เวลาในห้องขังถูกปล่อยร้างให้ว่างเปล่า
เพียงไม่นาน องค์รัชทายาทเยี่ยเป่ยก็ถูกทหารต้าไห่นำตัวเข้ามา สภาพแลดูอิดโรยยิ่งนัก
เสื้อผ้าสีขาวพิสุทธิ์สูงส่งที่สวมบัดนี้เปื้อนฝุ่นดินจนสกปรกขมุกขมัว ใบหน้าอันหล่อเหลาสะอาดสะอ้านกลับมอมแมมหมดความสง่างามสูงศักดิ์ไปมากโข
เยี่ยจื้อหลงปีนี้อายุเพียงสิบห้าย่างสิบหกปีเท่านั้น เขาเป็นหนุ่มน้อยรูปงาม สุภาพอ่อนโยน รักการเขียน ชอบอ่านตำราปราชญ์และช่ำชองศาสตร์การปกครอง
แม้สุขุมลุ่มลึกและปราดเปรื่องมองการณ์ไกลได้อย่างเฉียบคมและหลักแหลม ทว่าไม่ถนัดจับอาวุธของมีคมหรือการฆ่าฟันอันดิบเถื่อน การเพลี่ยงพล้ำจนถูกจับมาเป็นตัวประกันเพื่อใช้ต่อรองเช่นนี้จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดจนเกินไป
ในเมื่อองค์ชายใหญ่แห่งต้าไห่นั้นทั้งเจ้าเล่ห์เพทุบายและเจ้าแผนการเป็นที่สุด
ย้อนกลับไปในอดีต เยี่ยเป่ยและต้าไห่ล้วนมีไมตรี หลายสิบปีมีสัญญาพันธมิตรผูกพัน ครั้นสิ้นอดีตฮ่องเต้ต้าไห่อย่างกะทันหันคลุมเครือ เหรินจงที่ทะเยอทะยานก็ขึ้นมาผงาดกล้า กระทำการล้ำหน้าข้ามเส้นมิหยุดหย่อนว่างเว้น แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเห็นดีเห็นงาม ไม่เคยทัดทาน
“เราจะให้รัชทายาทได้สนทนากับผู้แซ่หวงสักครั้ง จงเลือกเอาว่าจะเจรจาหรือสั่งเสีย” เหรินจงเดินมาตบบ่าของเยี่ยจื้อหลงเบาๆ ก่อนบีบไว้แน่นอย่างต้องการข่มขู่
“หากรัชทายาทยอมโน้มน้าวให้หวงหมิงอยู่ที่นี่ดีๆ ย่อมได้กลับไปในสภาพปกติแขนขาครบถ้วน หาไม่! ก็จงกลับไปในสภาพสาหัสพร้อมพิการหรือตายระหว่างทางเถิด ตัวข้าอยากทำศึกใจจะขาด ปรารถนาเห็นชาวบ้านตายยิ่ง”
เรือนร่างสูงเพรียวชะงัก แม้แววตามีความหวาดหวั่น กระนั้นคนกลับไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า ทั้งไม่เอ่ยวาจาใดกับองค์ชายต้าไห่สักคำ เยี่ยจื้อหลงเย่อหยิ่งถือตัวอย่างยิ่ง
เหรินจงเพียงแค่นยิ้มเย็นไม่ถือสา ช่วยมิได้ คนเขาเป็นถึงว่าที่จักรพรรดิเยี่ยเป่ย ย่อมมีลักษณะเช่นนี้
แน่นอนว่ารัชทายาทหนุ่มผู้นี้ไม่นับเป็นอะไรในสายตาของเหรินจง เพราะอีกฝ่ายไร้ฝีมือต่อสู้เชิงยุทธ์ เก่งกาจเรื่องปกครองแต่ไม่เก่งกล้าทางการศึก เขาจะเลี้ยงไว้ให้ช่วยดูแลเยี่ยเป่ยต่อไปหลังจากยึดครองพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ
เช่นนี้ย่อมไม่เสี่ยงการเกิดจลาจลของผู้คนเรือนแสน ไม่ต้องลดตัวลงไปปั้นหน้าจัดการอย่างยากลำบาก
ประชาชนไม่จำเป็นต้องรู้ว่าจักรพรรดิของพวกเขา แท้จริงอยู่ใต้ฝ่าเท้าใคร เพราะผู้ที่จำต้องสมควรรู้อยู่แก่ใจว่าผู้ใดกุมอำนาจใต้หล้าไว้กันแน่ มีเพียงผู้ปกครองเมืองก็พอ
เหรินจงแม้เป็นองค์ชายใหญ่แต่เพราะมารดาเป็นเพียงสนมมิใช่ฮองเฮา การได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จึงเป็นไปไม่ได้ ต้าไห่เคร่งครัดกฎมณเฑียรบาล ยึดถือธรรมเนียมศักดินา นับแต่บรรพกาลจักรพรรดิเคารพสวรรค์เหยียดหยันนรก สายเลือดเทพมังกรที่แท้จริงมีเพียงโอรสของฮองเฮาเท่านั้น ต่อให้องค์ชายอื่นมีดีเหนือชั้น ไร้ที่ติยิ่งกว่า ล้วนไม่เป็นผล
ทว่าย่อมดีกว่ามาก หากเขาได้เป็นผู้ควบคุมบงการและกุมอำนาจเบื้องหลัง
เยี่ยจื้อหลงถูกผลักไหล่ให้เดินขึ้นหน้า เท้าของเขามิได้คล้องโซ่ตรวน มีเพียงมือสองข้างที่ถูกพันธนาการไว้
การมัดตรึงที่มากเกินไป ล้วนไม่จำเป็นต่อผู้ไร้วรยุทธ์ ทั้งอาจทำให้ตายเปล่าโดยยังไม่ทันได้ใช้ประโยชน์
เด็กหนุ่มค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาในกรงเหล็ก เม้มปากเงยหน้ามองเรือนร่างกร้าวแกร่งดำทะมึนที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินของหวงหมิงด้วยดวงตาสั่นไหว
น้ำเสียงของเขาสั่นเทา “เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้ ตัวข้าตายไปไม่นับเป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เจ้าไม่ควรคิดเอาตัวเองเข้ามาแลกเพื่อคนไม่ได้ความเช่นข้าเลย”
เยี่ยจื้อหลงรู้ตัวดี หากไม่มีเขายังมีองค์ชายคนอื่นที่ดี พร้อมพรั่งด้วยความสามารถมิแตกต่าง ขอเพียงเยี่ยเป่ยยังอยู่ดีมีสุข เขาตายแค่คนเดียวไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น ไม่ควรมีใครต้องมาเสี่ยงตายด้วยกัน เสด็จพ่อจะสูญเสียใครอีกมิได้
ความคิดของรัชทายาท หวงหมิงย่อมล่วงรู้ไม่ยาก องค์ชายทุกพระองค์อาจมีความมักใหญ่ใฝ่สูงตามศักดิ์ฐานะ แต่รัชทายาทผู้นี้กลับต้องการครองราชย์หมายใช้คุณธรรมค้ำจุนโลกา พระองค์มิใช่คนทะเยอทะยานเลือดเย็น
สิ่งที่รัชทายาทรักคือความยุติธรรม ทั้งยังนึกถึงผู้อื่นและส่วนรวมเสมอ
