ามาแตะใบหน้าจนรู้สึกอุ่น
ภาพนั้นทำให้หัวใจเธอพองโตความฝันที่เธอเฝ้ารอมานาน กำลังใกล้เข้ามาทีละนิด
ลินาหลับตา นึกภาพตัวเองเดินริมแม่น้ำแซน กล้องคล้องคอ แสงอาทิตย์ตกดินสีทองสะท้อนผิวน้ำ
เธอเห็นตัวเองนั่งในคาเฟ่เล็ก ๆ มุมถนน จิบโกโก้ร้อนจากแก้วเซรามิก ขณะมองผู้คนเดินผ่านไปมาในฤดูหนาว
แต่แล้ว…ความคิดอีกด้านก็แทรกเข้ามาอย่างเงียบงัน
ถ้าล้มเหลวล่ะ? ถ้าทำผลงานไม่ได้ดี? ถ้าภาษาเป็นอุปสรรค?
คำถามเหล่านี้เหมือนเมฆสีเทาที่ลอยมาบดบังแสงแดดในใจเธอ
เธอสูดลมหายใจลึก มองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง
เมฆสีขาวยังลอยอยู่ แสงแดดยังคงส่องเหมือนเดิมมันเตือนให้เธอรู้ว่าทุกการเดินทางมีทั้งวันที่ฟ้าใสและวันที่มีเมฆหม่น
ลินายิ้มบาง ๆ กับตัวเอง และบอกในใจว่า
“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง…อย่างน้อยเราก็ได้เริ่มต้น”
เธอเอนตัวพิงเบาะ หลับตาลงด้วยความเชื่อมั่นเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ เติบโตในหัวใจ