bc

ซูเม่ย พระชายาเซียนแพทย์

book_age16+
3.4K
ติดตาม
30.2K
อ่าน
เดินทางข้ามเวลา
like
intro-logo
คำนิยม

ซูเม่ย แพทย์กึ่งนักฆ่าสาวจากอนาคตหลอมรวมจิตสู่โลกเสมือนอดีตกลายเป็นคุณแม่ลูกสามที่ไม่มีสามี ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว ต่อสู้เพื่อน้องฝาแฝดชายหญิงด้วยมิติวิเศษ ตามหาบิดามารดาที่หายสาบสูญ หวนคืนสู่ฐานันดรที่ยิ่งใหญ่

chap-preview
อ่านตัวอย่างฟรี
บทที่ 1 จ้าวซูเม่ย
บทที่ 1 จ้าวซูเม่ย สายลมแผ่วเบาที่พัดผ่านร่างกายบอบบางแม้เพียงนิดก็ทำให้ร่างเล็กหนาวเหน็บจนแทบขาดใจ ร่างกายหญิงสาวสั่นสะท้านไม่อาจควบคุม ริมฝีปากบางแตกระแหงส่งเสียงโรยแรงแผ่วเบาไม่อาจจับใจความได้ ดวงตาที่ปิดสนิทระริกสั่นจนขนตางอนยาวกระพือไปมา หญิงสาวนอนไร้สติท่ามกลางป่ามืดมิดมาหลายชั่วยามไม่มีท่าทีจะตื่นขึ้นแม้แต่น้อยจวบจนราตรีผ่านไป จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ “อือออ หนวกหูจริงๆ นกบ้าเอ้ย ” ร่างที่นอนคุดคู้อยู่ ส่งเสียงออกมาด้วยความรำคาญเสียงที่รบกวนการนอนหลับของนาง หญิงสาวพลิกตัวตะแคงข้างยกมืออุดหู ก่อนจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาดบางอย่าง จนต้องลืมตาที่ปกคลุมด้วยแพขนตายาวงอนขึ้นอย่างรวดเร็ว “เฮ้ยยยย ที่นี่...ที่ไหนเนี่ย” ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งทันที ที่นัยน์ตากลมโตมองเห็นต้นไม้สูงลิ่วมากมาย และตนนั้นกำลังนอนอยู่บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยเศษกิ่งไม้และใบไม้แห้งทับถมชื้นแฉะ ดวงตากลมโต กวาดมองไปรอบๆกาย ปากบางอ้าค้างจน... “โอ้ยยยย” หญิงสาวร้องด้วยความเจ็บ ก่อนจะยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากของตัวเอง ของเหลวข้นสีแดงก็ติดนิ้วมือเล็กบางแต่หยาบกร้านนั้นมา “ปากแตก!!! ทำไมปากนุ่มๆของฉัน ถึงให้แห้งแตกแบบนี้ มันเรื่องบ้ากันอะไรเนี่ย แล้วมะ..มือ” ‘มือ..เล็กนี่ มันมือใครกัน มือฉันเหรอ’ มือเล็กสาก ผิวขาวซีด แขนลีบๆ เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเธอ ไม่ทันได้หาคำตอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น หญิงสาวก็รู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิด ภาพบางอย่างมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว ภาพที่เหมือนความทรงจำของเด็กสาวผู้หนึ่งที่น่าสงสาร ความลำบาก ความเจ็บปวด ความหิวโหย ความเหน็บหนาว ถูกถ่ายทอดออกมาจนเธอรับไม่ไหวสิ้นสติไปอีกครั้ง หญิงสาวรู้สึกตนเองล่องลอยอยู่ในห้วงอากาศที่ว่างเปล่า ความทรงจำทั้งของเธอและของเด็กสาวผู้นั้น คล้ายค่อยๆหลอมรวมกัน จนความเจ็บปวดทรมานที่เกิดก่อนหน้าเริ่มจางหายไป แต่เธอก็ยังล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่านี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด “แม่หนู แม่หนู” เสียงแหบแห้งก้องกังวานขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า เธอล่องลอยไปยังทิศทางที่เกิดเสียง แสงสว่างจ้าสว่างวาบขึ้นก่อนจะหายไป กลายเป็น “นี่มัน....