ทางด้านซินดี้กำลังนั่งฟังคุณทนาย ของอดีตสามีที่ตัวเองต้องแต่งงานด้วยเพราะความจำเป็นบางอย่าง พูดถึงเรื่องมรดกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เธอตัดสินใจกลับเมืองไทยก็เพราะคำขอร้องของเขาที่สั่งทนายประจำตัวก่อนตายไว้ว่า หากเขาหมดลมหายใจเมื่อไหร่ให้เปิดพินัยกรรมหลังจากเธอกลับมาเท่านั้น
“แล้วจะเปิดพินัยกรรมวันไหนคะ” ไม่ใช่ว่าเธออยากได้สมบัติของคนอื่น เพียงแต่ไม่อยากให้ตนเองกลายเป็นตัวถ่วงทำให้คนที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับมรดกไปด้วย
“อีกสองวันครับ คุณซินดี้สะดวกไหม”
คุณทนายเองก็อยากเปิดพินัยกรรมเพราะทางด้านคนรักของเจ้านายที่ชื่อปลายเมฆ รบเร้าอยากฟังพินัยกรรมใจจะขาด หากแต่ติดปัญหาเรื่องซินดี้
“ได้ค่ะ ซินดี้ไม่ได้ติดอะไร จริงๆ ได้กลับมาก็ดี” บอกตามตรงเธอคิดถึงเมืองไทย คิดถึงอาหารไทย คิดถึงทุกอย่าง แม้ว่าตอนนี้จะกลายเป็นผู้หญิงที่ไร้ครอบครัว เพราะได้ตัดขาดกับบิดาและแม่เลี้ยง แต่เธอก็ยังชอบบ้านเกิดมากกว่าประเทศที่ไปอาศัย
“ผมดีใจนะครับที่คุณซินดี้ยอมกลับมา” คุณทนายเอ่ยจากใจจริง รู้สึกเห็นใจหญิงสาวที่ต้องไปอยู่ต่างประเทศคนเดียว ทว่าเธอเองเป็นคนเลือกแบบนี้จะให้ทำอย่างไรได้
คนไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองยิ้มเศร้าเล็กน้อย
“ซินดี้อยากกลับมาอยู่แล้วค่ะ แค่รอเวลาที่เหมาะสม อีกอย่างไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นด้วยค่ะ”
ใบหน้ารูปไข่บึ้งตึงขึ้นมาอย่างฉับพลันเมื่อคิดถึงคนในครอบครัว หากไม่ใช่เพราะคำขอร้องเห็นแก่ตัว ชีวิตเธอคงไม่มาอยู่จุดนี้ ไม่ต้องกลายเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แต่ช่างมันเถอะเธอถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณให้พ่อ ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเธอก็ถือว่าตัวเองไร้ญาติขาดมิตร เหลือตัวคนเดียวบนโลกใบนี้
“ตอนนี้พวกเขาเป็นยังไงบ้าง คุณซินดี้ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยใช่ไหม” คุณทนายเอ่ยถามก่อนจะส่งยิ้มให้กำลังใจ
หญิงสาวรีบส่ายหน้า ติดต่อทำไมให้ปวดหัว พ่อกับแม่เลี้ยงไม่ได้สนใจเธออยู่แล้ว ส่วนเธอเองก็ไม่ได้อยากให้พวกเขามาสนใจเหมือนกัน ทำเหมือนทุกวันนี้ก็ดีถมเถไป ต่างคนต่างอยู่ต่างใช้ชีวิต
“ไม่ค่ะ ตัดขาดกันไปตั้งแต่ตอนนั้น ซินดี้ขอไม่รับรู้อะไรอีก”
ดวงหน้าเศร้าขึ้นมาทันตาเมื่อคิดถึงพ่อที่รักลูกไม่เท่ากัน พ่อรักและห่วงลูกชายมาก ไอ้น้องบ้าทำอะไรก็ถูกไปหมด ส่วนลูกสาวกลับถูกละเลย แต่พอเกิดปัญหามาบอกให้เธอทดแทนบุญคุณ ทั้งที่คนก่อเรื่องเป็นไอ้น้องชั่วนั่น
ทำยังไงได้ก็เธอมันลูกเมียหลวงที่พ่อไม่รัก แม่ก็ตายไปนานแล้ว ส่วนน้องชายเป็นลูกเมียน้อยที่พ่อรัก ไม่แปลกใจที่พ่อจะหลับหูหลับตาเข้าข้างมัน แค่คิดถึงเรื่องในอดีตดวงตาแทบจะลุกเป็นไฟ
“วันนี้ผมมารบกวนแค่นี้ครับ คุณซินดี้พาลูกสาวย้ายเข้าไปอยู่ในเพนต์เฮาส์ได้เลย ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
ห้องที่มีขนาดกว้างซึ่งตั้งอยู่บนตึกหรูคือสินสอดที่อดีตสามียกให้เธอก่อนจะหย่ากัน ตอนนั้นเธอคิดว่าจะขายทิ้งด้วยซ้ำแต่ลังเล สุดท้ายก็เก็บเอาไว้ ไม่คิดว่าจะได้ใช้งานในวันที่ตัวเองตัดสินใจพาลูกสาวย้ายกลับมา
“ขอบคุณมากนะคะ เจอกันวันเปิดพินัยกรรม”
“ครับ เดี๋ยวผมจะส่งคนมารับ คุณซินดี้ไม่ต้องไปเอง”
“ได้ค่ะ แต่ซินดี้ต้องพาลูกสาวไปด้วย ไม่น่าจะมีปัญหาใช่ไหมคะ คือไม่มีคนดูแลน่ะคะ” ถ้าจะฝากได้ก็คงมีแค่ภาวิน แล้วเรื่องอะไรที่เธอต้องเอาลูกไปให้เขาดูแล ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงกันบ้าง
“ครับ” คุณทนายวัยกลางคนยิ้มให้ก่อนจะขอตัวกลับ
ซินดี้จึงเดินไปหาสองลุงหลานที่กำลังนั่งกินไอศกรีมถ้วยใหม่อย่างเอร็ดอร่อย กินไปคุยไปทำเหมือนกับรู้จักกันมานาน แถมตอนนี้เด็กหญิงตาแป๋วยังนั่งอยู่บนตักภาวินอีกต่างหาก เจ้าตัวตักไอศกรีมป้อนลุงเสร็จก็ตักเข้าปากตัวเองต่อ
“อาหย่อยมั้ยค้าคุนยุง” คุณลุงอร่อยไหมไม่รู้ แต่น้องมาดี้อร่อยมาก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกินอีกเยอะๆ เลย
“อร่อยครับ แต่หนูกินเยอะไม่ได้นะครับ” คุณลุงตักเตือนก่อนจะเงยหน้ามองแม่ของยัยหนูที่เพิ่งเดินมาถึง ใบหน้าของซินดี้ตอนนี้ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เมื่อเห็นถ้วยไอศกรีมก่อนหน้าวางอยู่ไม่ห่าง
“น้องมาดี้ขา หนูกินไอติมไปกี่ถ้วยแล้ว สองเลยเหรอ”
“ค่า อาหย่อยมากเยย คุนยุงขาใจดี๊ใจดี อ้ามอาหย่อย”
ก็ไอศกรีมมันอร่อยแล้วจะให้น้องมาดี้ทำยังไง เด็กน้อยยังตั้งหน้าตั้งตาตักไอศกรีมรสสตรอว์เบอร์รีเข้าปาก จากนั้นก็ดีดดิ้นอย่างมีความสุข ไม่สนใจว่าแม่จะมองมาด้วยสายตาอย่างไร
“พอแล้วครับวางช้อนลงดีกว่า” แต่คนที่เสียวสันหลังคือคุณลุงภาวินที่เผลอเหลือบไปสบตามารดาของเด็กดื้อ
“ไม่เอาค่า น้องมาดี้จะกินอีก มัมขาอ้ำๆ” เด็กน้อยก็ยังไม่ยอมทำตามผู้ใหญ่ นอกจากปฏิเสธแล้วยังตักไอศกรีมเข้าปากไม่หยุด ด้วยความใจดีจึงตักขึ้นมาหมายจะให้มารดากินด้วยคน