นี่คือจุดที่หวงหมิงชื่นชมอีกฝ่ายในใจ แม้เยี่ยจื้อหลงจะอ่อนแอไปสักหน่อย ทว่าจิตใจกลับเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ผิดกับองค์ชายอื่นล้วนมีจิตใจคิดคดสกปรกและเห็นแก่ตัว บางคนขอเพียงตนเองบรรลุผลคนอื่นจะเป็นตายก็ช่าง บางคนขี้ขลาดโง่เขลา บางคนคำนึงแค่พวกพ้องเป็นที่ตั้ง หาได้แยแสประชาราษฎร์ไม่
ชายหนุ่มยังคงสีหน้าเยียบเย็น ทว่าดวงตาคมกล้ากลับเปล่งประกายดุดัน เขายกมุมปากยิ้มบางอย่างสาสมใจในบางสิ่ง สุ้มเสียงห้าวห้วนทุ้มต่ำที่เย็นยะเยือกแต่ทรงพลังดังขึ้นเนิบนาบ
“บางครานักล่าอาจยอมเป็นเหยื่อก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
จังหวะที่เยี่ยจื้อหลงกำลังเบิกตามองอย่างงุนงง เพราะฟังวาจาหวงหมิงไม่เข้าใจ เสียงกำแพงผนังของห้องขังพลันลั่นเปรียะก่อนดังครืน ผนังค่อยๆเกิดรอยแยกแล่นลาม รอยร้าวเกิดขึ้นกำลังภายในผสานพลังลมปราณขุมหนึ่งเกิดขึ้นฉับพลันจากบุรุษร่างใหญ่ที่ทั้งตัวชุ่มเลือด
หวงหมิงกระทืบฝ่าเท้าจนพื้นห้องขังเกิดรอยร้าว กล้ามแขนและท่อนบนที่เปลือยเปล่าเผยเส้นเลือดปูนโปนแผ่ซ่านปราณอันตรายเข้มขลัง พลังที่ซุกซ่อนแตกซ่าน
ชายหนุ่มยกตัวขึ้น พริบตาที่แขนขาขนานพื้นห้องขังยามหมุนกายกลางอากาศจนโซ่ทุกเส้นที่พันธนาการบิดเป็นเกลียวขดเหล็กพันกันแน่น การเสียดสีเกิดขึ้นวูบเดียว ประกายไฟก็ผุดวาบ
ปลายโซ่ตรวนตรงจุดที่ยึดตรึงกับผนังพลันหลุดผึงคล้ายถูกกะเทาะเปลือกทันที เหล่าทหารเบิกตากว้าง
เหรินจงตะลึงงัน เสี้ยวเวลาขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งด้วยคาดไม่ถึง สายตาแต่ละคนจ้องถลึง เห็นร่างสูงใหญ่กำยำเปลือยกายท่อนบนเผยกล้ามเนื้อล่ำสันยืนอย่างอหังการเหนือกลุ่มคนแล้ว
แม่ทัพผู้กุมกำลังทหารฝ่ายอารักขาได้สติก่อน
“คุ้มกันองค์ชายใหญ่!”
ทุกคนพากันกรูเข้ามารุมล้อมเหรินจงเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง ดวงตาแต่ละคนจับจ้องเพียงหวงหมิง
ร่างสูงใหญ่ปานหินผายืนตระหง่านกลางห้องกว้าง กล้ามเนื้อตึงแน่นที่มีเลือดสีฉานเกรอะกรังแผ่ซ่านขุมพลังที่สะสมเอาไว้มากมาย เรือนผมสยายเต็มบ่ากว้างถึงกลางหลัง ปลายผมล้อมรอบกรอบหน้าคมคาย มองมาคล้ายจอมมารในร่างเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น
เหรินจงยังคงเบิกตามองหวงหมิงขณะสั่งเสียงเข้ม “จับตัวมันไว้!”
อีกฝ่ายไร้มีดดาบ ไม่มีแม้ไม้สักท่อน ย่อมไม่คณามือ
“ตรึงโซ่เหล็ก!”