สวรรค์เหรอ” ทะเลสาบส่องแสงระยิบระยับ เรือนไม้แบบจีนหลังใหญ่ สะพานโค้งที่ทอดยาวเหนือทะเลสาบ ต้นไม้สีสันงดงามมากมาย และ นั่น...มัน สมุนไพร สมุนไพรทั้งนั้นเลย ร่างบางหันซ้ายขวาก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด ทุกอย่างดูงดงามลงตัว บรรยากาศสดชื่นอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน หน้าตาตื่นตระหนก เดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวครุ่นคิด เดี๋ยวประหลาดใจอยู่ในสายตาชายชราที่จ้องมองอยู่ไม่ไกลจนอดไม่ได้ต้องหลุดหัวเราะออกมา “ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าหยุดทำหน้าตาประหลาดเสียทีเถิด” ชายชราชุดขาว หนวดเครายาวเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินออกมาจากศาลาริมทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกลนัก แต่ด้วยหญิงสาวหันหลังให้จึงไม่เห็นชายชราตั้งแต่แรก “คุณตา คือคนที่เรียกหนูใช่มั้ยคะ แล้วที่นี่ที่ไหน มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ แล้ว..” “พอ พอก่อนแม่หนู ข้าตอบไม่ทันแล้ว” ชายชราเอ่ยขัด ก่อนคำถามอีกร้อยแปดจะพรั่งพรูออกมา หญิงสาวสมัยนี้ใจร้อนเสียจริง “เจ้าฟังข้าให้ดีนะ แม่หนูซูเม่ย” ชายชราพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณตารู้จักหนูเหรอคะ” ซูเม่ยถามขึ้นทันที “อย่าเพิ่งขัดข้า ฟังให้ดี และทำใจให้สบาย” ชายชราก้าวเดินช้าๆ นำหน้าหญิงสาวไปยังศาลาริมทะเลสาบก่อนจะนั่งลงจิบชาเบาๆ ซูเม่ยเดินตามไปก่อนจะหย่อนกายลงนั่งตรงข้ามชายชรา และตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อด้วยใจที่ร้อนรุ่ม ด้วยอยากทราบความเป็นมาของเรื่องราวน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นกับตัวเธอ “เฮ้ออออ ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าเป็นความผิดของข้า เมื่อหลายร้อยปีก่อนข้าในฐานะเทพชะตาที่มีหน้าที่ส่งเหล่าดวงจิตทั้งหลายไปเกิด ข้าเลินเล่อได้ทำให้ดวงจิตดวงหนึ่งแตกออก ดวงจิตที่แตกออกกระจัดกระจายไปเกิดหลายภพภูมิ กว่าจะรวบรวมกลับมาได้บางส่วนก็ใช้เวลานานนัก ดวงจิตที่เล็กชิ้นน้อยที่รวบรวมได้ถูกข้าส่งไปเกิดเป็น จ้าวซูเม่ย ก็คือร่างที่เจ้าอยู่ตอนนี้ แต่กระนั้นด้วยดวงจิตไม่สมบูรณ์นางจึงพบเจอทุกขเวทนามากมายจนรับไม่ไหว ” เทพชะตาซือมิ่งหยุดพูดพร้อมการถอนหายใจยาว เขาทำให้ชีวิตของดวงจิตอันมีบุญต้องแปดเปื้อนเสียแล้ว “แล้วหนูเกี่ยวยังไงกับเรื่องนี้ คุณตาเทพอย่าบอกนะว่า หนูคือ....