ตลอดเส้นทางของการหลบหนีจากคุกสูงชัน หวงหมิงแบกเยี่ยจื้อหลงไว้บนบ่าข้างหนึ่ง
ปลายโซ่ถูกตวัดรัดหลักยึดที่มองหาได้ในปราดเดียว ปลายเท้าเตะส่งตัวคนทั้งสองเหวี่ยงไปพร้อมโซ่เหล็กไหล ทุกทิศทางที่โรยตัวเกิดขึ้นอย่างฉับไวแม่นยำ โซ่นี้ดีมาก หากเป็นโซ่ธรรมดาคงขาดสะบั้นนานแล้ว
เสียงโซ่กระทบต้นเสาที่รัดรึงและลากถูพื้นหินกรวดดังเสียดหูไปตามทาง ส่งผลให้กลุ่มทหารวิ่งตามเป็นพรวน ขบวนทัพจับทิศทางได้แม่นยำไม่มีพลาดสักก้าว
หวงหมิงเห็นเช่นนั้นก็เร่งส่งตัวจนพ้นกำแพงสูงให้เร็วยิ่งขึ้น ครั้นฝ่าเท้าแตะพื้นดินนอกคุกมืดอันเหี้ยมโหด เยี่ยจื้อหลงที่กลายร่างเป็นหุ่นฟางจึงได้จังหวะลงมายืนเอง เขารีบดึงผ้าคลุมมาผูกกับลำคอของหวงหมิง หมายปกปิดท่อนบนที่เปล่าเปลือยเต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัวจนมิด
“เลือดเจ้าออกเยอะมาก”
“กระหม่อมไม่เป็นไร”
“แต่...” เยี่ยจื้อหลงมีทักษะรักษาจึงเอ่ยอย่างห่วงใย “ให้ข้าห้ามเลือด...”
“ไม่จำเป็น” หวงหมิงสั่งเสียงขรึม “รีบไป!”
หวงหมิงแตะไหล่รัชทายาทหนุ่มให้ออกตัววิ่งนำหน้า ส่วนตัวเองวิ่งคุมเชิงและคุ้มกันด้านหลัง กลุ่มทหารต้าไห่ยังคงไล่ล่าไม่หยุดยั้ง ทุกครั้งที่มีคนพยายามจับปลายโซ่ มันกลับคล้ายงูดิ้นหนีอย่างไรอย่างนั้น พวกเขาจึงใช้วิธีสกัดด้วยมีดดาบพุ่งใส่ ทหารนอกวิถีโซ่เหล็กไหลรีบยิงธนูใส่ไม่ยั้ง
ทั้งหมดต่างโรมรันด้วยการสะบัดมีดสั้นคมกริชและยิงธนูใส่หวงหมิงอย่างบ้าคลั่ง
ทว่าน่าเสียดาย ที่เสื้อคลุมกลับมิใช่เสื้อคลุมอีกต่อไป เพียงหวงหมิงสะบัดผ้าสีดำที่ลำคอตนนั้น มันพลันกลายเป็นโล่กำบังที่แม่นยำและคืนอาวุธสาดใส่ผู้คนไปเสียได้
สุดท้าย กำแพงชีวิตของนักโทษหลบหนีก็บังเกิด เมื่อเส้นสายปลายทางของเยี่ยจื้อหลงกับหวงหมิงตรงหน้าเป็นหน้าผา เบื้องล่างแม้ไม่ลึกจนยากหยั่งถึงก้นบึ้งแต่กลับไม่มีน้ำสักหยด มีแต่หินขรุขระแหลมคม หมดสิ้นหนทางหนี คำว่ากำแพงชีวิตไม่เกินไปจริงๆ เพราะมิอาจไปต่อได้อีก
“ว่ะฮ่าๆ เสร็จข้าล่ะ” มือสังหารในชุดเกราะผู้หนึ่งพากองกำลังของตนวิ่งตามมาจนทัน เขาหยุดยืนและหัวเราะเย้ยหยันเสียงห้าว “ต่อให้มีปีกก็หนีไม่รอด”
หวงหมิงสีหน้าเยียบเย็น “เข้ามา...”
