
แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านผ้าม่านเก่า ๆ ของห้องเช่าขนาดเล็กในกรุงเทพฯ ลินานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ตัวตรงเหมือนกลัวว่าถ้าขยับแรงไปหน่อย ซองจดหมายในมือจะหายไปต่อหน้าต่อตา
ซองกระดาษสีขาวขุ่น ประทับตราสีทองของมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ดวงตาของเธอไล่ไปตามตัวอักษรอย่างช้า ๆ ราวกับต้องการจดจำทุกตัวอักษรในหัวใจ
“เรามีความยินดีที่จะมอบทุนเต็มจำนวน… สำหรับการศึกษาในสาขาศิลปะการถ่ายภาพ ณ กรุงปารีส”
ประโยคนั้นเหมือนทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเต้นแรงกว่าเดิม
มือที่จับซองจดหมายสั่นเล็กน้อย ความตื้นตันแล่นขึ้นมาจุกคอ น้ำตาร้อน ๆ เอ่อคลอโดยไม่ทันตั้งตัว
ตั้งแต่เด็ก ลินาฝันอยากเรียนถ่ายภาพในต่างประเทศ เธอเคยแอบจดรูปเมืองปารีสลงในสมุดบันทึกเก่า ๆ วาดหอไอเฟลด้วยดินสอดำเลอะเทอะ บอกกับตัวเองว่าซักวัน…จะไปให้ถึง
และวันนี้…ความฝันนั้นกลายเป็นจริง
เธอคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเบอร์บ้านต่างจังหวัด เสียงรอสายดังเพียงสองครั้งก็มีเสียงคุ้นเคยรับ
“ฮัลโหล…ลินาเหรอลูก?” เสียงแม่มาอย่างอ่อนโยน
“แม่… ลินาได้ทุนแล้วนะ…ทุนเต็มด้วย” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย
ปลายสายเงียบไปเสี้ยววินาที ก่อนจะมีเสียงอุทานของแม่ดังขึ้น “จริงเหรอลูก! แม่บอกแล้วว่าลูกทำได้”
เสียงพ่อดังแทรกมา “ขอคุยหน่อย แม่แย่งหมดแล้ว”
ลินาหัวเราะทั้งน้ำตา “พ่อ…หนูจะได้ไปปารีสแล้วนะ”
“เก่งมากลูก” เสียงพ่อฟังดูภูมิใจจนหัวใจเธออุ่นวาบ “แต่ก็ต้องดูแลตัวเองนะ เมืองนอกเมืองนา มันไม่เหมือนบ้านเรา”
“หนูรู้ค่ะพ่อ แม่ก็ไม่ต้องห่วงนะ หนูจะโทรหาทุกวันเลย”
แม่หัวเราะในสาย “อย่าทุกวันเลย เดี๋ยวค่าโทรแพง แค่ส่งรูปมาให้แม่ดูก็พอ…ขอให้เป็นรูปที่หนูยิ้มเหมือนวันนี้นะ”
คำพูดนั้นทำให้ลินากัดริมฝีปากแน่น เพื่อไม่ให้เสียงสั่นจนพูดต่อไม่ได้ เธอรู้ดีว่าเบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพ่อแม่มีทั้งความคิดถึงและความกังวลซ่อนอยู่ แต่พวกท่านก็เลือกที่จะให้กำลังใจแทนคำห้าม
“หนูสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุดนะคะ” เธอพูดด้วยเสียงมั่นคง
“ไปเถอะลูก ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่ฝันของลูกจะพาไป” พ่อพูดปิดท้าย ก่อนวางสายอย่างอ่อนโยน
ลินาวางโทรศัพท์ลง หัวใจเต็มไปด้วยพลังแปลกประหลาด มันคือทั้งความสุข ความตื่นเต้น และแรงผลักดันที่ทำให้เธออยากออกเดินทางทันที
วันนี้…เธอไม่ใช่แค่เด็กหญิงที่นั่งวาดรูปหอไอเฟลในสมุดบันทึกเก่าอีกต่อไป
แต่เป็นผู้หญิงที่จะเดินเข้าไปในโลกนั้นด้วยสองเท้าของตัวเอง