ดวงจิตที่หายไปอีกส่วนหนึ่ง” “ใช่แล้วแม่หนู เจ้าคือดวงจิตชิ้นสุดท้ายซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุด ข้าจึงต้องดึงเจ้ามาจากโลกนั้น กลับมาอยู่ในที่ๆเจ้าควรจะอยู่ตั้งแต่แรก” เทพชะตาซือมิ่งมองดูเด็กสาวเบื้องหน้าที่เบิกตากว้างอ้าปากหวอหลังจากที่ฟังเขาพูดจบแล้ว ‘OMG มันน่าเหลือเชื่อมาก อย่างกับนิยายทะลุมิติที่เคยอ่านเลย คงไม่มีพลังปราณ กำลังภายใน เหาะเหินเดินอากาศหรอกนะ’ “ของพวกนั้นที่เจ้าคิดมันก็มีบ้าง แต่แค่กำลังภายในธรรมดาเท่านั้น ไม่มีพลังวิเศษอะไรมากมายหรอกนะ” “คุณตาเทพ ได้ยินที่หนูคิดเหรอ ว้าวเจ๋งสุดๆไปเลย” “เอาล่ะๆ ก่อนที่ข้าจะส่งเจ้ากลับไป ข้าจะชดเชยให้กับเจ้า ความทรงจำในโลกเดิมจะยังคงอยู่เพื่อที่เจ้าจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ มิติแห่งนี้ข้าจะมอบให้เจ้า แต่จงจำไว้อย่าเปิดเผยมันออกไป เพราะสิ่งนี้ไม่มีในโลกแห่งนี้ มันจะเป็นภัยต่อตัวเจ้าเอง” เทพชะตาซือมิ่งที่เห็นว่าเด็กสาวผู้นี้มีชะตาที่รออยู่ เขาจึงมอบพรที่พอจะมอบให้ได้เพื่อให้นางได้สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกที่แตกต่างนี้ได้ และเขาหวังว่านางจะฝ่าฟันมันไปได้ด้วยดี ชายชราสะบัดแขนเบาๆ ก่อนจะปรากฏปานแดงรูปดอกบัวที่ข้อมือของซูเม่ยก่อนจะจางหายไป ซูเม่ยลูบข้อมือตนเองตรงที่มีปานเบาๆ ยกยิ้มอย่างดีใจกับของชดเชยที่คุณตาเทพให้ไว้ “คุณตาเทพ หนูขอ...” ซูเม่ยเตรียมจะเอ่ยขอบางอย่างแต่ก็ต้องโดนขัดขึ้น “ที่โลกแห่งนี้เจ้าต้องเปลี่ยนคำพูดจาเสียใหม่ จะได้ไม่แปลกแยก ความทรงจำของจ้าวซูเม่ยน่าจะช่วยเจ้าได้ และสิ่งที่เจ้าจะขอ มีมากมายในมิติแห่งนี้ มีให้ใช้ไม่มีวันหมด เมื่อหยิบออกไปมันจะถูกเติมเต็มทันที เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว จงใช้ชีวิตให้ดี” เทพชะตาซือมิ่งเอ่ยกำชับอีกครั้ง เขามองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความห่วงใยอีกครั้งก่อนจะค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ “เจ้าค่ะ ท่านตาเทพ” ซูเม่ยก้มศีรษะเคารพเทพชรา และ ตั้งมั่นในใจว่าจะใช้ชีวิตนี้ให้ดีที่สุด ไม่เหมือนกับโลกเดิมที่เคยจากมา ตอนที่เป็น จางซูเม่ย เด็ดขาด จางซูเม่ย หญิงสาวชาวจีนจากปี 2024 ซูเม่ย แพทย์หญิงวัย 28 ปี ที่ถูกบังคับให้ทำงานกับองค์กรลับผิดกฎหมาย ต้องถูกฝึกอย่างทรหด เป็นทั้งแพทย์และมือสังหาร ไม่มีอิสระ ไม่สามารถทำตามใจตน หลังจากถูกลักพาตัวไปจากครอบครัวจาง ซูเม่ยใช้เวลา 4 ปี ในการฝึกและทำงานจนกลายเป็นมือหนึ่งในองค์กร แต่ไม่นานนักองค์กรเห็นว่าในอนาคตไม่อาจควบคุมซูเม่ยได้ จึงตัดสินใจสังหารทิ้งทันที และทำให้เสี้ยวจิตนี้ถูกดึงกลับมายังที่ที่ควรอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ท่านตาเทพก็หายไป สภาพแวดล้อมรอบกายเปลี่ยนกลับกลายเป็นป่าทึบต้นไม้สูงใหญ่ ซูเม่ยลูบปานที่ข้อมือ ก่อนจะมองรอบกายอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่านางไม่ได้ฝันไป ทุกอย่างเป็นความจริง และตอนนี้นางคือ จ้าวซูเม่ย ไม่ใช่จางซูเม่ยอีกต่อไป ซูเม่ยยันกายลุกขึ้น ก่อนจะปวดแปลบตรงกลางกาย ก่อนสมองจะคิดทบทวนจนเห็นภาพที่ ซูเม่ยคนก่อนโดนชายหนุ่มผู้หนึ่งคร่อมอยู่เหนือกาย ซาดซัดพายุแห่งอารมณ์ปรารถนาใส่กายของนางไม่หยุดยั้ง สะโพกสอบ กล้ามเนื้อแน่น กลิ่นกายของบุรุษผู้นั้นฝังลึกลงในความทรงจำ แต่สิ่งที่นางไม่อาจมองเห็นคือ ใบหน้าของบุรุษผู้นั้น ที่ใช้กำลังข่มเหงนางอย่างโหดร้ายทารุณ “อย่าให้เจอนะ จะตัดให้สูญพันธุ์!!!” ซูเม่ยขบฟันจนดังกรอดด้วยความคับแค้นใจแทนซูเม่ยคนก่อน แต่จะว่าไปซูเม่ยคนก่อนก็คือนางเองนั่นแหละ หลังจากเหตุการณ์นั้นนางได้สลบไป จนมาตื่นขึ้นในป่าแห่งนี้ ก่อนหน้านั้นล่ะ จ้าวซูเม่ย หญิงสาววัย 15 ปี บิดาและมารดาที่ทำอาชีพเป็นผู้คุ้มกันหายสาบสูญไปพร้อมกองคาราวานสินค้าเมื่อไม่นานมานี้ ทิ้งทั้งนาง น้องชายน้องสาวฝาแฝดเอาไว้ในความดูแลของหัวหน้าตระกูลจ้าวซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของนางพร้อมกับเงินจำนวนหลายร้อยตำลึง แต่ด้วยบิดาของนางเป็นเพียงบุตรบุญธรรม หลานๆที่เกิดจากบุตรบุญธรรมที่หายสาบสูญไหนเลยจะมีประโยชน์อีก ด้วยความใจดำนี้ ปู่ใจยักษ์ผู้นั้นจึงนำนางไปขายให้กับหอนางโลม แม้นางและน้องๆ จะอ้อนวอนจนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือดก็ไม่เป็นผล ทั้งท่านปู่ ท่านย่า รวมถึงท่านลุงและป้าสะใภ้ใหญ่ รวมถึงบรรดาลูกพี่ลูกน้องของนาง ต่างเห็นดีเห็นงามที่จะขายนาง แต่ไม่รู้จะเป็นโชคดีหรือร้ายที่น้องๆ ของนางยังเด็กนัก จึงยังถูกเก็บไว้ใช้งานในครอบครัวก่อน พอนางถูกขายให้หอนางโลม ด้วยหน้าตาที่งดงาม แม้ร่างกายและผิวพรรณจะหยาบกร้านไปบ้าง แต่เมื่อได้รับการบำรุงขัดสีฉวีวรรณ ก็ฉายหญิงงามจนถูกใจแม่เล้า ซูเม่ยถูกเคี่ยวกรำร่ำเรียนศาสตร์ทั้ง 4 ของสตรี ทั้งวาดภาพ เดินหมาก เขียนอักษร และดนตรี ในเวลาเพียง 3 เดือนก็เชี่ยวชาญทุกด้าน เมื่อเห็นว่าซูเม่ยพร้อมแล้ว แม่เล้าก็จัดประมูลคืนแรกของนางทันที ซูเม่ยกล้ำกลืนฝืนทน แม้อยากหนีแต่ไม่อาจหนีได้ แม้อยากตายก็มิอาจทอดทิ้งน้องน้อยไปได้ ผู้ที่ประมูลคืนแรกของนางเป็นเศรษฐีแก่ผู้หนึ่งที่มาจากเมืองหลวง ซูเม่ยแม้ทำใจไว้บ้างแล้วแต่ก็ยังตรอมตรมในอก แต่ทุกอย่างกลับพลิกผันนางโดนซื้อตัวด้วยราคาหลายเท่าต่อจากเศรษฐีผู้นั้น และถูกส่งตัวไปให้บุรุษผู้หนึ่งย่ำยี ซูเม่ยที่เดิมทีเป็นเด็กสาวที่ว่าง่ายไม่มีปากเสียง จึงยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองมิได้จนตรอมตรมและสิ้นใจในคืนนั้น มารู้สึกตัวอีกครั้งก็หลอมรวมดวงจิตที่ในป่าเสียแล้ว “เฮ้อออออ ชีวิตนี้ช่างอนาถนัก” ซูเม่ยที่นึกย้อนความทรงจำ รำพึงรำพันกับความโหดร้ายที่รับรู้ ก่อนจะถอนหายใจยาวๆอีกครั้ง สองขาบอบบางเดินหาแหล่งน้ำในป่า สองหูแว่วได้ยินเสียงน้ำก็สับขาเร่งเพื่อให้ถึงโดยไว ภาพน้ำตกขนาดเล็กเบื้องหน้า พาให้ร่างกายที่เหนียวเหนอะหนะรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นเล็กน้อย ซูเม่ยไม่รอช้าถอดชุดรุ่มร่ามหลายชั้นที่ติดกายมาออก และเดินลงแอ่งน้ำทันที นางดำผุดดำว่ายอยู่นานทั้งสระผม ขัดตัว และแช่น้ำคลายความเมื่อยล้า ใจจริงนางอยากได้ทั้งแชมพูทั้งสบู่มาทำความสะอาดร่างกาย ซึ่งไม่รู้ว่าในมิติจะมีหรือไม่คงต้องสำรวจอีกครั้ง พออาบน้ำจนเสร็จ ซูเม่ยก็เริ่มมองหาอาหารเพราะท้องของนางเริ่มประท้วงหาอาหารเสียแล้ว