เสื้อคลุมสีดำโบกสะบัดกลมกลืนกับเส้นผมสีดำที่สยายเต็มแผ่นหลัง ท่ามกลางสายลมโชยแรงเหนือหน้าผา บุรุษตัวใหญ่ยืนเบื้องหน้าว่าที่จักรพรรดิของเขา
แม้เลือดท่วมกายแต่ท่วงท่าทระนงองอาจปานนั้น ไหล่กว้าง อกผาย เพียงยืนหยัดนิ่งๆ อย่างเย็นชา ทุกส่วนคล้ายกำจายกลิ่นอายมรณะออกมาได้อย่างน่ากลัว
หวงหมิงคือนักรบปีศาจผู้ปกป้องเทพมังกรของตน
ทหารต้าไห่ถึงกับชะงักเล็กน้อยกับภาพน่าพรั่นพรึง อีกฝ่ายเสมือนเทพเจ้าแห่งความตายในตำนานโดยแท้
แต่เพียงครู่ก็เหยียดยิ้ม สืบเท้ารุกคืบ อาวุธครบมือ ครั้นปิดหนทางหนีของศัตรูจนสิ้นก็รุกฆาตทันที
“ย๊า...”
ขณะที่เสียงฮึกเหิมของทหารต้าไห่ดังลั่นเซ็งแซ่ หวงหมิงเพียงเค้นพลังปราณสะบัดโซ่เหล็กไปทางฝั่งหนึ่ง ฟาดใส่ศัตรูไม่ยั้ง ทหารพลันล้มระเนระนาดเสียกระบวนทัพจนเปิดทางในเสี้ยวเวลา
ทว่ายังไม่หมด ทหารกลุ่มใหญ่พุ่งตัวเหิมเกริมประชิดเข้ามาแทนที่ได้ทันท่วงที
“ล่วงเกินแล้ว”
สิ้นเสียง หวงหมิงจับสาบเสื้อคอเยี่ยจื้อหลงกระโดดม้วนตัวข้ามหัวทหารต้าไห่แล้วลงมายืนขวางเบื้องหน้า สะบัดโซ่ตรวนปิดกั้น มิยอมให้ทหารออกจากหน้าผาไล่ตามรัชทายาทของตน
ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้รัชทายาททางสายตา “ไป!”
เยี่ยจื้อหลงเวลานี้ย่อมรู้ว่าไม่ควรทำตัวเป็นภาระ ทางหนีชั่วแล่นที่ถูกเปิดนี้มีเวลาแค่เสี้ยวลมหายใจ จึงรีบหมุนตัววิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต
ครั้นหันหลังกลับไปมองอีกครั้งก็เห็นหวงหมิงกำลังใช้โซ่เป็นอาวุธสังหาร จนเหล่าทหารต้าไห่ร่วงลงสู่ก้นผาราวสายมุกขาดสะบั้น
นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องการล่อพวกต้าไห่มาที่นี่ แล้วใช้หน้าผาสูงชันนั้นช่วยขจัดศัตรู!
หวงหมิงมีแผนการรบที่ปราดเปรื่องและน่าทึ่งเสมอ รัชทายาทให้รู้สึกสบายใจจึงวิ่งต่อไปไม่หยุดเท้า
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองวิ่งมานานเท่าใด เบื้องหน้าสายตาของเขาในที่สุดก็เห็นชายป่า พลันเห็นคนชุดดำยืนอยู่หลังพุ่มไม้สี่คน
คนผู้หนึ่งตรงนั้นรีบเปิดผ้าคลุมหน้าสีดำออก
จงซานโหว!
รัชทายาทหนุ่มเรียกขานนามคนคุ้นเคยในใจ รีบวิ่งเข้าไปในกลุ่มคนนั้นทันที
“ถวายบังคมรัชทายาท” ทุกคนรีบทำความเคารพ
“ไม่ต้องมากพิธี” เยี่ยจื้อหลงหายใจหอบเหนื่อย “เหตุใดมีกันเท่านี้ ไฉนไม่พาคนมามากหน่อยเล่า”
จงซานโหวรีบตอบ “พวกเราทำได้แค่ปลอมตัวเข้ามาจึงมิอาจกระทำการเอิกเกริกพาคนมาเยอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ทุกอย่างเป็นแผนการของหวงหมิงกระมัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” จงซานโหวปิดผ้าคลุมหน้าดุจเดิม นำเสื้อผ้าสีดำมาสวมให้เยี่ยจื้อหลง “พวกเราต้องทำตามคำสั่งของหวงหมิงอย่างเคร่งครัด หากชักช้าอาจผิดพลาดได้ ตอนนี้ที่เยี่ยเป่ยกำลังเผชิญคลื่นใต้น้ำที่เริ่มทวีความรุนแรง มีเพียงรัชทายาทที่จะทรงหยุดยั้งคลื่นลมผันผวนนี้ได้ พระองค์ทรงรีบไปขึ้นเรือที่เตรียมไว้โดยไวเถิด พวกเราจะอารักขาพระองค์เอง”