“ไม่ดื้อค่ะลูก หนูเพิ่งมาที่นี่เมื่อวานเอง ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง” แม่พยายามข่มความโกรธ แล้วใช้น้ำเสียงอ่อนโยนคุยกับลูกสาวที่ดูท่าแล้วยังไงก็ไม่ฟัง
“ไปหาด็อกๆ ค่ามัมขา ให้ด็อกๆ จิ้ม” เด็กฉลาดยกนิ้วขึ้นมาทำท่าฉีดยาประกอบคำพูด ด็อกๆ ที่ยัยหนูพูดถึงก็คือคุณหมอ
ซินดี้บอกตัวเองให้ใจเย็นๆ แต่น้ำเสียงเริ่มไม่ค่อยเย็นเหมือนก่อนหน้านี้
“หนูอยากโดนด็อกๆ จิ้มเหรอคะ มันเจ็บนะ” เหมือนคำขู่ของมารดาจะได้ผลเพราะเด็กน้อยชะงักไปนิดหน่อย ดวงตาเริ่มลังเลแต่สุดท้ายก็ยังตักไอศกรีมเข้าปากเหมือนเดิม
“หนูไม่กลัวเจ็บใช่ไหมครับ”
“ไม่กัวหยอก น้องมาดี้คนเก่งค่าคุนยุงขา”
“โอ้โฮ อวยตัวเองเป็นด้วย เหมือนแม่ไม่มีผิด” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังมันเขี้ยวลูก ดูเอาเถอะแม่ละอยากเอามือไปหยิกแก้มเหลือเกิน นอกจากฉลาดเป็นกรดแล้ว ยังเถียงเก่งอีกต่างหาก ดีเอ็นเอปากแซ่บนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าได้มาจากใคร
“ลูกฉันไม่เหมือนฉันแล้วจะให้เหมือนใครคะคุณภาวิน”
“ก็เหมือนพ่อของเขาไงครับคุณซินดี้ ว่าแต่ใครคือพ่อของน้องมาดี้ครับ ผมอยากรู้จังเลย” มุมปากของคนถามยกยิ้มขึ้นมาอย่างเป็นต่อ ตอนนี้เขามั่นใจเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ว่าเด็กที่กำลังเอนจอยกับไอศกรีมคือลูกสาวของตนเอง
“รีบกินเร็วลูก เราต้องไปเก็บของ เดี๋ยวต้องย้ายแล้วค่ะ”
“คุณจะพาลูกไปไหน”
สุ้มเสียงของภาวินทุ้มต่ำ หลังจากคิดว่าซินดี้จะหอบลูกสาวที่ยังไม่แน่ชัดว่าจะใช่ลูกของเขาไหมกลับต่างประเทศ
“กลับบ้านค่ะ” เธอไม่ได้ลงรายละเอียด จากนั้นก็อุ้มลูกที่กินของหวานหมดพอดีขึ้นไปบนห้องพัก ปล่อยให้ภาวินเข้าใจว่า บ้านที่เธอกลับคือบ้านของบุพการี
หลังจากขึ้นมาอยู่ในห้องเรียบร้อย แววตาของคุณแม่ก็หม่นเศร้าขึ้นมาทันที เธอยังไม่พร้อมจะบอกเขา ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อหลายปีก่อน
เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องทุกข์ใจในวันวาน หันมาอีกครั้งลูกสาวตัวแสบก็เอาลิปสติกราคาแพงขึ้นมาป้ายปาก ป้ายแก้ม รวมถึงเปลือกตาเรียบร้อย
“น้องมาดี้คนสวยของมัมทำอะไรคะ”
“แต่งหน้าไปเที่ยวค่า มัมขาคนฉวย”
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ หน้าตาเหมือนพ่อแต่นิสัยเหมือนแม่เปี๊ยบ หนูลูกวันนี้เราจะไม่ไปเที่ยวที่ไหนแล้วค่ะ”
“ทำปากจู๋เย็วค่ามัมขา มามะน้องมาดี้ทายิปฉะติกให้ค่า”