กิ่งไม้ริมน้ำตก ถูกเหลาด้วยมีดสั้นที่นางแอบแวบเข้ามิติไปหามา กิ่งไม้แหลมที่ถูกเหลาพุ่งจากมือเล็กทิ่มแทงถูกตัวปลาตัวแล้วตัวเล่า “ 5 ตัวน่าจะพอแล้วย่างกินสักตัวที่เหลือย่างเก็บไว้เป็นเสบียงเดินทาง” เมื่อได้ปลาแล้วซูเม่ยก็ก่อไฟ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับอดีตมือสังหารอย่างนางเลยแม้แต่น้อย ซูเม่ยเดินเท้าไปตามลำน้ำเพื่ออกจากป่า นางเดินไปราว 2 ชั่วยามป่าทึบไม่เห็นแสงก็เริ่มมีแสงรำไรลอดลงมาซึ่งคาดว่าน่าจะถึงเขตชายป่าแล้ว ซึ่งนางอาจจะเจอชาวบ้านที่ขึ้นมาหาของป่าและจะได้รู้เสียทีว่านางอยู่ส่วนไหนของแคว้นซ่ง ซอกแซกๆๆๆ ซูเม่ยเดินมาซักพักก็พบชายผู้หนึ่งกำลังเก็บกับดักสัตว์ จึงเร่งฝีเท้าเข้าไปเพื่อสอบถามและขอความช่วยเหลือทันที ชายวัยกลางคนที่กำลังดีใจที่กับดักของเขามีไก่ป่ามาติดถึง 2 ตัว ไม่ทันเห็นซูเม่ยที่เดินมาจากด้านหลังของเขา แต่เมื่อซูเม่ยใกล้เข้ามาชายผู้นั้นก็รู้สึกถึงบางอย่างเบื้องหลัง จึงตวัดมีดและหันหลังกลับทันที ซูเม่ยที่ระวังตัวอยู่แล้วจึงหลบได้ทันท่วงที “แม่นาง เป็นอันใดหรือไม่” ชายผู้นั้นเมื่อเห็นว่าเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งก็ตกใจเกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บ “ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ ท่านลุง ข้าต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ส่งเสียงมาก่อน” “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่แม่นางป่านี้อันตรายนักเจ้าเร่งออกไปเถิด” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นแม่นางตรงหน้ายังคงเป็นเด็กสาวผู้หนึ่งเท่านั้น ไยผู้ใหญ่ถึงได้ปล่อยเข้ามาในป่าลึกเช่นนี้ “ข้าคงต้องรบกวนท่านลุงแล้วเจ้าค่ะ ตัวข้านั้นหลงป่ามาหลายวันแล้วไม่รู้ว่าตรงนี้อยู่เขตหมู่บ้านใด” ซูเม่ย กล่าวความจริงเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง แต่ชายตรงหน้าเมื่อได้ฟังก็ตกใจ ก่อนจะกวาดสายตามองและเห็นสภาพชุดขาดแหว่งเปื้อนด้วยดินโคลนใบหน้าซูบซีดมีบาดแผลประปรายก็ให้สงสารเห็นใจมิน้อยจึงขันอาสาพานางออกจากป่า ชายผู้นี้ชื่อว่า หวังหย่ง หรือท่านลุงหวัง อาศัยอยู่หมู่บ้านตงซานทำอาชีพหาของป่าขายเลี้ยงครอบครัวให้พอมีพอกินผ่านไปแต่ละวัน นับว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ขยันคนหนึ่ง เมื่อเดินมาได้สักพักซูเม่ยก็ชวนลุงหวังคุยทันทีเพื่อหาทางกลับไปรับตัวน้องสาวน้องชายของนางออกมาจากครอบครัวนรกนั่นเสียที ไม่รู้ป่านนี้น้องๆของนางจะเป็นเช่นไรบ้าง หากเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเหวินและเจียวเอ๋อ นางไม่ปล่อยพวกมันทั้งตระกูลแน่ “ท่านลุงหวัง พอจะรู้จักหมู่บ้านเจาหนานหรือไม่เจ้าคะ” ซูเม่ยรีบเก็บกลิ่นอายสังหารก่อนจะเอ่ยถามลุงหวังที่เดินนำหน้าคอยถางทางให้นาง “หมู่บ้านเจาหนาน อยู่ถัดจากหมู่บ้านตงซานไป 3 หมู่บ้าน เดินทางด้วยเกวียนราว 3 