เยี่ยจื้อหลงนึกถึงฝีมือของหวงหมิงพบว่าไม่น่าห่วง จึงพยักหน้า รีบออกตัววิ่งจนกลืนหายไปในป่าทึบทันที
ทางฝั่งหวงหมิง
แม้เขาจะมีฝีมือเก่งกาจชำนาญกลการศึกปานใด แต่สิบเท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง นับประสาอันใดกับนักรบที่อยู่ท่ามกลางคมกระบี่ไร้ตา
การทะลวงคุกมืดที่แข็งแกร่ง มีการคุ้มกันแน่นหนาและฝ่าด่านเข้าไปถึงคุกชั้นในนั้นไม่ง่าย ทั้งยังถูกคุมขัง กระทั่งถูกทรมานหลายวัน
กว่าจะได้พบหน้าองค์รัชทายาทตามแผนการนั้น ทำเอาหวงหมิงสูญสิ้นกำลังวังชาไปมากโข อาการบาดเจ็บที่กลืนกินยามนี้เรียกว่าสาหัสพอควร
หลังจากล่อลวงกลุ่มมือสังหารและทหารชุดดำให้เพลี่ยงพล้ำตกหน้าผาไปหลายต่อหลายคน แต่สุนัขต้าไห่ยังคงไม่หมดโดยง่าย พวกมันวิ่งกรูเข้ามากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า กลุ่มเก่าตายตกก็มีกลุ่มใหม่พุ่งทะยานเข้ามาแทนที่พริบตา
หวงหมิงจึงวิ่งหนีมาอีกทางซึ่งแน่นอนว่าอยู่ตรงข้ามกับฝั่งที่รัชทายาทหนีหาย
โซ่ตรวนที่ทั้งหนาทั้งหนักซึ่งใช้แทนอาวุธฆ่าคนและใช้แทนโล่กำบัง บัดนี้ขาดวิ่นสั้นกุดไปหมดแล้ว
ชายหนุ่มกัดฟันขบกราม ใบหน้าคมคายเครียดขรึม เขาลอบสบถในใจ
อาวุธของต้าไห่ช่างดีเลิศสมคำร่ำลือ คมกริบยิ่ง
ร่างสูงกำยำวิ่งมาหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อใช้กำบังหมายยื้อเวลาปราชัย หวงหมิงเริ่มรู้ตัวแล้วว่าหนทางชนะเริ่มริบหรี่รำไร เขาเสียเลือดมากเกินไป ไม่มีเวลาฟื้นฟูกำลัง ดวงตาคมปลาบจึงเริ่มพล่าเลือนทีละน้อย
กลุ่มค**ำทะมึนทยอยตามมารุมล้อม ทหารต้าไห่ให้รู้สึกฮึกเหิมลำพองใจยิ่ง แม่ทัพคนหนึ่งกล่าวเสียงหยัน “อย่าเพิ่งตายเล่า ข้าจะแล่เนื้อเถือหนังเจ้าเองกับมือ”
“ฮ่าๆ” กลุ่มคนด้านหลังรับวาจาด้วยการหัวเราะร่า
คนหนึ่งหันไปส่งสัญญาณบางอย่างทางท้องฟ้า พลุถูกจุดส่งแสงสว่างวาบ ความหมายคือพิชิตศัตรูได้แล้ว ไม่นานก็มีสัญญาณตอบกลับมา
นี่คือข่าวดีที่สุดในใต้หล้าสำหรับชาวต้าไห่
หวงหมิงแค่นยิ้มเย็นชา ท่าทางของเขาสุขุมเยือกเย็น หาได้นำพาต่อการข่มขวัญ
อย่างไรเสียการตายอนาถกลางสมรภูมิรบยังดีกว่าตายสงบในคุกมืด
เขามาที่นี่ก็เพียงให้รัชทายาทได้กลับออกไปทำสิ่งที่ควรทำเท่านั้น
เพื่อเยี่ยเป่ย หลังจากนี้จะตายย่อมไม่เสียดาย
จังหวะที่ภยันตรายจากศัตรูกำลังคืบคลานทีละนิด กลุ่มมือสังหารหมายเอาชีวิต ตรงหน้าหวงหมิงพลันมีเสียงสิ่งหนึ่งตกกระแทกพื้นดินดังตุ้บ เมื่อหรี่ตามองกลับเห็นเป็นซาลาเปาขาวนุ่มก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเสมือนหล่นมาจากฟ้า
ซาลาเปาก้อนนี้คือสตรีตัวขาว ทั้งร่างเปลือยเปล่า
นางไม่ใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว...
ผืนพิภพไร้เมตตา
ทว่าฟ้ากลับยื่นไมตรี
ส่งซาลาเปาขาวนุ่มชวนร้อนรุ่มผู้นี้
สตรีซึ่งไม่มีดีอันใดให้รื่นรมย์