ทหารกลุ่มใหญ่พากันถลันขึ้นหน้าในท่วงท่าจู่โจม เป้าหมายคือช่วยจับโซ่เหล็กคนละมุมเพื่อตรึงนักโทษเอาไว้ แม่ทัพและเหล่าผู้คุมรวมถึงทหารต่างกระชับกระบี่เตรียมกวัดแกว่งฟาดฟันใส่ร่างเปลือยของหวงหมิงอย่างไม่ออมแรง
หวงหมิงแสยะยิ้มเลือดเย็น แววตาเหี้ยมเกรียม แม้แขนขาและฝ่าเท้ายังมีโซ่ตรวนยึดไว้แน่นหนา แต่นั่นล่ะคืออาวุธสังหารของเขาในขณะนี้
ชายหนุ่มสะบัดมือออกกระบวนท่าที่ฝ่าเท้าหนึ่งครา พลันเกิดกระแสลมคลั่งทั้งที่กำแพงไม่มีช่องใด โซ่เหล็กไหลที่หนาแกร่งซึ่งเดิมทียึดรั้งตัวเขาเอาไว้ให้อยู่กับที่ ยามนี้ราวกับมีชีวิต ปลายโซ่ทั้งสี่ด้านคลับคล้ายกลายเป็นงูเหล็ก
อันหนึ่งพุ่งพรวด ปัดกระบี่ในมือทหารจนกระเด็น เกิดเสียงดังเคล้งไปทั่วบริเวณพร้อมกับเลือดสดๆ สาดทะลักจากฝ่ามือพวกเขา อันหนึ่งฟาดใส่ใบหน้าอย่างไม่ปราณีกระทั่งเลือดออกปากออกจมูก แต่ละคนล้มระเนระนาดกลายสภาพเป็นกองทัพแตกระส่ำระสายเพราะขุนศึกเพียงคนเดียว อีกอันพุ่งไปฉกเสื้อคลุมของแม่ทัพคนหนึ่งจนหลุด ผ้าคลุมสีดำสะบัดพรึบ พลันปิดกั้นการมองเห็นจากผู้คนรอบด้านชั่วขณะ อันสุดท้ายตวัดฉับ รัดเอวรัชทายาทเยี่ยแล้วกระชากตัวคนหายวับไปในพริบตา
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไวกว่าสายฟ้า
หวงหมิงเหมือนอัศนีบาตฟาดแสกหน้า ได้ยินเพียงเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจนรู้สึกอื้ออึงในรูหู
เหรินจงรู้ตัวอีกที กำแพงคุกหนาหนึ่งฉื่อ[1]พลันเป็นช่องกว้างจากการถูกของแข็งกระแทกแตกจนทะลุ
“บัดซบ!”
องค์ชายใหญ่สบถลั่น
ครั้นสิ้นฝุ่นสีขาวขุ่นมัวที่ตลบคลุ้งบดบังสายตา เหรินจงก็เห็นหวงหมิงแบกเยี่ยจื้อหลงขึ้นบ่ากว้างโรยตัวลงจากห้องขังชั้นบนสุดแห่งนี้ด้วยการใช้โซ่เหล็กไหลของเขา
โซ่ที่ทำจากแร่เหล็กชั้นเลิศจนแข็งแกร่งที่สุดใต้หล้า
เหรินจงโมโหแทบคลั่ง เขาไม่ต้องการเก็บมันไว้แล้ว จึงตวาดก้องอย่างเดือดดาลปานฟ้าถล่ม “ตามไปฆ่ามัน ฆ่าให้ตาย ไม่ต้องเก็บไว้อีก หาไม่ พวกเจ้าก็จงตายๆ ไปซะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารรับคำแข็งขันแฝงความลนลาน
ฝ่ามือเรียวขาวของเหรินจนทุบกำแพงคุกอย่างแรง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยไฟโทสะ แววตาผุดประกายอาฆาตแค้น
ที่แท้มิใช่หวงหมิงที่เสียท่าจนถูกจับตัวมาคุมขัง แต่เป็นเขาเองที่เสียรู้ให้อีกฝ่าย มันใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อเข้าถึงรัชทายาท แล้วฉกชิงไปต่อหน้าต่อตา
ฮึ่ม! เจ้าตัวหายนะ ข้าจะแล่เนื้อเจ้าเป็นหมื่นชิ้น!
[1]ฉื่อ (เชียะ) 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 ชุ่น (10 นิ้ว) จั้ง 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ (ประมาณ 2.5 เมตร)