ชั่วยาม แต่ถ้าเดินเท้าคงใช้เวลาเป็นวันเลยเชียว แม่นางจ้าวเป็นคนหมู่บ้านเจาหนานหรือ” หวังหย่งที่กำลังเดินนำเด็กสาวเพื่อพานางออกไปจากป่าหันกลับมาตอบคำถามนั้น “เจ้าค่ะ ท่านลุงหวังพอจะหาเกวียนเช่าให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าพอจะมีตำลึงเงินติดตัวอยู่บ้าง” “หาได้แน่นอน ในหมู่บ้านมีเกวียนเช่าหลายบ้านเชียว” หวังหย่งพูดอย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากหมู่บ้านของเขาเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเจริญ ผู้คนอดอยากไม่มี เกวียนจึงมีกันแทบทุกบ้านเลยเชียว “ข้าต้องรบกวนท่านลุงหวังแล้ว” “ไม่เป็นไรๆๆ ข้าก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้นั่นแหละ” หวังหย่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเร่งฝีเท้าออกจากป่าโดยเร็วเพราะเขาเกรงว่าจะมืดค่ำเสียก่อน เมื่อออกจากป่าก็เป็นต้นยามเซิน (15.00-17.00) เสียแล้ว หากเดินทางออกจากหมู่บ้านตงซานก็คงมืดค่ำเสียก่อน ท่านลุงหวังจึงพานางไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแจ้งว่านางหลงทางมาพึ่งพา และจัดหาที่นอนให้นางในคืนนี้ บ้านหัวหน้าหมู่บ้านตงซาน “หัวหน้าโจว หัวหน้าโจว อยู่บ้านหรือไม่” บ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่คงจะใหญ่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว ล้อมรั้วด้วยอิฐแข็งแรง ลุงหวังบอกว่าเป็นบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งจะขอให้นางพักที่นี่สักคืน “อยู่ๆๆ อ้าว!!! หวังหย่งเจ้าเองหรือ....มีเรื่องอันใด” เมื่อเห็นว่าเป็นหวังหย่ง โจวเฉินก็เปิดประตูรั้วทันที ก่อนจะเชิญทั้งลุงหวังและซูเม่ยเข้ามาในรั้วบ้าน แม้จะแปลกใจกับแม่นางน้อยแปลกหน้าที่เดินตามหลังหวังหย่งมาก็ตามแต่ก็มิได้เอ่ยถามทันที ซูเม่ยเองก็ลอบมองลุงหัวหน้าหมู่บ้านโจวคนนี้ ที่ดูท่าจะสนิทกับลุงหวังมิน้อย แววตาไร้เล่ห์เหลี่ยม คงจะเป็นคนยุติธรรมคนหนึ่งกระมัง เมื่อเข้ามานั่งภายในโถงหน้าบ้านที่ดูคล้ายจะเป็นโถงรับแขก ลุงหวังก็เล่าเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับนางทันที ผู้ใหญ่บ้านที่มีบุตรสาวที่เพิ่งออกเรือนไป เมื่อเห็นหญิงสาววัยเดียวกับบุตรสาวก็สงสารเห็นใจ จึงให้ภรรยาหรือท่านป้าหลี่จัดแจงห้องให้นางได้พักพึงในคืนนี้ ท่านป้าหลี่เมื่อเห็นเด็กสาววัยเดียวกับบุตรสาวก็หวนคิดถึงบุตรที่แต่งออกไปไม่นาน ยิ่งเห็นใบหน้างดงามของซูเม่ยที่แม้จะมีบาดแผลและซูบซีดไปบ้างก็ยิ่งเอ็นดูจึงดูแลต้อนรับอย่างดี ด้วยนางบุตรน้อยมีเพียงบุตรสาวและบุตรชายเพียง 2 เท่านั้น บุตรสาวก็แต่งออกบุตรชายก็ไปเล่าเรียน บ้านจึงพลอยเงียบเหงาไปด้วย พอมีเด็กสาวมาพักที่บ้านก็ให้ชื่นใจขึ้นบ้างเล็กน้อย ซูเม่ยเมื่อได้พักมีห้องส่วนตัวก็แวบหายเข้าไปในมิติ ก่อนจะออกสำรวจบ้านไม้หลังใหญ่ทันที เมื่อเข้าไปภายในก็มีห้องมากมาย นางสำรวจทีละห้องอย่างตื่นเต้น ของส่วนใหญ่ก็เป็นของที่นางเคยใช้ตอนอยู่โลกนู้นทั้งสิ้น ทั้งของใช้แล้วก็เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่นางชอบใจที่สุดเห็นจะเป็นห้องน้ำ ห้องน้ำในสมัยโบราณช่างบาดใจนางเหลือเกิน และอีกห้องที่นางชอบคือ ห้องเก็บสมบัติ ทั้งเงินทั้งทอง เครื่องประดับ ของมีค่ายัดแน่นเต็มห้อง อย่างน้อยก็ไม่อดอยากแล้ว เมื่อสำรวจบ้านในมิติแล้ว ซูเม่ยก็แวบออกมา ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที ยามเหม่า (5.00-7.00) ซูเม่ยลืมตาขึ้นมาหลังจากนอนเต็มตื่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี นับตั้งแต่เป็นจางซูเม่ยที่ต้องคอยระแวดระวังตัวตลอดเวลา เมื่อจัดแจงตัวเองเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าที่ท่านป้าหลี่เตรียมไว้ให้ แม้จะเป็นเพียงชุดสาวชาวบ้านที่ดูสีซีดไปบ้าง แต่สะอาดสะอ้านหอมกรุ่น คงจะเป็นเสื้อผ้าของบุตรสาวของท่านป้าหลี่ที่เพิ่งแต่งออกไปเป็นแน่ ก่อนออกจากห้องนางไม่ลืมที่จะตั้งตำลึงเงินจำนวนหนึ่งไว้บนที่นอน ถือเป็นค่าตอบแทนน้ำใจ อาหารและที่พัก เกวียนวัวคันไม่เล็กไม่ใหญ่มีหลังคากันแดดเล็กน้อย วิ่งอย่างช้าๆออกจากหมู่บ้านตงซานตอนต้นยามเฉิน (7.00-9.00) ด้วยเส้นทางที่ขรุขระและค่อนข้างจากยากลำบาก ทำให้การเดินทางล้าช้ากว่า 4 ชั่วยามจึงจะถึงจุดหมายปลายทางคือ หมู่บ้านเจาหนาน ซูเม่ยให้คนขับเกวียนจอดก่อนจะถึงหน้าหมู่บ้านเท่านั้น นางไม่อยากปรากฏกายให้ผู้อื่นเห็นนัก นางจ่ายค่าเกวียนเช่าเพิ่มไป 2 ตำลึง เพราะยามนี้ใกล้ยามเย็นไปแล้วคนขับเกวียนอาจจะต้องหาที่พักในเมืองใกล้ๆนี้ ก่อนเดินทางกลับ ซูเม่ยเดินอ้อมหมู่บ้านไปทางด้านหลัง จากความทรงจำบ้านตระกูลจ้าวอยู่เกือบติดชายป่าท้ายหมู่บ้าน บ้านค่อนข้างหลังใหญ่ ซึ่งมาจากน้ำพักน้ำแรงของบิดามารดานางทั้งนั้น เจ้าพวกเนรคุณนั่นไม่สมควรได้รับแม้แต่น้อย ‘กตัญญูต่อบิดามารดาอันใดกัน เลี้ยงดูแบบอดอยากกดขี่ขมเหง พวกสัตว์เดรัจฉานนั่นไม่สมควรได้รับจากบิดามารดาของนางทั้งสิ้น’ ซูเม่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความคับแค้นใจแทนบิดามารดาและตัวนางเองเมื่อก่อนนัก นางเดินอ้อมมาจนถึงชายป่า ก่อนจะมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครก็ลอบข้ามลำธารไปบริเวณบ้านตระกูลจ้าว ที่ตอนนี้คงไม่มีผู้ใหญ่อยู่แม้แต่คนเดียว มองไปไกลๆนางก็เห็นร่างเล็กๆสองร่างกำลังขนน้ำใส่โอ่งที่ตั้งเรียงรายนับสิบใบบริเวณหลังบ้านใกล้แปลงผักร้างๆที่มีใบเขียวเล็กน้อยนอกจากนั้นเหลืองเกือบทั้งแปลง แปลงผักนั้นเดิมทีนางเป็นคนดูแลล้วนงอกงามต้นอวบอ้วน บัดนี้รกร้างไม่เหลือเค้าเดิมเสียแล้ว ‘น้องๆของนาง อายุแค่ 5 หนาวเท่านั้น พวกมันกลับใช้งานถึงเพียงนี้เลยหรือ’ “เสี่ยวเหวิน เจียวเอ๋อ พี่มารับพวกเจ้าแล้วนะ” ซูเม่ยพูดฝากสายลมแผ่วเบา น้องๆของนางดูซูบผอมกว่าความทรงจำเดิมไม่น้อย เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังเรียกว่าเสื้อผ้าได้หรือ ทั้งเก่าปะชุนแล้วปะชุนอีกทั้งขาด เพียงไม่กี่เดือนที่นางถูกขายไปน้องๆของนางคงไม่ได้กินอิ่มอีกเลยสินะ ซูเม่ยคิดอย่างคับแค้นใจ น้ำใสๆไหลจากหางตากลมโตโดยไม่รู้ตัว ความเสียใจถาโถมสู่ใจของนาง เมื่อเห็นสภาพน้องๆที่แทบจะไม่ต่างจากขอทานแม้แต่น้อย ไม่นานนักซูเม่ยของเห็นยายเฒ่าจ้าวหรือท่านย่าในความทรงจำของนาง เดินออกมาร้องเรียกน้องสาวของนาง แต่ไม่ทันที่เจียวเอ๋อจะขยับตามคำเรียกหา ยายเฒ่าจ้าวก็หาเรื่องดุด่าเสียก่อน “นังเด็กชั่ว!!! ข้าเรียกไม่ได้ยินรึไง ตักน้ำตักคนเดียวก็พอ มานี่เลยมา” ยายเฒ่าจ้าวเดิมชื่อฟางกุ้ยตวาดด่ามาแต่ไกล ปราดเข้ากระชากแขนของเด็กสาว ลูกของไอ้กาฝากหน้าโง่ที่นางปล่อยให้เรียกท่านแม่มานาน ได้ยินแต่ละครั้งสะอิดสะเอียนเหลือจะทน หากมันไม่หาเงินเข้าบ้านจำนวนมาก นางคงไสหัวมันออกไปนานแล้ว “ท่านย่าปล่อยน้องสาวนะ ปล่อยน้องสาว ท่านย่าตีข้าแทน ตีข้าเถอะขอรับ” ซูเหวินเมื่อเห็นน้องสาวโดนกระชากแขนจนน้ำตาคลอ ก็รีบคุกเข่าขอร้องหญิงชราใจดำที่เขาไม่อยากเรียกว่าท่านย่าเลยสักนิดเดียว “เหอะ ไอ้เด็กสารเลวเจ้าจะทำไม มองตาแข็งเช่นนี้จะลองดีอีกคนใช่มั้ย เห็นพี่สาวแกหรือไม่จุดจบของคนที่มันลองดีกับข้า” ฟางกุ้ยปล่อยมือจากแขนเล็กของนางเด็กชั่วซูเจียว ปราดเข้าไปหาเด็กชายตัวผอมที่คุกเข่าลงไม่ห่างจากนางนัก ปากเอ่ยขอร้องนาง แต่แววตาแข็งกร้าวช่างถือดี แววตาที่คล้ายกับนางสะใภ้นอกคอกแม่ของมัน ไม่รอช้าฟางกุ้ยที่เริ่มโมโห ก็คว้าไม้ไผ่รั้วผักทุบตีไปยังเด็กชายที่นางเกลียดชัง มืออวบหนาจับไม้ฟาดลงไปไม่ยั้ง แต่ซูเหวินก็ไม่ร้องออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งทำให้นางโมโหมากยิ่งขึ้น “ท่านย่า อย่าตี ฮือๆๆๆ อย่าตีพี่รอง ฮือๆๆๆๆ” ซูเจียวที่เห็นพี่ชายถูกท่านย่าตีก็ร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัว ซูเม่ยที่นั่งแอบมองอยู่ไม่ไกลก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมา มือบางล้วงไปในมิติก่อนจะได้เข็มเงินออกมา ไม่รอช้าปาไปยังจุดบนข้อมือ ทำให้หญิงชราเกิดเหน็บชาบริเวณข้อมือจนต้องปล่อยไม้ในมือทิ้งทันที และจับข้อมือที่จู่ๆก็เกิดอาการชาขึ้นมา “อะ อู้ยยย เย็นนี้อย่าหวังจะได้กินข้าวแม้แต่เม็ดเดียว เหอะ!!!” ฟางกุ้ยเมื่อรู้สึกชาข้อมือก็ไม่ได้ตีเด็กชายต่อ แต่สั่งงดข้าวพวกมันแทน เรื่องอะไรนางจะต้องเปลืองข้าวเปลืองน้ำเลี้ยงลูกของไอ้ลูกกาฝากกับนางสะใภ้แพศยาด้วย “พวกตระกูลจ้าว...มันต้องชดใช้!!!” คราแรกซูเม่ยคิดจะปรานีเห็นแก่ที่พวกมันเลี้ยงดูบิดานางมา แต่ตอนนี้นางคิดว่าพวกมันไม่สมควรได้รับ

editor-pick
Dreame - ขวัญใจบรรณาธิการ

bc

วิญญาณตามรัก

read
1K
bc

เชลยรักท่านอ๋องอำมหิต

read
17.0K
bc

คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียง

read
10.6K
bc

แม่หมอแห่งซูโจว

read
7.5K
bc

พันธะร้าย..ดวงใจรัก

read
2.1K
bc

รักต้นฉบับ(ไม่ลับ)แม่มดมนตรา

read
1K
bc

หยุดหัวใจไม่รักดี

read
4.4K

สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook